มือใหม่ค่ะเป็นรีวิวแรก ไม่อยากเรียกรีวิวเลย(อาย) รูปไม่สวยใช้แค่คอมแพคเก่าๆ แต่อยากเล่าประสบการณ์ลุยอินโดนีเซียแดนวงแหวนแห่งไฟ ค่อนข้างชอบประเทศนี้นะมีอะไรให้เที่ยวเยอะดี
ทริปนี้ประกอบด้วย4สาวเดินทางจากURT-KUL-SUB ขากลับ DPS-KUL-URT เราเช่ารถของpink house ไฟล์เราไปถึงสนามบินJuandaที่สุระบายาเที่ยงคืนกว่าตอนแรกกะว่าจะนอนสนามบินแล้วค่อยเดินทางไปโบรโม่เช้าแต่แพทรีเซียจากpink houseเค้าเสนอให้ขึ้นโบรโม่เลย(ไม่คิดตังค์เพิ่มพร้อมเสนอโปรแกรมเที่ยวตลอดทริปมาให้ด้วย จากเดิมที่ตกลงให้มารับตอนเช้า)แบบว่าเปิดเมล์ดูก่อนขึ้นเครื่องมา แล้วเมล์บอกตกลงตามนั้นก่อนเครื่องออกอ่ะ กะทันหันมาก555
มาถึงสนามบินสุระบายาไม่มีที่แลกตังค์อีกที่นี่ไม่ได้เปิด24ชม.นะ คนขับรถของบ้านชมพูซึ่งอยู่กับเราตลอด5วันนี้ ชื่อบรัม (พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก)ช่วยหาคนรับแลกให้ได้เรทพอรับได้เสียเวลาต่อรองเล็กน้อย แวะminimartชื่อน้ำขนมนิดหน่อยก่อนออกเดินทางไปโบรโม่ถึงโบรโม่ตี4 อากาศเย็นมากฟันกระทบกันเลย เลยเสียเวลา(อีก)เช่าเสื้อหนาว 4คน1แสนรูเปีย เราเสียเวลามากเลยไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวดัง แต่ก็ดีคนกลับหมดเราค่อยขึ้น ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก ตี5นี่สว่างแล้ว วิวโบรโม่ที่พิงจานากัน1สวยงามมาก
ปล.เวลาในกล้องไม่ได้ปรับค่ะ
จากนั้นก็ไปปีนปากปล่องโบรโม่กันต่อยาวๆไปต่อด้วยทุ่งหญ้าสะวันน่า ซึ่งหน้านี้แห้งแล้งมากด้วยฝนทิ้งช่วงไปกว่า6เดือนแล้ว ต่อด้วยทะเลทรายรอบๆโบรโม่
เช้านั้นกว่าจะได้กินข้าวก็เกือบ11โมงเข้าไปแล้ว

จานนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไร ของบรัมเค้า
ต่อด้วยน้ำตกชื่อยาว madakaripura สวยงามดีเดินเข้าไปไม่ไกล แต่ต้องมีเสื้อกันฝน มีไกด์ท้องถิ่นแต่เราไม่ได้จ้างแต่ก็มีคนนึ่งเดินตื้อพวกเราจนสุดท้ายน้องในกลุ่มสุดทนตะโกนไปว่าเราไม่เอาไกด์ถึงจะหลุดมาได้
เราค้างที่โบรโม่1คืนพักที่Cafe lava เราว่าที่นี่okนะสะอาดดีไม่แพงมากด้วย
อากาศหนาวบวกกับพักผ่อนน้อย ทำให้หนึ่งในพวกเราไม่สบายแต่ก็ยังสู้ไปกันต่อ ยาที่เอามาได้ใช้ประโยชน์ละ
จากโบรโม่ออกเดินทางไปยังคาวาอิเจี้ยน พักที่catimor homestay รร.เก่าๆมีหมู่บ้านเล็กๆน่ารักๆด้านหน้า เดินไปอีกนิดมีน้ำตกร้อนมีที่แช่น้าร้อนเห็น ชาวบ้านมาแช่อยู่
คืนนี้ต้องตื่น1.30เพื่อเตรียมเดินขึ้นคาวาอิเจี้ยน ที่นี่เราต้องจ้างไกด์ท้องถิ่น ไฟฉาย เสื้อกันหนาว mask ร้องเท้าผ้าใบพร้อม เริ่มเดิน2.30ทางขึ้นอิเจี้ยนชัน30°(บางช่วงชันมากกว่า30องศาด้วย)มีทางราบน้อย เดินขึ้นและขึ้น เหนื่อยมากๆ ทางเดินฝุ่นตลบmaskขาดไม่ได้ทั้งที่โบรโม่และอีเจี้ยน ที่อิเจี้ยนmaskธรรมดาเอาไม่อยู่นะถ้าจะลงไปดูบลูไฟร์ กลิ่นกำมะถันแรงมากๆ
ทางเดินลงไปดูบลูไฟร์ค่อนข้างลำบากมากๆเราไม่ได้ลงไปใกล้และก็ใกล้สว่างแล้วเห็นบลูไฟร์นิดเดียวเอง พอสว่างก็ไม่เห็นแล้ว แต่เพื่อนในกลุ่มลงไปดูเค้าทำเหมืองกำมะถันเห็นถึงความพยายามและความยากลำบากในการแบกกำมะถันขึ้นมาจากก้นปล่อง (คนงานเหมืองบอกเค้าแบกได้หนักสุด75kg คนงานเค้าตอบเราเป็นภาษาอังกฤษนะค่ะ อายมั้ยละ) แล้วยังต้องเจอกับก๊าซพิษอีก
รู้สึกชีวิตดีขึ้นมาทันทีเลยเรา
ออกจากคาวาอิเจี้ยนนั่งรถตรงดิ่งมายังท่าเรือเพื่อต่อเรือเฟอร์รี่ไปบาหลีใช้เวลา1ชม.บนเรือ ท่าเรือที่นี่เปิด 24ชม. มีหลายท่า รถเยอะมากเรือออกเมื่อรถเต็มไม่ต้องรอเวลา
ต้องยอมรับในความเก่งของคนขับรถเพราะถนนที่นี่แคบ สองเลนตลอดและไม่มีเลนมอเตอร์ไซด์ ขับไปต้องคอยหลบมอเตอร์ไซด์ ทางขึ้นลงเขาก็เยอะแต่ขับไม่หวาดเสียวเท่าไหร่
Ulun Danu Beratan
รีบมากเพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ Tanah lot
วัดแบซากีเค้าบังคับให้จ้างไกด์ท้องถิ่นซึ่งไม่กำหนดราคาว่าเราต้องจ่ายเท่าไหร่
เราจ่ายไปแสนรูเปียตอนแรกเค้าจะขอเยอะกว่านี้แต่เราไม่ได้ให้นะ (กะว่าถ้าเรียกมากนักไม่เข้าก็ได้) แต่ให้ทิปไกด์ต่างหาก5หมื่นรูเปีย(คุณลุงแกสุภาพดีเลยยอมให้)
เราเที่ยวในบาหลีรวม3วัน2คืนพักที่อุบุดทั้ง2คืน เช้าวันสุดท้ายก่อนcheck out เจ้าของguest house แจ้งข่าวว่าสนามบินปิด เนื่องจากมีการปะทุของภูเขาไฟในเกาะLombok
http://www.jpnn.com/read/2015/11/04/336586/Gunung-Rinjani-Meletus,-Bandara-Banyuwangi-Diawasi-Ketat
พวกเรากังวลใจมากเพราะต้องกลับไปทำงาน/เรียนให้ทันเพราะลามาหลายวันแล้ว ระหว่างทางไปสนามบินก็คิดว่ามีทางไหนบ้างที่จะทำให้เราได้บิน บรัมก็แสนดีบอกว่าเค้าจะไม่ทิ้งเรา ซึ่งตามกำหนดเดิมคือเค้าจะหมดหน้าที่เมื่อส่งเราที่สนามบินและเราบินตอน5โมงเย็น
ระหว่างรอติดต่อสายการบินแอร์เอเชียซึ่งคนเยอะมากแถวยาวมากๆรอร่วมๆ3ชม.ข้าวน้ำไม่ได้กินยืนขาแข็ง บรัมก็นั่งรออยู่ด้วยแล้วเราบอกให้เค้าไปคุยกับจนท.แอร์เอเชียกับพวกเราด้วย จนท.แอร์เอเชียที่น่ารักช่วยหาเส้นทางใหม่ให้เรา เค้าว่าไม่แน่ว่าวันรุ่งขึ้นสนามบินจะเปิดได้รึเปล่าเค้าจะเลื่อนให้เราไปบินอีก2วันถัดมาซึ่งเรารอไม่ได้ สุดท้ายมาลงตัวที่ สุระบายา-KL transit KL-URT ไม่ต้องผ่านตม. (จนท.แอร์เอเชียวันนั้นทำงานหนักกันจริงๆ)
เราต้องเดินทางจากบาหลีเพื่อมาต่อเครื่องที่สุระบายาให้ทันสิบโมงเช้า ตอนนั้น5โมงเย็นแล้ว กว่าจะออกจากสนามบินกว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดช่วงเย็น ถนนที่ทั้งแคบและรถมากเป็นพิเศษ (ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะสนามบินปิด) แล้วรถบรรทุกก็เยอะมากด้วย
ทำให้เราใช้เวลาเดินทาง15ชม.จากเดิมที่บรัมบอก13-14ชม.(แวะกินข้าว+พักหลับนิดหน่อย) ดีใจมากที่มาได้ทันเวลาและได้บินกลับบ้านตามกำหนดเดิม
รู้สึกขอบคุณบรัมที่อดหลับอดนอนพาเรามาส่งอย่างปลอดภัย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปกับบรัมก่อนกลับแต่สภาพต่ละคนดูไม่ได้จริงๆ
ป.ล. บรัมเค้าต้องแจ้งบอสเรื่องที่พวกเราต้องติดรถกลับสุระบายาด้วย บอสคิดราคา2ล้านรูเปียแต่บรัมลดราคาให้เหลือครึ่งเดียว แนะนำนะค่ะถ้าใครจะไปโบรโม่ติดต่อได้ ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด
สุดท้ายขอยืมสโลแกนของบอลยอดจากหนังพาไปว่า “จุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่ที่สุดของความงาม” จบละค้า...
[CR] ทริปนี้ขอเล่าโบรโม่ คาวาอิเจี้ยน โดนยกเลิกไฟล์ที่บาหลี (สนามบินปิด)
มือใหม่ค่ะเป็นรีวิวแรก ไม่อยากเรียกรีวิวเลย(อาย) รูปไม่สวยใช้แค่คอมแพคเก่าๆ แต่อยากเล่าประสบการณ์ลุยอินโดนีเซียแดนวงแหวนแห่งไฟ ค่อนข้างชอบประเทศนี้นะมีอะไรให้เที่ยวเยอะดี
ทริปนี้ประกอบด้วย4สาวเดินทางจากURT-KUL-SUB ขากลับ DPS-KUL-URT เราเช่ารถของpink house ไฟล์เราไปถึงสนามบินJuandaที่สุระบายาเที่ยงคืนกว่าตอนแรกกะว่าจะนอนสนามบินแล้วค่อยเดินทางไปโบรโม่เช้าแต่แพทรีเซียจากpink houseเค้าเสนอให้ขึ้นโบรโม่เลย(ไม่คิดตังค์เพิ่มพร้อมเสนอโปรแกรมเที่ยวตลอดทริปมาให้ด้วย จากเดิมที่ตกลงให้มารับตอนเช้า)แบบว่าเปิดเมล์ดูก่อนขึ้นเครื่องมา แล้วเมล์บอกตกลงตามนั้นก่อนเครื่องออกอ่ะ กะทันหันมาก555
มาถึงสนามบินสุระบายาไม่มีที่แลกตังค์อีกที่นี่ไม่ได้เปิด24ชม.นะ คนขับรถของบ้านชมพูซึ่งอยู่กับเราตลอด5วันนี้ ชื่อบรัม (พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก)ช่วยหาคนรับแลกให้ได้เรทพอรับได้เสียเวลาต่อรองเล็กน้อย แวะminimartชื่อน้ำขนมนิดหน่อยก่อนออกเดินทางไปโบรโม่ถึงโบรโม่ตี4 อากาศเย็นมากฟันกระทบกันเลย เลยเสียเวลา(อีก)เช่าเสื้อหนาว 4คน1แสนรูเปีย เราเสียเวลามากเลยไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวดัง แต่ก็ดีคนกลับหมดเราค่อยขึ้น ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก ตี5นี่สว่างแล้ว วิวโบรโม่ที่พิงจานากัน1สวยงามมาก
ปล.เวลาในกล้องไม่ได้ปรับค่ะ
จากนั้นก็ไปปีนปากปล่องโบรโม่กันต่อยาวๆไปต่อด้วยทุ่งหญ้าสะวันน่า ซึ่งหน้านี้แห้งแล้งมากด้วยฝนทิ้งช่วงไปกว่า6เดือนแล้ว ต่อด้วยทะเลทรายรอบๆโบรโม่
เช้านั้นกว่าจะได้กินข้าวก็เกือบ11โมงเข้าไปแล้ว
จานนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไร ของบรัมเค้า
ต่อด้วยน้ำตกชื่อยาว madakaripura สวยงามดีเดินเข้าไปไม่ไกล แต่ต้องมีเสื้อกันฝน มีไกด์ท้องถิ่นแต่เราไม่ได้จ้างแต่ก็มีคนนึ่งเดินตื้อพวกเราจนสุดท้ายน้องในกลุ่มสุดทนตะโกนไปว่าเราไม่เอาไกด์ถึงจะหลุดมาได้
เราค้างที่โบรโม่1คืนพักที่Cafe lava เราว่าที่นี่okนะสะอาดดีไม่แพงมากด้วย
อากาศหนาวบวกกับพักผ่อนน้อย ทำให้หนึ่งในพวกเราไม่สบายแต่ก็ยังสู้ไปกันต่อ ยาที่เอามาได้ใช้ประโยชน์ละ
จากโบรโม่ออกเดินทางไปยังคาวาอิเจี้ยน พักที่catimor homestay รร.เก่าๆมีหมู่บ้านเล็กๆน่ารักๆด้านหน้า เดินไปอีกนิดมีน้ำตกร้อนมีที่แช่น้าร้อนเห็น ชาวบ้านมาแช่อยู่
คืนนี้ต้องตื่น1.30เพื่อเตรียมเดินขึ้นคาวาอิเจี้ยน ที่นี่เราต้องจ้างไกด์ท้องถิ่น ไฟฉาย เสื้อกันหนาว mask ร้องเท้าผ้าใบพร้อม เริ่มเดิน2.30ทางขึ้นอิเจี้ยนชัน30°(บางช่วงชันมากกว่า30องศาด้วย)มีทางราบน้อย เดินขึ้นและขึ้น เหนื่อยมากๆ ทางเดินฝุ่นตลบmaskขาดไม่ได้ทั้งที่โบรโม่และอีเจี้ยน ที่อิเจี้ยนmaskธรรมดาเอาไม่อยู่นะถ้าจะลงไปดูบลูไฟร์ กลิ่นกำมะถันแรงมากๆ
ทางเดินลงไปดูบลูไฟร์ค่อนข้างลำบากมากๆเราไม่ได้ลงไปใกล้และก็ใกล้สว่างแล้วเห็นบลูไฟร์นิดเดียวเอง พอสว่างก็ไม่เห็นแล้ว แต่เพื่อนในกลุ่มลงไปดูเค้าทำเหมืองกำมะถันเห็นถึงความพยายามและความยากลำบากในการแบกกำมะถันขึ้นมาจากก้นปล่อง (คนงานเหมืองบอกเค้าแบกได้หนักสุด75kg คนงานเค้าตอบเราเป็นภาษาอังกฤษนะค่ะ อายมั้ยละ) แล้วยังต้องเจอกับก๊าซพิษอีก
รู้สึกชีวิตดีขึ้นมาทันทีเลยเรา
ออกจากคาวาอิเจี้ยนนั่งรถตรงดิ่งมายังท่าเรือเพื่อต่อเรือเฟอร์รี่ไปบาหลีใช้เวลา1ชม.บนเรือ ท่าเรือที่นี่เปิด 24ชม. มีหลายท่า รถเยอะมากเรือออกเมื่อรถเต็มไม่ต้องรอเวลา
ต้องยอมรับในความเก่งของคนขับรถเพราะถนนที่นี่แคบ สองเลนตลอดและไม่มีเลนมอเตอร์ไซด์ ขับไปต้องคอยหลบมอเตอร์ไซด์ ทางขึ้นลงเขาก็เยอะแต่ขับไม่หวาดเสียวเท่าไหร่
Ulun Danu Beratan
รีบมากเพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ Tanah lot
วัดแบซากีเค้าบังคับให้จ้างไกด์ท้องถิ่นซึ่งไม่กำหนดราคาว่าเราต้องจ่ายเท่าไหร่
เราจ่ายไปแสนรูเปียตอนแรกเค้าจะขอเยอะกว่านี้แต่เราไม่ได้ให้นะ (กะว่าถ้าเรียกมากนักไม่เข้าก็ได้) แต่ให้ทิปไกด์ต่างหาก5หมื่นรูเปีย(คุณลุงแกสุภาพดีเลยยอมให้)
เราเที่ยวในบาหลีรวม3วัน2คืนพักที่อุบุดทั้ง2คืน เช้าวันสุดท้ายก่อนcheck out เจ้าของguest house แจ้งข่าวว่าสนามบินปิด เนื่องจากมีการปะทุของภูเขาไฟในเกาะLombok
http://www.jpnn.com/read/2015/11/04/336586/Gunung-Rinjani-Meletus,-Bandara-Banyuwangi-Diawasi-Ketat
พวกเรากังวลใจมากเพราะต้องกลับไปทำงาน/เรียนให้ทันเพราะลามาหลายวันแล้ว ระหว่างทางไปสนามบินก็คิดว่ามีทางไหนบ้างที่จะทำให้เราได้บิน บรัมก็แสนดีบอกว่าเค้าจะไม่ทิ้งเรา ซึ่งตามกำหนดเดิมคือเค้าจะหมดหน้าที่เมื่อส่งเราที่สนามบินและเราบินตอน5โมงเย็น
ระหว่างรอติดต่อสายการบินแอร์เอเชียซึ่งคนเยอะมากแถวยาวมากๆรอร่วมๆ3ชม.ข้าวน้ำไม่ได้กินยืนขาแข็ง บรัมก็นั่งรออยู่ด้วยแล้วเราบอกให้เค้าไปคุยกับจนท.แอร์เอเชียกับพวกเราด้วย จนท.แอร์เอเชียที่น่ารักช่วยหาเส้นทางใหม่ให้เรา เค้าว่าไม่แน่ว่าวันรุ่งขึ้นสนามบินจะเปิดได้รึเปล่าเค้าจะเลื่อนให้เราไปบินอีก2วันถัดมาซึ่งเรารอไม่ได้ สุดท้ายมาลงตัวที่ สุระบายา-KL transit KL-URT ไม่ต้องผ่านตม. (จนท.แอร์เอเชียวันนั้นทำงานหนักกันจริงๆ)
เราต้องเดินทางจากบาหลีเพื่อมาต่อเครื่องที่สุระบายาให้ทันสิบโมงเช้า ตอนนั้น5โมงเย็นแล้ว กว่าจะออกจากสนามบินกว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดช่วงเย็น ถนนที่ทั้งแคบและรถมากเป็นพิเศษ (ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะสนามบินปิด) แล้วรถบรรทุกก็เยอะมากด้วย
ทำให้เราใช้เวลาเดินทาง15ชม.จากเดิมที่บรัมบอก13-14ชม.(แวะกินข้าว+พักหลับนิดหน่อย) ดีใจมากที่มาได้ทันเวลาและได้บินกลับบ้านตามกำหนดเดิม
รู้สึกขอบคุณบรัมที่อดหลับอดนอนพาเรามาส่งอย่างปลอดภัย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปกับบรัมก่อนกลับแต่สภาพต่ละคนดูไม่ได้จริงๆ
ป.ล. บรัมเค้าต้องแจ้งบอสเรื่องที่พวกเราต้องติดรถกลับสุระบายาด้วย บอสคิดราคา2ล้านรูเปียแต่บรัมลดราคาให้เหลือครึ่งเดียว แนะนำนะค่ะถ้าใครจะไปโบรโม่ติดต่อได้ ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด
สุดท้ายขอยืมสโลแกนของบอลยอดจากหนังพาไปว่า “จุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่ที่สุดของความงาม” จบละค้า...
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น