บทความดีๆจาก ไทยรัฐ...ถ้าเคยอ่านกันแล้ว
..ซ้ำ...ขออภัย...
"มีวันนี้เพราะพ่อให้" หากจะหานักกีฬาที่คู่ควรกับคำๆ นี้ คงไม่มีใครที่จะเหมาะสมไปกว่า สองสุดยอดนักกีฬา ระดับซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทย อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลร่างเล็ก แต่ฝีเท้าระดับเทพ ถึงขนาดได้รับฉายาว่า “เมสซี่เมืองไทย” และ ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสชายหนึ่งเดียวของไทย ที่เคยไต่ไปถึงอันดับที่ 9 ของโลก เบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ วันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ชายที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาทั้งสองคน ผู้ซึ่งปลุกปั้นให้ลูกน้อยได้เติบใหญ่จนกลายมาเป็นนักกีฬาชื่อเสียงโด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย
เมสซี่เจ นักฟุตบอลฝีเท้าจัด ตัวปั่นป่วนแนวรับของคู่แข่ง มีวันนี้ได้เพราะคุณพ่อวาดฝันไว้ว่า วันหนึ่งลูกชายของเขา จะต้องเป็นนักฟุตบอลแบบ ดิเอโก มาราโดนา คุณก้องภพ สรงกระสินธ์ อายุ 50 ปี บิดาของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดัง เล่าว่า ตัวผมเอง ชอบเล่นฟุตบอลแต่ว่าเล่นไม่เก่ง เวลาไปแข่งกับใครก็สู้เขาไม่ได้ มีวันหนึ่งได้มานั่งคิดทบทวน เหตุใดเราจึงสู้คนอื่นไม่ได้ สุดท้ายก็ได้คำตอบ
เมสซี่เจ ขวัญใจแฟนบอลชาวไทย
“ตอนเด็กๆ ผมไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอล เพราะที่บ้านมีแต่ท้องไร่ท้องนา สมัยเรียนชั้นประถม ที่โรงเรียนก็มีแต่สนามแชร์บอลเล็กๆ จะมาเล่นแบบจริงๆ จังๆ ก็ตอนมัธยม แต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะกีฬาชนิดนี้ใครมีพื้นฐานดีเท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ของแบบนี้มันต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก....ในเมื่อผมไม่สามรถทำได้ จึงคิดว่า ถ้ามีลูกชายสักคน ก็อยากจะทำให้เขาเล่นฟุตบอลเก่งๆ” คุณก้องภพ กล่าว
ปลูกฝังให้รักฟุตบอลด้วยรูปในหนังสือพิมพ์
พ่อของเมสซี่เจ กล่าวต่อว่า ผมจะพยายามให้เขาสนใจฟุตบอลตั้งแต่เริ่มเดินได้ ด้วยการเอารูปภาพลูกฟุตบอลในหนังสือพิมพ์มาวางไว้กับพื้น แล้วบอกเขาว่า “เจ บอลๆ มาเตะบอลเร็วลูก” พอได้ยินเจก็จะรีบวิ่งมาเตะกระดาษหนังสือพิมพ์ พอเจอายุได้ 4 ขวบ (ชั้นอนุบาล 1) ผมจับให้เขาใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วเอาลูกฟุตบอลให้เขาเล่นเพื่อสร้างความคุ้นเคย เวลามีการแข่งขันฟุตบอลที่ไหน ก็จะพาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปดูเป็นประจำ มันทำให้เขาซึมซับกีฬานี้ไปโดยปริยาย
เริ่มหัดฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
ตอนเด็กๆ เขาก็มุ่งมั่นที่จะเล่นฟุตบอล แต่เริ่มโตขึ้นมาหน่อย มันก็มีเบื่อๆ ไปบ้าง ผมเลยต้องใช้อุบายหลอกล่อเช่น บอกเขาว่าให้มาซ้อมบอลกับพ่อ เดี๋ยวให้เงินไปเล่นเกมกด “เขาก็เหมือนเด็กทั่วไปแหละครับต้องอยากเล่นกับเพื่อนๆ หรืออยากทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง” คุณพ่อเมสซี่เจ กล่าว
ขวนขวาย เสียสละ ขอชัยชนะให้ลูก
คุณก้องภพ เล่าต่อว่า ผมเล่นฟุตบอลไม่เก่ง เลยต้องไปขวนขวายหาวิชา เวลาเอาไปสอนลูกจะได้สอนแบบถูกวิธี สมัยนั้นไม่ได้มีอินเทอร์เน็ต ผมก็ไปขอคำปรึกษาจากนักฟุตบอลเก่งๆ อย่าง คุณสุรวุฒิ เลาหกาญจนสิริ (อดีตผู้เล่นทีมชาติและทีมธนาคารกรุงไทย) ขอให้เขาช่วยบอกวิธีเล่นฟุตบอล แล้วตอนนั้นได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ เขาเขียนว่าใครที่อยากได้ตำราฝึกสอนฟุตบอลเด็ก อายุ 8-9 ขวบ ของคุณวิทยา เลาหกุล ให้เขียนจดหมายมาแล้วจะส่งกลับไปให้ ซึ่งผมก็เขียนไป นอกจากนั้นก็จะไปหาซื้อพวกวิดีโอสอนทักษะการเล่นฟุตบอลที่ร้านสตาร์ซอคเกอร์ แต่จะเน้นสไตล์แบบเยอรมันและสไตล์ของ ดิเอโก มาราดอนนา แล้วยังมีซีดีของคุณตุ๊ก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่ทำแจก ผมก็เอาทั้งหมดที่หามาได้ มาศึกษาก่อนแล้วก็สอนให้เขา
ทุกๆ ความสำเร็จ มีคุณพ่อเป็นคนส่งเสริม
ผมอยากให้เขาเป็นเลิศในการเล่นฟุตบอล ผมจึงต้องทำการบ้านให้หนัก เวลากลางคืนก็ต้องขายของ พอตอนเช้าก็อดหลับอดนอนขับรถพาเขาไปแข่ง “คือเราต้องเสียสละ ตัดเรื่องส่วนตัวทิ้ง เวลาเพื่อนมาชวนผมไปนู่นไปนี่ผมก็ไม่ไป เพราะผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอสู้เคียงข้างลูกสัก 10 ปี เชื่อว่าในอนาคต จะต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ”
ฝึกแบบเกาหลี ทำไม่ดีต้องโดนตบ
ผมเป็นคนดุ ตอนเจเป็นเด็กผมจะให้เขาซ้อมฟุตบอลทุกวัน เวลาสอนจะจริงจังมาก “ทำไม่ได้ ทำไม่ดี ...ึงโดน!!” พอยิ่งโตยิ่งดื้อก็ยิ่งโดน ทั้งหวดก้น ตีหน้าแข้ง ตบหัว เจมันโดนมาหมดแล้ว ผมใช้วิธีคิดแบบเกาหลีใต้ ซึ่งเขาจะเน้นระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ที่ผมต้องเคี่ยวเข็ญเขาตั้งแต่เล็กๆ เพราะฟุตบอลมันต้องเริ่มต้นให้ถูกทาง ซ้อมให้เต็มที่ เบสิกจะต้องอัดให้แน่นตั้งแต่ยังเเป็นเด็ก พอเขาโตขึ้น เราจะมาตบมาเตะ มันก็ทำไม่ได้แล้ว “บางวันมันเบื่อ ซ้อมไปร้องไห้ไป อยู่ดีๆ มันเตะบอลอัดใส่ผม ผมก็หวดเข้าให้” คุณก้องภพ กล่าวพร้อมกับหัวเราะ
เมสซี่เจ คว้าแชมป์แฟลตทหารเรือบางนา ปี 2548
หวังว่าลูกจะได้รับใช้ชาติ
คุณพ่อก้องภพ เล่าถึงความฝันไว้ว่า อยากให้ลูกได้เล่นให้กับทีมชาติไทย แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะทำได้หรือไม่ “พอเจอายุ 12 ปี เพื่อนๆ เขาติดทีมชาติกันหลายคน เจเลยมาถามผมว่า หนูจะมีโอกาสติดทีมชาติบ้างไหมพ่อ” ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเรามาวัดกันตอนอายุ 18 ดีกว่า แล้วเราพ่อลูกก็ก้มหน้าก้มตาซ้อมกันต่อไป...
ชนาธิป ภายใต้หน้าอกเสื้อช้างศึก
คำสอนพ่อ ถึงทีมจะแพ้ แต่มาตรฐานต้องคงอยู่
ผมสอนลูกเสมอว่า "เวลาไปแข่งต้องเล่นให้เต็มที่ แม้จะโดนนำไป 10-0 แต่มาตรฐานของเราจะต้องดี ไม่ใช่เล่นเละเทะ มั่วซั่ว แบบนี้พ่อรับไม่ได้!!" พอเขาโตขึ้นมา ผมก็คอยบอกเสมอว่า เราเล่นบอลมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ พ่อศึกษาตำรามาแล้วเอามาสอนแบบถูกวิธี เราซ้อมกันทุกวัน ถ้าหากลูกลงไปเล่นแล้วไม่ได้โดดเด่นกว่าคนอื่น ทั้งหมดที่พ่อสอนมาก็เท่ากับสูญเปล่า
ถ้วยรางวัลสมัยวัยเด็กของเจ
ภูมิใจ ลูกไม่เคยทำให้ผิดหวัง
คุณพ่อก้องภพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงตอนนี้ เจจะไม่ได้เตะบอลกับพ่อแล้ว เพราะเขาต้องทำงานอยู่กับสโมสร แต่เราก็ไปดูทุกครั้งที่เขาแข่ง ตอนนี้ผมภูมิใจ เพราะเขาไม่เคยทำให้ครอบครัวผิดหวัง ทุกความเพียรพยายามที่ทำมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี วันนี้ได้เห็นผล ครอบครัวของเราที่มีกินมีใช้ก็มาจากเขาทั้งนั้น... เหมือนเราปลูกต้นไม้เล็กๆ รดน้ำ พรวนดิน เพื่อเฝ้ารอวันที่ต้นไม้จะผลิดอกออกผล “วันนนี้เขาโตแล้ว เราจะบ่นเขาไม่ได้อีกแล้ว มีแต่เขานั่นแหละที่จะมาบ่นเราแทน” คุณพ่อก้องภพ กล่าวอย่างมีความสุข
http://www.thairath.co.th/content/537826
..มีวันนี้เพราะพ่อให้.. เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์
..ซ้ำ...ขออภัย...
"มีวันนี้เพราะพ่อให้" หากจะหานักกีฬาที่คู่ควรกับคำๆ นี้ คงไม่มีใครที่จะเหมาะสมไปกว่า สองสุดยอดนักกีฬา ระดับซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทย อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลร่างเล็ก แต่ฝีเท้าระดับเทพ ถึงขนาดได้รับฉายาว่า “เมสซี่เมืองไทย” และ ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสชายหนึ่งเดียวของไทย ที่เคยไต่ไปถึงอันดับที่ 9 ของโลก เบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ วันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ชายที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาทั้งสองคน ผู้ซึ่งปลุกปั้นให้ลูกน้อยได้เติบใหญ่จนกลายมาเป็นนักกีฬาชื่อเสียงโด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย
เมสซี่เจ นักฟุตบอลฝีเท้าจัด ตัวปั่นป่วนแนวรับของคู่แข่ง มีวันนี้ได้เพราะคุณพ่อวาดฝันไว้ว่า วันหนึ่งลูกชายของเขา จะต้องเป็นนักฟุตบอลแบบ ดิเอโก มาราโดนา คุณก้องภพ สรงกระสินธ์ อายุ 50 ปี บิดาของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดัง เล่าว่า ตัวผมเอง ชอบเล่นฟุตบอลแต่ว่าเล่นไม่เก่ง เวลาไปแข่งกับใครก็สู้เขาไม่ได้ มีวันหนึ่งได้มานั่งคิดทบทวน เหตุใดเราจึงสู้คนอื่นไม่ได้ สุดท้ายก็ได้คำตอบ
เมสซี่เจ ขวัญใจแฟนบอลชาวไทย
“ตอนเด็กๆ ผมไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอล เพราะที่บ้านมีแต่ท้องไร่ท้องนา สมัยเรียนชั้นประถม ที่โรงเรียนก็มีแต่สนามแชร์บอลเล็กๆ จะมาเล่นแบบจริงๆ จังๆ ก็ตอนมัธยม แต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะกีฬาชนิดนี้ใครมีพื้นฐานดีเท่ากับมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ของแบบนี้มันต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก....ในเมื่อผมไม่สามรถทำได้ จึงคิดว่า ถ้ามีลูกชายสักคน ก็อยากจะทำให้เขาเล่นฟุตบอลเก่งๆ” คุณก้องภพ กล่าว
ปลูกฝังให้รักฟุตบอลด้วยรูปในหนังสือพิมพ์
พ่อของเมสซี่เจ กล่าวต่อว่า ผมจะพยายามให้เขาสนใจฟุตบอลตั้งแต่เริ่มเดินได้ ด้วยการเอารูปภาพลูกฟุตบอลในหนังสือพิมพ์มาวางไว้กับพื้น แล้วบอกเขาว่า “เจ บอลๆ มาเตะบอลเร็วลูก” พอได้ยินเจก็จะรีบวิ่งมาเตะกระดาษหนังสือพิมพ์ พอเจอายุได้ 4 ขวบ (ชั้นอนุบาล 1) ผมจับให้เขาใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วเอาลูกฟุตบอลให้เขาเล่นเพื่อสร้างความคุ้นเคย เวลามีการแข่งขันฟุตบอลที่ไหน ก็จะพาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปดูเป็นประจำ มันทำให้เขาซึมซับกีฬานี้ไปโดยปริยาย
เริ่มหัดฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
ตอนเด็กๆ เขาก็มุ่งมั่นที่จะเล่นฟุตบอล แต่เริ่มโตขึ้นมาหน่อย มันก็มีเบื่อๆ ไปบ้าง ผมเลยต้องใช้อุบายหลอกล่อเช่น บอกเขาว่าให้มาซ้อมบอลกับพ่อ เดี๋ยวให้เงินไปเล่นเกมกด “เขาก็เหมือนเด็กทั่วไปแหละครับต้องอยากเล่นกับเพื่อนๆ หรืออยากทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง” คุณพ่อเมสซี่เจ กล่าว
ขวนขวาย เสียสละ ขอชัยชนะให้ลูก
คุณก้องภพ เล่าต่อว่า ผมเล่นฟุตบอลไม่เก่ง เลยต้องไปขวนขวายหาวิชา เวลาเอาไปสอนลูกจะได้สอนแบบถูกวิธี สมัยนั้นไม่ได้มีอินเทอร์เน็ต ผมก็ไปขอคำปรึกษาจากนักฟุตบอลเก่งๆ อย่าง คุณสุรวุฒิ เลาหกาญจนสิริ (อดีตผู้เล่นทีมชาติและทีมธนาคารกรุงไทย) ขอให้เขาช่วยบอกวิธีเล่นฟุตบอล แล้วตอนนั้นได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ เขาเขียนว่าใครที่อยากได้ตำราฝึกสอนฟุตบอลเด็ก อายุ 8-9 ขวบ ของคุณวิทยา เลาหกุล ให้เขียนจดหมายมาแล้วจะส่งกลับไปให้ ซึ่งผมก็เขียนไป นอกจากนั้นก็จะไปหาซื้อพวกวิดีโอสอนทักษะการเล่นฟุตบอลที่ร้านสตาร์ซอคเกอร์ แต่จะเน้นสไตล์แบบเยอรมันและสไตล์ของ ดิเอโก มาราดอนนา แล้วยังมีซีดีของคุณตุ๊ก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่ทำแจก ผมก็เอาทั้งหมดที่หามาได้ มาศึกษาก่อนแล้วก็สอนให้เขา
ทุกๆ ความสำเร็จ มีคุณพ่อเป็นคนส่งเสริม
ผมอยากให้เขาเป็นเลิศในการเล่นฟุตบอล ผมจึงต้องทำการบ้านให้หนัก เวลากลางคืนก็ต้องขายของ พอตอนเช้าก็อดหลับอดนอนขับรถพาเขาไปแข่ง “คือเราต้องเสียสละ ตัดเรื่องส่วนตัวทิ้ง เวลาเพื่อนมาชวนผมไปนู่นไปนี่ผมก็ไม่ไป เพราะผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอสู้เคียงข้างลูกสัก 10 ปี เชื่อว่าในอนาคต จะต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ”
ฝึกแบบเกาหลี ทำไม่ดีต้องโดนตบ
ผมเป็นคนดุ ตอนเจเป็นเด็กผมจะให้เขาซ้อมฟุตบอลทุกวัน เวลาสอนจะจริงจังมาก “ทำไม่ได้ ทำไม่ดี ...ึงโดน!!” พอยิ่งโตยิ่งดื้อก็ยิ่งโดน ทั้งหวดก้น ตีหน้าแข้ง ตบหัว เจมันโดนมาหมดแล้ว ผมใช้วิธีคิดแบบเกาหลีใต้ ซึ่งเขาจะเน้นระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ที่ผมต้องเคี่ยวเข็ญเขาตั้งแต่เล็กๆ เพราะฟุตบอลมันต้องเริ่มต้นให้ถูกทาง ซ้อมให้เต็มที่ เบสิกจะต้องอัดให้แน่นตั้งแต่ยังเเป็นเด็ก พอเขาโตขึ้น เราจะมาตบมาเตะ มันก็ทำไม่ได้แล้ว “บางวันมันเบื่อ ซ้อมไปร้องไห้ไป อยู่ดีๆ มันเตะบอลอัดใส่ผม ผมก็หวดเข้าให้” คุณก้องภพ กล่าวพร้อมกับหัวเราะ
เมสซี่เจ คว้าแชมป์แฟลตทหารเรือบางนา ปี 2548
หวังว่าลูกจะได้รับใช้ชาติ
คุณพ่อก้องภพ เล่าถึงความฝันไว้ว่า อยากให้ลูกได้เล่นให้กับทีมชาติไทย แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะทำได้หรือไม่ “พอเจอายุ 12 ปี เพื่อนๆ เขาติดทีมชาติกันหลายคน เจเลยมาถามผมว่า หนูจะมีโอกาสติดทีมชาติบ้างไหมพ่อ” ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเรามาวัดกันตอนอายุ 18 ดีกว่า แล้วเราพ่อลูกก็ก้มหน้าก้มตาซ้อมกันต่อไป...
ชนาธิป ภายใต้หน้าอกเสื้อช้างศึก
คำสอนพ่อ ถึงทีมจะแพ้ แต่มาตรฐานต้องคงอยู่
ผมสอนลูกเสมอว่า "เวลาไปแข่งต้องเล่นให้เต็มที่ แม้จะโดนนำไป 10-0 แต่มาตรฐานของเราจะต้องดี ไม่ใช่เล่นเละเทะ มั่วซั่ว แบบนี้พ่อรับไม่ได้!!" พอเขาโตขึ้นมา ผมก็คอยบอกเสมอว่า เราเล่นบอลมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ พ่อศึกษาตำรามาแล้วเอามาสอนแบบถูกวิธี เราซ้อมกันทุกวัน ถ้าหากลูกลงไปเล่นแล้วไม่ได้โดดเด่นกว่าคนอื่น ทั้งหมดที่พ่อสอนมาก็เท่ากับสูญเปล่า
ถ้วยรางวัลสมัยวัยเด็กของเจ
ภูมิใจ ลูกไม่เคยทำให้ผิดหวัง
คุณพ่อก้องภพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงตอนนี้ เจจะไม่ได้เตะบอลกับพ่อแล้ว เพราะเขาต้องทำงานอยู่กับสโมสร แต่เราก็ไปดูทุกครั้งที่เขาแข่ง ตอนนี้ผมภูมิใจ เพราะเขาไม่เคยทำให้ครอบครัวผิดหวัง ทุกความเพียรพยายามที่ทำมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี วันนี้ได้เห็นผล ครอบครัวของเราที่มีกินมีใช้ก็มาจากเขาทั้งนั้น... เหมือนเราปลูกต้นไม้เล็กๆ รดน้ำ พรวนดิน เพื่อเฝ้ารอวันที่ต้นไม้จะผลิดอกออกผล “วันนนี้เขาโตแล้ว เราจะบ่นเขาไม่ได้อีกแล้ว มีแต่เขานั่นแหละที่จะมาบ่นเราแทน” คุณพ่อก้องภพ กล่าวอย่างมีความสุข
http://www.thairath.co.th/content/537826