-T o k y o - ฟรุ๊งฟริ๊งไลฟ์อินเจแปน เที่ยววิถีสโลว์ไลฟ์แบบไร้แพลน กับไกด์สาวสายแบ๊ว ในโตเกียว

สวัสดีชาวพันทิปดอทคอมทุกท่านค่ะ เนื่องจากตอนนี้ ใครๆก็ไปญี่ปุ่นกัน สังเกตุจากเฟสบุคหรือไอจีทีไร มันต้องมีรูปคุณเพื่อนๆเข้าผลัดไม้ เปลี่ยนเวรกันไปญี่ปุ่นกันให้ควั่ก ทุกครั้งต้องเจอรูปญี่ปุ่นใน news feed ตลอดเวลา ที่นี่เรา ซึ่งปกติแล้ว เป็นสายเกาหลี (ไปทุกปี) ก็เกิดอาคารคัน อยากจะไปเป็น 1 ใน คนที่ไปญี่ปุ่นกับเค้ามั่งค่ะ ก็เลยลองหาเหยื่อดู ได้เพื่อนมาคนนึง ที่ยอมไปด้วย โดยมีเงื่อนไขว่า ไปแค่ 5 วันเท่านั้น หลังลางานกันเรียบร้อย ก็จัดการควานหาตั๋วเครื่องบินแอนด์ที่พักกัน ไป  เริ่มจากตั๋วเครื่องบินก่อน

      ทีนี้ ในการไป ญป เนี่ย มันต้องใช้เวลาในการบินตั้งเกือบ 6 ชม. เราเลยเลือกที่จะไม่เอาแอร์เอเชียมาเป็นช้อยส์ ก็เลยลองมองหาตั๋วจากสายการบิน full service จากเอเย่นต์จองตั๋วเจ้าประจำ ซึ่งราคาตั๋วของเจ้านี้จะดีมากๆ  ซึ่ง เท่าที่เห็น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเดินทางนานมากก เนื่องจากต้องใช้เวลารอต่อเครื่องนาน และมักจะเวลาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เกือบจะถอดใจ ยอมจ่ายแพงเพื่อสายการบิน full service ที่บินตรงอย่าง ANA หรือ การบินไทย อะไรเทือกๆนี้ แต่ อ๊ะ สายดาดันเหลือบไปเห็นมุมขวาด้านบนของเว็บไซต์ว่า BKK – TOKYO โดย DELTA Airlines เพียง 10,xxx

      เท่านั้นแหล่ะ ด้วยสนนราคารวมทั้งสิ้น 13,xxx รวม กระเป๋า 23 กิโล คนละ 2 ใบ!!!!!  โอ้วแม่เจ้า ได้ข่าวเพื่อนที่ทำงานจองผ่าน แอร์เอเชียแบบไปช่วงใกล้ๆกัน จ่ายรวมเบ็ดเสร็จเกือบหมื่นห้า เรานี่กรี๊ดเลย แบบว่าราคาดีมากๆๆๆๆ  สำหรับสายการบิน full service ที่บินตรง และเวลาไป – กลับก็ค่อนข้างโอเค (บินเช้าถึงบ่าย กลับไฟลท์เย็น) เรานี่โทรจองแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว 5555  โอเค!! ฟรุ้งฟริ้งทริป เริ่มต้น ณ บัดนาว


      ตั๋วพร้อม โรงแรมก็ต้องมา ก็เตรียมตัวหาที่พักจากอโกด้า โดยจากแพลนคร่าวๆ ที่เพื่อนที่จะไปด้วยให้มา คือ  ขอไปไหว้พระขอไปหาฟูจิซังเค้าซัก 1 คืน นอกนั้นเราจะสามารถพานางไปสโลว์ไลฟ์ที่ไหนนางโอเคหมด เพราะนางรู้ว่า เราไปเที่ยวไหน เราไม่เคยวางแผน และเน้นชิวเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเราไม่เน้น (เอามากๆ)  

      ทีนี้เราก็มาตั้งงบค่าที่พักกันว่า ขอไว้ที่คนละ 1 หมืนบาทสำหรับ ที่พัก 4คืน (โตเกียว 3 คืน และ kawaguchiko  1 คืน) เราก็หาโรงแรมใน  agoda เลยค่ะ ซึ่งที่คิดเอาไว้คือ เราจะเดินทางออกจาก โตเกียวพักที่ kawaguchiko   1 คืน ในวันที่ 2 ของการเดินทาง ดังนั้น โรงแรมที่พักคืนที่ 1 ควรจะเป็น โรงแรมเดียวกับคืนที่ 3 และ 4 จะได้ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ได้ ไม่ต้องตุเลงตุเลงลากกระเป๋ากลับไปกลับมา

      โลเคชั่นที่หมายตาไว้คือ ชินจูกุ เนื่องจากเราจะเดินทางเข้าเมืองด้วย NEX (Narita Express) ซึ่งจอดที่ชินจูกุเลย และอยากเดินไปโรงแรมจากสถานีนี้เลย เนื่องจากขี้เกียจเดินลากกระเป๋ายาวๆ และด้วยการงบที่ตั้งไว้สำหรับโรงแรมในโตเกียวคือ 3 พันบาทต่อคืน เราเลยมาสะดุดกับโรงแรม APA Hotel Shinjuku Kabukicho Tower เนื่องจาก ด้วยงบไม่เกินสามพันบาทต่อคืนกับโรงแรมที่ ณ ตอนจอง ยังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ (เราเดินทาง 18  ตุลาคม และโรงแรมมีกำหนดเปิดวันที่ 30 กันยายน) มันจะต้องใหม่แน่ๆ 55555 และดูจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีครบอยู่ก็โอเคมากๆ รวมถึงอ่างน้ำร้อนที่ชั้นบนสุดของโรงแรมก็ทำให้โรงแรมนี้สะดุดตาเราพอสมควร สนนราคาสำหรับที่โรงแรมนี้ 3 คืน จ่ายไป 11,183 บาท ตกราวคืนละ 3,700 นิดๆ ก็กดจองสิคะ รออะไร อันนี้เป็นรูปประกอบการจัดสินใจเลือกโรงแรมที่เราเอามาจาก agoda นะคะ


      พอมาถึงโรงแรมที่ 2 ที่จะไปพักที่ Fuji Kawaguchiko ที่เพื่อนมีเงื่อนไขว่าอยากนอนเรียวกัง เราก็นั่งเลือกๆไปซึ่ง เมื่อครั้งแรกที่เรามาโตเกียวกับทัวร์เมื่อนานมาแล้ว เราจำได้ว่า เปิดหน้าต่างห้องมาตอนเช้า เราเจอแบบนี้


      แต่ก็จำชื่อโรงแรมไม่ได้เพราะนานมากแล้ว ประกอบกับเท่าที่ดูโรงแรมที่เปิดมาจะเจอแบบนี้ก็เต็มหมดแล้ว ก็เลยเอาวะ เอาแค่ดีก็พอละกัน น้องฟูจิรอเจอด้วยวิธีอื่นก็ได้ เลยมาเจอโรงแรมนี้ค่ะ  Fuji Kawaguchiko Onsen Rakuyu  ค่าที่พักของที่นี่จ่ายๆ  7,820 บาทต่อคืนค่ะ  

** ภาพจากอินเตอร์เน็ต

      เสร็จเรียบร้อยทั้งตั๋วและที่พัก  แต่จะว่าไปก็เสี่ยงไม่ใช่น้อยนะคะ เนื่องจากโรงแรมยังไม่เปิด ฉะนั้นจืงไม่มีรีวิว เอาเข้าจริงหน้างานเป็นไงไม่รู้ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะมีโชค ซึ่ง.. พอเอาเข้าจริง ก่อนวันเดินทางประมาณ 1 อาทิตย์ก็ลองเข้าไปดูใน agoda เผื่อจะมีใครมารีวิว ก็พบว่า โดยรวมค่อนข้างดี ติดที่ว่าห้องเล็กมากกกกกกก ก็เริ่มคิดว่า “ซวยละ” แต่ก็เอาน่า ผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คน ไม่น่าจะเป็นไรม้างงงง
มาถึงวันออกเดินทางกันละ เครื่องออกจากกรุงเทพ 06:50 เดินทางมาถึง ราวๆบ่าย 3 ค่ะ เตรียมตัวแลนดิ้งงงง


      เดินทางมาถึงสนามบินเรียบร้อย ก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองกัน  ซึ่งเกิดเหตุการณ์หน้าแตกคือ รถไปแต่ละเที่ยว เป็นการจองที่นั่งมาเรียบร้อยตามที่ระบุในตั๋ว พอเราขึ้นไป ก็เดินไปที่ที่นั่งของตัวเอง แต่พบว่ามีคนนั่งอยู่เป็นฝรั่ง เราก็เดินไปอย่างมั่นใจว่า
      เรา:  Excuse me, I think this is my seat พร้อมยื่นตั๋วให้นางดูอย่างมั่นใจ
      ฝรั่ง: I think your train is the next bogie..  
      เรา: !!!!
      สรุป เนื่องจากนางมีหลายโบกี้ และบวกกับในตั๋วก็เป็นภาษาญี่ปุ่น เค้าก็งงน่ะเส่ะ!!! วิ่งออกมาเปลี่ยนโบกี้แทบไม่ทันก็เลยเอามาแจ้งไว้เผื่อใครที่ไม่ทราบนะคะ 555 ว่าที่เห็นในตั๋ว 14:19 คือเวลาที่รถออก และ 15:44 คือเวลาที่จะเดินทางถึงชินจูกุ ส่วนเลข  11  11 B ที่มาพร้อมภาษาเจแปนนิสข้างๆ ที่เราเข้าใจว่า ที่นั่งคือ 11B นั้นนนน อิ 11 ข้างหน้าคือโบกี้ค่ะ เพื่อนๆจะได้ไม่สลิ่มแบบเรานะคะ 5555


      เข้าเมืองมาเรียบร้อย เดินทางถึง สถานี ชินจูกุ เราก็ยังคงมั่นใจอยู่เพราะศึกษาเส้นทางออกมาแล้ว ว่าต้องออก East Exit เดินตามป้าย to kabukicho แล้วพอออกมาก็ตรงอย่างเดียว สวยๆ

       แต่!!!!! พอออกมาคือคนเยอะมากกก ทางออกก็เยอะ งงงวยไปหมด แถมเดินวนแล้ววนอีกก็ไม่เจอป้าย East Exit ซักที ความรู้สึกตอนนั้นคือ อ่านมาแล้วว่าสถานีนี้ปราบเซียน แต่ความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายยิ่งนัก T^T คือมันดูจะยากม๊ากกก เพื่อนที่มาด้วยกันก็พาเดินวนไปวนมา หวังว่าจะหาเจอ จนเกือบพาเดินออกมาข้างนอกละ แต่เราว่าที่ดีที่สุดคือเราต้องออกจาก east exit ให้ได้ก่อน เรื่อง explore ข้างทางเอาไว้วันหลัง เลยคิดว่า การถามเป็นทางออกที่ดีที่สุด เลยเดินหา information booth ไดคำตอบว่า คุณค้องเดินลงไปชั้นล่าง เพื่อที่ขึ้นลิฟต์มาชั้นบนจ้า ถึงจะออกมาเจอ ทางออกอื่นๆ คือร่ะ!!  คือถ้าไม่ถามจะเจอมะ?  สถานีรถไฟใต้ดินโตเกียว ข้าขอคารวะท่านจริงๆ


      ออกมาจากทางออก East Exit ก็เจอกับแยกนี้ค่ะ จะเห็นได้ว่า กว่าจะได้ออกมาเจอโลกภายนอกของโตเกียว ฟ้าก็มืดแล้ว ที่นี่มืดเร็วมากเลยค่ะ ราวๆ 5-6 โมงเย็นก็เริ่มมืดมากละ  คืนนี้คงไม่ได้ไปไหนไกลนอกจากเดินเล่นอยู่แถวๆนี้ เราก็เดินตรงออกมาแล้วตามฝูงชนเข้าไปเลยค่ะ  อ้อ ตรอกทางเดินไปโรงแรมนี้ เป็นดงของแบรนด์เนมทั้งมือสองและของใหม่นะคะ มากันให้รึ่ม หลายร้านมากๆ เตรียมเงินกันไปเยอะๆนะคะ

      เดินมาจนถึงอีกแยกนึงก็จะเจอร้านน้องดองกี้ เด่นสง่าเชียว  ก็ตรงไปเรื่อยๆเลยค่ะ แวะโฉบร้านข้างทางซะหน่อยยย ร้านนี้รองเท้าน่ารักมาๆเลยนะคะ ราคาก็ไม่ค่อยแรงด้วย  

  ผลไม้ก็น่ากินมากเลยอ่า

  
     เดินมาเรื่อยๆจนมองตรงไปเห็นน้อง ก็อตซิลล่า แบบนี้ (ที่เห็นนี่คือโรงแรม Shinjuku Gracery Hotel นะคะ ใหม่เหมือนกันแต่ราคาแรงกว่า อันที่เราพัก) ก็ให้เดินไปทางซายมือค่ะ สุดถนนก็จะเจอกับ APA Shinjuku Kabukicho Tower ค่ะ ต้องบอกว่าเรามัวแต่ตื่นเต้นกับอะไรหลายๆอย่างเลยลืมถ่ายรูปโรงแรมค่ะ 555 ภาพเหล่านี้มาจาก agoda นะคะ


     ที่เห็นนี่เป็นด้านหน้าของโรงแรมค่ะ ใหม่มากกกกก

จากรูปที่เห็น เราจะเดินไป check in ด้านขวากันก่อนนะคะ แล้วพนักงานจะแจ้งให้เรามา check in ด้วยตัวเองกับตู้ๆด้านซ้ายมืออีกที เพื่อรับการ์ดเข้าห้องค่ะ
     ส่วนนี่จะเป้นห้องนอน แบบที่เราพักก็ได้ตามรูปนี้เป๊ะเลยค่ะ และอย่างที่บอกว่าห้องเล็กมากนั้น หากวัดจากห้องน้ำตรงทางที่เข้าห้องมา ห้องก็มีพื้นที่เท่านี้จริงๆค่ะ ส่วนที่มองไม่เห็นคือ ตู้กระจกแจ่งตัวด้านข้างค่ะ โรงแรมนี้ไม่มีตู้เสื้อผ้านะคะ แต่มีตะขอและไม้แขวนไว้ให้อยู่ค่ะ




      อันนี้เป็นอ่างน้ำร้อนและซาวน่านะคะ ด้วยความที่เรา accident นิดหน่อยเลยไม่ได้ไปใช้บริการ แต่เค้าบอกว่า 1 ทุ่ม - ตึ่หนึ่ง จะเป็นช่วงพีค ที่คนจะใช้บริการเยอะมาก ก็จัดสรรเวลาไปลองกันดูนะคะ  

      สรุป โรงแรมนี้ สำหรับเรา ถ้ามาแบบผู้หญิงคนเดียว ถือว่าผ่านมากๆค่ะ แต่ถ้ามากันสองคนและสัมภาระเยอะและกระเป๋าใบใหญ่นี่ก็คือจะไม่มีที่วางกันเลยนะคะ ต้องจัดจเิดอะไรกันบนเตียงเลยทีเดียว แต่ถ้าจะพูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น ครบครั้น และโลเคชั่นก็จัดว่าดีมากๆเลยค่ะ ก็แล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคนนะคะ เอาที่สบายใจ 555

      เด๋วมาต่อวันที่ 2 พร้อมรีวิว โรงแรมที่ Fuji Kawaguchiko กันค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่