ผู้ส่งออกกุ้ง-ทูน่าไทยหนาว หลัง "โอบามา" สั่งร่าง กม.เพื่อขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย Presidential Task Force on Combating IUU Fishing เลียนแบบ IUU สหภาพยุโรป แต่มีผลบังคับครอบคลุมกว้างขวางลงไปถึงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการปิดฉลาก ต้องถูกตรวจสอบย้อนกลับไปถึงประเทศต้นทางให้ร่วมรับผิดชอบด้วย
หลังจากที่สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ออกมาบังคับใช้กับสมาชิกสหภาพ ตลอดจนการนำเข้าสินค้าและผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากประเทศที่ 3 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นมา สหรัฐก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เตรียมการที่จะประกาศใช้กฎหมายในลักษณะ เดียวกันนี้เช่นกัน โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการสินค้าอาหาร ทะเลจากประเทศไทย
ด้วยเหตุผลที่ว่า ในขณะนี้ประเทศไทยถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือ (Noncooperating Country) ในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมายของสหภาพยุโรป และเร่งแก้ไขปัญหาก่อนที่จะได้รับ "ใบแดง" ในอีก 6 เดือนข้างหน้า และหากกฎหมาย IUU ของสหรัฐมีผลบังคับใช้ขึ้นมาอีกประเทศหนึ่ง ไทยจะต้องเผชิญกับการแก้ไขปัญหาสินค้าประมง 2 ด้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ บารัก โอบามา ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU เป็นแผนแห่งชาติและได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแล้ว โดยมอบ National Ocean and Atmospheric Administration หรือ NOAA ภายใต้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เป็นผู้จัดทำร่างรายละเอียดของกฎระเบียบ (Proposed Rule) ล่าสุดร่างกฎระเบียบดังกล่าวได้ผ่านการจัดทำประชาพิจารณ์ทางเว็บไซต์ไปแล้ว บางส่วน และคาดว่าสหรัฐจะสามารถประกาศบังคับใช้กฎระเบียบ IUU ดังกล่าวได้ภายในปี 2559
ทั้งนี้ตามแผนปฏิบัติการเบื้องต้น มีการกำหนดหรือการระบุสายพันธุ์อาหารทะเล "ที่มีความเสี่ยง" ต่อการทำประมง IUU หรือการหลอกลวงเกี่ยวกับอาหารทะเล 13 สายพันธุ์ ได้แก่ หอยเป๋าฮื้อ, ปลาค็อดแอตแลนติก (Atlantic Cod), ปูม้า, ปลาโลมา, ปลาทะเลประเภท Grouper, แมงดาทะเล, ปลาค็อดแปซิฟิก (Pacific Cod), ปลากะพงแดง, ปลิงทะเล, ฉลาม, กุ้ง, ปลากระโทงแทงดาบ และปลาทูน่า
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวถึงประเด็น IUU ของสหรัฐว่า ขณะนี้ทางสหรัฐอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ 2 ฉบับที่เกี่ยวกับอาหารทะเล ได้แก่ ร่างระเบียบการทำประมงผิดกฎหมาย ทั้งในส่วนของการจับจากทะเล (Catcher) และการเลี้ยง (Aquaculture) หรือ Presidential Task Force on Combating IUU Fishing กับร่างระเบียบกฎหมายการทำผิดเกี่ยวกับการค้าอาหารทะเล (Seafood Fraud) โดยร่างทั้ง 2 ฉบับนี้ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ทางเว็บไซต์ของหน่วยงานกลางของสหรัฐในเดือน กันยายน 2558 ซึ่งตามขั้นตอนคาดว่าสหรัฐจะสามารถประกาศใช้กฎระเบียบดังกล่าวได้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งทางสมาคมมองว่า ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับจะส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเลของไทยทั้งระบบ และอาจจะหนักกว่ากฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป เนื่องจากมีการผูกโยงเรื่องความผิดทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล ทั้งหมดเข้าไปด้วย จึงอยากให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับตัวเพื่อรับมือ กับกฎระเบียบดังกล่าว
"ร่างกฎระเบียบ IUU ของสหรัฐจะเข้มข้นแตกต่างจากระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรปตรงที่อียูจะควบคุม IUU เฉพาะสัตว์น้ำที่จับจากทะเลโดยตรง (Catcher) แต่ IUU สหรัฐจะดูไปถึงสัตว์น้ำจากการเลี้ยงบนบกด้วย (Aquaculture) ด้วย ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงและการส่งออกกุ้ง เพราะสหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย โดยสหรัฐจะมีการตรวจสอบย้อนกลับว่า วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการเลี้ยงกุ้งมาจากการทำประมงผิดกฎหมายหรือไม่ และผลพลอยได้จากการทำประมงในกรณีปลาที่จับมาทำปลาป่นมีการดำเนินการอย่างไม่ ยั่งยืน เช่น เรานำปลาทูน่ามาทำปลากระป๋อง หากจับมาด้วยวิธีการที่ไม่ยั่งยืน แล้วนำหัวปลาและกระดูกมาทำปลาป่นนำไปให้กุ้งกิน ตลอดเส้นทางซัพพลายเชนเหล่านี้ถือว่าไม่ถูกกฎหมาย ปัจจุบันยอมรับว่า การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายยังไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ โดยเฉพาะกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ" นายพรศิลป์กล่าว นอกจากนี้ร่างกฎหมายของสหรัฐยังมีการระบุทำนองว่า "อะไรก็ตามที่ทำผิดเกี่ยวกับอาหารทะเลก็จะเกี่ยวกับ IUU ด้วย"
ยกตัวอย่าง ส่งออกไปแล้วมีการทำผิดกฎเรื่องการส่งออก เช่น ติดฉลากผิด ชี้แจงผิด เอกสารผิด ราคาผิด มีสารตกค้าง บรรจุภัณฑ์ผิด ทั้งหมดนี้จะถูกผูกโยงเข้าไปในกฎหมาย IUU ยกตัวอย่าง เทรดเดอร์ที่ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลเข้าไปจะเป็นคนติดฉลาก แต่ถือว่าประเทศผู้ผลิตต้นทางต้องรับผิดชอบด้วย
"เช่นกรณีตัวอย่างคอสโกในสหรัฐฟ้องวอล-มาร์ตว่าติดฉลากผิดเกี่ยวกับเรื่องแรงงาน ไม่ได้ติดฉลากว่า กุ้งนี้ไม่ได้ผลิตจากแรงงานที่ผิดกฎหมายไม่มีฉลาก จะต้องถูกสืบย้อนกลับมาถึงผู้ผลิตในประเทศไทยด้วยแม้ตอนนี้บทลงโทษจะยัง ไม่มีการเขียนชัดเจน แต่คาดว่าบทลงโทษคงไม่เบา ดังนั้นเราต้องปรับตัวรับมือ ปรับโครงสร้างการผลิตทั้งระบบ โดยเฉพาะกรมประมง ควรนำระเบียบมาวิเคราะห์ ไม่ใช่รอจนเกินเหตุกรณี IUU ของยุโรป เวลาผ่านไป 4-5 ปี เราไม่ทำอะไรเลย" นายพรศิลป์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนของไทยได้โต้แย้งร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับของสหรัฐผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์ไปแล้วว่า "ไม่เห็นด้วย" ใน 2 ประเด็นประกอบ ด้วย 1) การรวมเรื่องของกุ้งที่มาจากการเพาะเลี้ยง กับ 2) กรณีความผิดเกี่ยวกับการค้าอาหารทะเล (Seafood Fraud) ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่ควรรวมเข้าไปไว้ในกฎหมาย IUU
ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามา ว่า สหรัฐมีความพยายามที่จะนำ IUU เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP) ในหัวข้อมาตรฐานและเงื่อนไขเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรวมถึงความร่วมมือในการยุติ การอุดหนุนการทำประมงที่เป็นอันตรายและสนับสนุนการออกมาตรการที่เกี่ยวข้อง โดยการเจรจา TPP ต่อไปอาจจะมีการรวมเงื่อนไขในการบังคับใช้แรงงานและสิ่งแวดล้อมอย่างมี ประสิทธิภาพรวมถึงการปลอมแปลงอาหารทะเล เพิ่มความโปร่งใส และการติดตามโครงการให้เงินอุดหนุนการประมง
"ในปีนี้สหรัฐจะร่วมมือ กับอียูในการปรับปรุงข้อเสนอเพื่อบังคับใช้กฎหมายแรงงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดการกับปัญหา IUU และการทุจริตในธุรกิจประมง และเตรียมหาข้อสรุปการเจรจา T-TIP ก่อนที่จะยื่นข้อเสนอให้กับสภาสูงของสหรัฐพิจารณาด้วย"
ขณะที่นาย ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สำนักงานปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป ได้รายงานผลการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทย กับกรมประมงของประเทศสเปน เมื่อ 7-9 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า สเปนมีระบบติดตามเรือประมง (VMS) ระบบบันทึกและรายงานข้อมูลการทำประมงแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ERS) ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย ทำให้สเปนประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU)
ทั้งนี้ สเปนสนใจจะทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับไทย ไทยกับสเปน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านประมง โดยเสนอให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา IUU และการพัฒนา VMS ด้วย
นอกจากนี้ได้รายงานผลการประชุมครบรอบ 20 ปี แนวปฏิบัติสำหรับการทำประมงอย่างมีความรับผิดชอบของ FAO ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรี รวมถึงนาย Karmenu Vella กรรมาธิการยุโรปด้านกิจการทางทะเลและการประมง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการประมงจากทั่วโลก เข้าร่วม 300 คน
โดยที่ ประชุมได้นำเสนอสถานการณ์และทิศทางการพัฒนาของภาคประมงโลก ส่งเสริมการทำประมงอย่างยั่งยืน การแก้ไข IUU แนวทางการบริหารจัดการประมงทะเล และทิศทางของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคสินค้าอาหารทะเล
ผลการหารือ ครั้งนี้ไทยควรเข้าร่วมและติดตามสถานการณ์ด้านประมงของหลาย ๆ ประเทศ และแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาบริหารจัดการประมงทะเล และเสริมสร้างขีดความสามารถของไทยอย่างต่อเนื่องและควรหาโอกาสในเวทีระหว่าง ประเทศแสดงความจริงใจของไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
JJNY : "ไอยูยู"ลามสหรัฐจ้องเล่นงานไทย ออกกฎหมายตรวจเข้ม"กุ้ง-ทูน่า"
หลังจากที่สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ออกมาบังคับใช้กับสมาชิกสหภาพ ตลอดจนการนำเข้าสินค้าและผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากประเทศที่ 3 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นมา สหรัฐก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เตรียมการที่จะประกาศใช้กฎหมายในลักษณะ เดียวกันนี้เช่นกัน โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการสินค้าอาหาร ทะเลจากประเทศไทย
ด้วยเหตุผลที่ว่า ในขณะนี้ประเทศไทยถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือ (Noncooperating Country) ในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมายของสหภาพยุโรป และเร่งแก้ไขปัญหาก่อนที่จะได้รับ "ใบแดง" ในอีก 6 เดือนข้างหน้า และหากกฎหมาย IUU ของสหรัฐมีผลบังคับใช้ขึ้นมาอีกประเทศหนึ่ง ไทยจะต้องเผชิญกับการแก้ไขปัญหาสินค้าประมง 2 ด้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ บารัก โอบามา ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU เป็นแผนแห่งชาติและได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแล้ว โดยมอบ National Ocean and Atmospheric Administration หรือ NOAA ภายใต้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เป็นผู้จัดทำร่างรายละเอียดของกฎระเบียบ (Proposed Rule) ล่าสุดร่างกฎระเบียบดังกล่าวได้ผ่านการจัดทำประชาพิจารณ์ทางเว็บไซต์ไปแล้ว บางส่วน และคาดว่าสหรัฐจะสามารถประกาศบังคับใช้กฎระเบียบ IUU ดังกล่าวได้ภายในปี 2559
ทั้งนี้ตามแผนปฏิบัติการเบื้องต้น มีการกำหนดหรือการระบุสายพันธุ์อาหารทะเล "ที่มีความเสี่ยง" ต่อการทำประมง IUU หรือการหลอกลวงเกี่ยวกับอาหารทะเล 13 สายพันธุ์ ได้แก่ หอยเป๋าฮื้อ, ปลาค็อดแอตแลนติก (Atlantic Cod), ปูม้า, ปลาโลมา, ปลาทะเลประเภท Grouper, แมงดาทะเล, ปลาค็อดแปซิฟิก (Pacific Cod), ปลากะพงแดง, ปลิงทะเล, ฉลาม, กุ้ง, ปลากระโทงแทงดาบ และปลาทูน่า
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวถึงประเด็น IUU ของสหรัฐว่า ขณะนี้ทางสหรัฐอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ 2 ฉบับที่เกี่ยวกับอาหารทะเล ได้แก่ ร่างระเบียบการทำประมงผิดกฎหมาย ทั้งในส่วนของการจับจากทะเล (Catcher) และการเลี้ยง (Aquaculture) หรือ Presidential Task Force on Combating IUU Fishing กับร่างระเบียบกฎหมายการทำผิดเกี่ยวกับการค้าอาหารทะเล (Seafood Fraud) โดยร่างทั้ง 2 ฉบับนี้ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ทางเว็บไซต์ของหน่วยงานกลางของสหรัฐในเดือน กันยายน 2558 ซึ่งตามขั้นตอนคาดว่าสหรัฐจะสามารถประกาศใช้กฎระเบียบดังกล่าวได้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งทางสมาคมมองว่า ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับจะส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเลของไทยทั้งระบบ และอาจจะหนักกว่ากฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป เนื่องจากมีการผูกโยงเรื่องความผิดทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล ทั้งหมดเข้าไปด้วย จึงอยากให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับตัวเพื่อรับมือ กับกฎระเบียบดังกล่าว
"ร่างกฎระเบียบ IUU ของสหรัฐจะเข้มข้นแตกต่างจากระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรปตรงที่อียูจะควบคุม IUU เฉพาะสัตว์น้ำที่จับจากทะเลโดยตรง (Catcher) แต่ IUU สหรัฐจะดูไปถึงสัตว์น้ำจากการเลี้ยงบนบกด้วย (Aquaculture) ด้วย ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงและการส่งออกกุ้ง เพราะสหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย โดยสหรัฐจะมีการตรวจสอบย้อนกลับว่า วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการเลี้ยงกุ้งมาจากการทำประมงผิดกฎหมายหรือไม่ และผลพลอยได้จากการทำประมงในกรณีปลาที่จับมาทำปลาป่นมีการดำเนินการอย่างไม่ ยั่งยืน เช่น เรานำปลาทูน่ามาทำปลากระป๋อง หากจับมาด้วยวิธีการที่ไม่ยั่งยืน แล้วนำหัวปลาและกระดูกมาทำปลาป่นนำไปให้กุ้งกิน ตลอดเส้นทางซัพพลายเชนเหล่านี้ถือว่าไม่ถูกกฎหมาย ปัจจุบันยอมรับว่า การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายยังไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ โดยเฉพาะกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ" นายพรศิลป์กล่าว นอกจากนี้ร่างกฎหมายของสหรัฐยังมีการระบุทำนองว่า "อะไรก็ตามที่ทำผิดเกี่ยวกับอาหารทะเลก็จะเกี่ยวกับ IUU ด้วย"
ยกตัวอย่าง ส่งออกไปแล้วมีการทำผิดกฎเรื่องการส่งออก เช่น ติดฉลากผิด ชี้แจงผิด เอกสารผิด ราคาผิด มีสารตกค้าง บรรจุภัณฑ์ผิด ทั้งหมดนี้จะถูกผูกโยงเข้าไปในกฎหมาย IUU ยกตัวอย่าง เทรดเดอร์ที่ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลเข้าไปจะเป็นคนติดฉลาก แต่ถือว่าประเทศผู้ผลิตต้นทางต้องรับผิดชอบด้วย
"เช่นกรณีตัวอย่างคอสโกในสหรัฐฟ้องวอล-มาร์ตว่าติดฉลากผิดเกี่ยวกับเรื่องแรงงาน ไม่ได้ติดฉลากว่า กุ้งนี้ไม่ได้ผลิตจากแรงงานที่ผิดกฎหมายไม่มีฉลาก จะต้องถูกสืบย้อนกลับมาถึงผู้ผลิตในประเทศไทยด้วยแม้ตอนนี้บทลงโทษจะยัง ไม่มีการเขียนชัดเจน แต่คาดว่าบทลงโทษคงไม่เบา ดังนั้นเราต้องปรับตัวรับมือ ปรับโครงสร้างการผลิตทั้งระบบ โดยเฉพาะกรมประมง ควรนำระเบียบมาวิเคราะห์ ไม่ใช่รอจนเกินเหตุกรณี IUU ของยุโรป เวลาผ่านไป 4-5 ปี เราไม่ทำอะไรเลย" นายพรศิลป์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนของไทยได้โต้แย้งร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับของสหรัฐผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์ไปแล้วว่า "ไม่เห็นด้วย" ใน 2 ประเด็นประกอบ ด้วย 1) การรวมเรื่องของกุ้งที่มาจากการเพาะเลี้ยง กับ 2) กรณีความผิดเกี่ยวกับการค้าอาหารทะเล (Seafood Fraud) ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่ควรรวมเข้าไปไว้ในกฎหมาย IUU
ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามา ว่า สหรัฐมีความพยายามที่จะนำ IUU เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP) ในหัวข้อมาตรฐานและเงื่อนไขเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรวมถึงความร่วมมือในการยุติ การอุดหนุนการทำประมงที่เป็นอันตรายและสนับสนุนการออกมาตรการที่เกี่ยวข้อง โดยการเจรจา TPP ต่อไปอาจจะมีการรวมเงื่อนไขในการบังคับใช้แรงงานและสิ่งแวดล้อมอย่างมี ประสิทธิภาพรวมถึงการปลอมแปลงอาหารทะเล เพิ่มความโปร่งใส และการติดตามโครงการให้เงินอุดหนุนการประมง
"ในปีนี้สหรัฐจะร่วมมือ กับอียูในการปรับปรุงข้อเสนอเพื่อบังคับใช้กฎหมายแรงงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดการกับปัญหา IUU และการทุจริตในธุรกิจประมง และเตรียมหาข้อสรุปการเจรจา T-TIP ก่อนที่จะยื่นข้อเสนอให้กับสภาสูงของสหรัฐพิจารณาด้วย"
ขณะที่นาย ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สำนักงานปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป ได้รายงานผลการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทย กับกรมประมงของประเทศสเปน เมื่อ 7-9 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า สเปนมีระบบติดตามเรือประมง (VMS) ระบบบันทึกและรายงานข้อมูลการทำประมงแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ERS) ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย ทำให้สเปนประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU)
ทั้งนี้ สเปนสนใจจะทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับไทย ไทยกับสเปน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านประมง โดยเสนอให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา IUU และการพัฒนา VMS ด้วย
นอกจากนี้ได้รายงานผลการประชุมครบรอบ 20 ปี แนวปฏิบัติสำหรับการทำประมงอย่างมีความรับผิดชอบของ FAO ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรี รวมถึงนาย Karmenu Vella กรรมาธิการยุโรปด้านกิจการทางทะเลและการประมง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการประมงจากทั่วโลก เข้าร่วม 300 คน
โดยที่ ประชุมได้นำเสนอสถานการณ์และทิศทางการพัฒนาของภาคประมงโลก ส่งเสริมการทำประมงอย่างยั่งยืน การแก้ไข IUU แนวทางการบริหารจัดการประมงทะเล และทิศทางของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคสินค้าอาหารทะเล
ผลการหารือ ครั้งนี้ไทยควรเข้าร่วมและติดตามสถานการณ์ด้านประมงของหลาย ๆ ประเทศ และแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาบริหารจัดการประมงทะเล และเสริมสร้างขีดความสามารถของไทยอย่างต่อเนื่องและควรหาโอกาสในเวทีระหว่าง ประเทศแสดงความจริงใจของไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว