.
ในสามก๊ก หากเอ่ยถึงเล่ห์เพทุบายการสงครามการปกครองแล้วล่ะก็ มีอยู่มากมายเต็มไปหมด แต่ส่วนใหญ่จะออกมาจากมันสมองคนในระดับชั้นกุนซือที่ปรึกษา มีน้อยครั้งนักที่จะออกมาจากระดับ ทหารชั้นผู้น้อย ที่มีตำแหน่งหน้าที่ไม่สำคัญที่จะส่งผลต่อการช่วงชิงแผ่นดิน
ในเมืองไทย เหตุการณ์ความวุ่นวายในสมัยเมื่อสิบปีก่อน กับบทบาทของคนบางคนที่เป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ แต่กลับคิดการณ์ใหญ่ ชักชวนผู้งมงายให้ใส่เสื้อเหลืองชักธงสร้างความวุ่นวาย และยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า เรื่องราวมันช่างคลับคล้ายกับใครคนหนึ่งในสามก็กเหลือเกิน คนในเมืองไทยนั้น ถึงผมจะไม่ด้บอกว่าเป็นใครแต่ผุ้อ่านก็คงคาดเดาได้ไม่ยากนัก แต่บุคคลที่ผมจะเขียนถึงเพื่อบอกเล่าบทบาทในช่วงสามก๊กนั้น มีชื่อว่า ไทจูสู้
ไทสูจู้ ชาวอำเภอหวง เมืองตงไหล (อุยก๋วน) สมัยยังเด็กไทสูจู้เป็นคนที่ชอบการศึกษาอย่างมาก เมื่อต่อขึ้นก็ได้รับราชการในตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ในบ้านเกิด ครั้งหนึ่งเมื่อเจ้านายของไทสูจู้ เกิดทะเลาะวิวาทกับเจ้าเมืองซึ่งเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่กว่า ทั้งสองก็เลยส่งฎีกาเพื่อร้องทุกข์ สมัยนั้น ใครส่งฎีกาได้ก่อน จะถือว่าได้เปรียบ เพราะส่วนใหญ่จะพิจารณาจากฎีกาที่คนส่งมาก่อน ขุนนางฝั่งตรงข้ามได้ส่งคนนำสารไปแล้ว เจ้านายของไทสูจู้นั้นช้ากว่า และกังวลว่าการส่งสารช้าไปจะไม่เป็นผลดีกับตัวเขา หลังจากพิจารณาอย่างดีแล้ว เขาจึงได้เลือกไทสูจู้ขุนนางชั้นต่ำอายุเพียง 21 ปีเป็นผู้ส่งสารให้เขา
ไทสูจู้เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ช้าเขาก็มาถึงเมืองหลวง ในระหว่างที่เขาเดินบนถนนสายหลักที่มุ่งตรงไปที่ทำการขุนนางราชสำนักก็เจอผู้ส่งสารของอีกฝ่ายกำลังเตรียมที่ส่งฎีกาเช่นกัน ไทสูจู้จึงถามว่า นายท่าน ท่านต้องการที่ส่งยื่นฎีกาใช่หรือไม่ อีกฝ่ายตอบว่าใช่ ไทสูจู้ถามต่อว่า ท่านเก็บไว้ที่ใด คนสั่งสารอีกฝ่ายตอบว่ามันถูกเก็บรักษาไว้ในกระบอกอย่างดี ไทสูจู้จึงถามต่อว่า ท่านมั่นใจแล้วหรือว่า ฎีกานั้นไม่ชำรุดเสียหาย ช่วยนำออกมาให้ข้าตรวจสอบดู
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าไทสูจู้เป็นคนของฝ่ายตรงข้าม จึงส่งฎีกานั้นให้กับไทสูจู้ ไทสูจู้นำมีดออกมาตัดฎีกาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คนส่งสารอีกฝ่ายตกใจร้องตะโกนว่า มีคนทำลายฎีกาของข้า ไทสูจู้จึงดึงตัวเขาออกจากถนน ไม่ให้เป็นที่สังเกต เมื่ออยู่ในที่ลับตาคน ไทสูจู้พูดกับเขาว่า ถ้าท่านไม่ส่งฎีกาให้ข้า ไฉนเลยข้าจะทำลายมันได้
นี่ถือว่าฟ้าลิขิตแล้ว ข้าไม่ใช่คนผิดเพียงคนเดียว แต่เราสองคนมีส่วนร่วมในความผิดนี้ ถ้าเราหลบหนีไป เราก็สามารถเอาชีวิตรอดได้ ไม่อย่างนั้น เราสองคนคงถูกลงโทษอย่างหนักจากการทำลายฎีกา
คนส่งสารอีกฝั่งบอกว่า ท่านได้ทำลาย ฎีกาของข้าแล้ว ในเมื่อท่านได้สิ่งที่ต้องการ ทำไมท่านต้องหลบหนีด้วย ไทสูจู้ตอบว่า เมื่อข้ารับคำสั่งจากเจ้านายของข้าให้เพียงดูว่า ท่านได้ส่งฎีกาแล้วหรือยัง แต่ข้าได้ทำลายฎีกาของท่านได้ ถ้าข้าย้อนกลับไป ข้ากลัวว่าเจ้านายข้าจะกล่าวหาว่า ข้าทำเกินกว่าเหตุและจะลงโทษ ดังนั้นข้าควรจะหลบหนีไปเสียดีกว่า
คนส่งสารอีกฝั่งเห็นด้วยกับไทสูจู้ ทั้งสองออกจากเมืองในวันนั้น ทันทีที่ไทสูจู้ออกจากเมืองกับคนส่งสารของอีกฝ่ายและแยกย้ายกับหลบหนีต่อเพื่อเอาตัวรอด แต่กลับเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปส่งฏีกาของฝ่ายตัวเอง เมื่อเจ้าเมืองอีกฝ่ายได้ทราบเรื่องก็พยายามส่งฎีกาอีกครั้ง แต่เพราะว่าไทสูจู้ได้ส่งฎีกาไปแล้ว ทำให้ฎีกาที่ส่งทีหลังนั้นไม่มีความหมาย และผลการตัดสินก็ทำให้เจ้าเมืองไม่พอใจนัก ทำให้ชื่อของไทสูจู้เป็นที่รู้จัก
ซึ่งถ้าวิเคราะห์เหตุการณ์ให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า ไทจูสู้ผู้นี้ คิดแต่จะสร้างชื่อให้ตัวเองเท่านั้น มิได้เห็นภาระหน้าที่ของตัวเองเป็นสำคัญ เพราะการที่ไทจูสู้สามารถไปดักรอคนส่งสารของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า เขามาถึงที่เมืองเพื่อส่งฎีกาก่อนอีกฝ่าย แต่กลับไม่รีบไปส่งฎีกาฝ่ายตนให้ลุล่วง กลับยอมเสียเวลาเพื่อวางอุบายใส่ฝ่ายตรงข้าม นั้นแสดงว่า ไทจูสู้ผู้นี้คิดถึงแต่ตัวเอง อีกทั้งยัง
ผลักไสความผิดตัวเองให้คนอื่นร่วมรับผิดชอบ ทั้งๆที่คนอื่นไม่ได้มีส่วนผิดในการกระทำของตัวเองเลย คล้ายจับประเทสเป็นตัวประกันแล้วอ้างว่าทุกคนต้องรับผิดชอบ
ขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ เมื่อได้ฟังเรื่องราวของไทสูจู้ก็ประทับใจ และอยากผูกมิตรกับไทสูจู้ โดยการอุปการะมารดาของไทสูจู้ ต่อมาเกิดกบฏโจรผ้าเหลืองขึ้น ขงหยงถูกแต่งตั้งให้มาสู้กับโจรผ้าเหลืองที่ ตูชาง แต่ทัพของเขาเองกลับถูกโจรผ้าเหลืองล้อม ไทสูจู้ได้คุยกับขงหยง ขอให้ขงหยงมอบทหารส่วนหนึ่งให้แก่เขา เขาจะนำทัพไปสู้กับโจรผ้าเหลืองเอง แต่ขงหยงยังไม่เชื่อคำแนะนำของไทสูจู้เพราะเพิ่งมาใหม่ ขงหยงตัดสินใจรอการช่วยเหลือจากภายนอก แต่วันแล้ววันเล่า ก็ไร้วี่แววกำลังเสริมแต่ฝ่ายโจรผ้าเหลืองดูจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ขงหยงคิดว่าการส่งสารไปหาเล่าปี่ เจ้าเมืองเพงง้วนก้วน แต่ไม่มีใครที่มีความสามารถพอที่จะฝ่าวงล้อมกองทัพโจรผ้าเหลืองไปได้ ไทสูจู้จึงอาสาเป็นคนส่งข่าว ขงหยงจึงห้ามไว้ พูดว่า โจรผ้าเหลืองล้อมเราไว้แน่นหนานัก ทุกคนต่างพากันพูดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าท่านจะมีขวัญกำลังใจดีเพียงใด งานนี้ก็ยากเกินไปสำหรับท่าน
ไทสูจู้จึงบอกว่า ที่ท่านต้องการข้า เพราะรู้ดีในความสามารถของตัวข้า การมาของข้าต้องเป็นประโยชน์แก่ท่าน ถ้าข้าเชื่อตามคนอื่นว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วสามารถทำได้ ตัวข้าก็ไร้ประโยชน์ต่อความกรุณาของท่าน เวลาเหลือไม่มากแล้ว ขอท่านอย่าได้โปรดลังเลใจอีก ขงหยงเห็นความตั้งใจของไทสูจู้จึงยอมให้เขาไป
รุ่งเช้าไทสูจู้กับคนติดตามสองคน ก็ควบม้าออกทางประตูเมืองใหญ่ ตัวไทสูจู้ถือธนูโดยให้คนติดตามของเขาแบกเป้าธนูตามหลัง โจรผ้าเหลืองที่ตั้งค่ายอยู่ก็แปลกใจเป็นอันมาก ต่างพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไทสูจู้ข้ามคูเมือง วางเป้าธนูลงและข้ามกลับมา แล้วก็เริ่มยิงธนูใส่เป้าพวกนั้น หลังจากยิงอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีลูกธนูสักลูกเดียวที่ไทจูสู้ยิงถูกเป้า เขากลับเข้าเมือง
รุ่งเช้าวันต่อมาเขาก็ทำเช่นเดิมกับเมื่อวาน โจรผ้าเหลืองบางคนก็ลุกมาดู แต่ส่วนใหญ่ต่างพากันหลับต่อไม่สนใจ เมื่อไทสูจู้ยิงธนูซักพักก็กลับเข้าเมือง รุ่งเช้าวันต่อมา ไทสูจู้ก็ทำเช่นเดิม แต่ไม่มีโจรผ้าเหลืองคนไหนลุกมาดู ต่างพากันนอนต่อด้วยความเกียจคร้าน ไทสูจู้จึงลงแส้ควบม้าวิ่งฝ่าวงล้อมศัตรู กว่าที่ศัตรูจะรู้ตัว ไทสูจู้ก็ควบม้าผ่านวงล้อมมาได้แล้ว และใช้ธนูไล่ยิงสังหารโจรผ้าเหลืองหลายคนจนหมดลูกธนู จึงชักม้ากลับเข้าเมือง โดย เหล่าโจรผ้าเหลืองได้แต่ยืนดูตาค้าง เมื่อคิดจะลงมือก็สายไปเสียแล้ว ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายกลับเข้าเมืองโดยไม่มีใครกล้าติดตามไทสูจู้
ซึ่งวิเคราะห์แล้ว ไทจูสู้ผู้นี้วางอุบายให้ฝ่ายตรงข้ามประมาท ทำให้เชื่อตายใจว่า ตนเองนั้นไร้ฝีมือและไม่ให้ความสำคัญ จากนั้นก็ฉวกฉวยโอกาสเพียงน้อยนิดสร้างความเสียหายด้านขวัญกำลังใจให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างใหญ่หลวง
แต่ถึงกระนั้น กำลังไพล่พลของเมืองปักไฮ ก็ยังไม่กล้าแข็งพอจะต่อกรกับทัพโจรโพกผ้าเหลืองได้ แต่คราวนี้ การขอกำลังบางส่วนของไทจูสู้เพื่อไปทำการส่งสารขอความช่วยเหลือ ก็ไม่ถูกเจ้าเมืองปฏิเสธอีกแล้ว
และเมื่อผ่านไปหลายเหตุการณ์ความสามารถในการใช้อุบายของไทสูจู้ก็เป็นที่ประจักษ์ จนต่อมาในที่สุดก็ได้มาอยู่กับซุนเซ็ก(พี่ชายของซุนกวน) กองกำลังหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่โจโฉในตอนนั้นเห็นว่าเป็นเสี้ยนหนามในการครองแผ่นดินของเว่ยก๊ก
แต่ในที่สุดคนที่ใช้แผนการร้ายมาสร้างชื่อื ก็ต้องจบสิ้นด้วยแผนการร้ายของตัวเอง ในสงครามที่หับป๋า ไทสูจู้อาสาลอบเข้าโจมตีเมืองตอนกลางคืน เพราะมีสายของตนเองที่เป็นคนเลี้ยงม้าภายในเมืองของเตียวเลี้ยวลอบส่งข่าวและประสานงานวางแผนกันเปิดแระตูเมืองลอบจมตีตอนกลางคืน แต่ฝ่ายเตียวเลี้ยวรู้ทันและซ้อนกลแผนของไทสูจู้ โดยดับคบไฟ ซึ่งหมายถึงสัญญานให้ยกทักโจมตีได้ตามแผนที่ไทจูสู้ได้วางไว้ให้กับคนของตัวเอง แต่เมื่อพอไทสูจู้ยกทัพมาถึง กลับถูกระดมยิงจากฝ่ายเตียวเลี้ยว จนพรุนไปทั้งร่าง ซมซานกลับไปตายที่ทัพของซุนเซ้กเจ้านายของฝ่ายตัวเอง
ซึ่งวิเคราะห์แล้วก็จะเห็นได้ว่า ต่อให้แผนการร้ายวางแผนมาดีแค่ไหน มันก็ไม่ได้สำเร็จทุกครั้งไป ซึ่งผมก้ภาวนาของให้ในเมืองไทยเป้นเช่นนั้นโดยเร็วเถอะ และหวังว่าสักวันเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ้างในเมืองไทย
เช่นเคยนะครับ อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหนก็เรียบเรียงออกมาตามความเข้าใจของผมเอง
ป.ล.เมื่อเขียนเรื่องอื่นไม่ได้ เพราะเขียนแล้วกลายเป็นผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดี ก็เขียนมันแต่เรื่องนี้ต่อไปเถอะ ไอ้พระรอง *วันเสาร์แล้ว เลยเอามาโพสท์เร็วหน่อย เพราะเชื่อว่ายังมีคนอยากอ่านอะไรที่พอจะหาสาระได้บ้างเข้ามาอ่านกันเยอะกว่าวันปกตินะครับ
ขอบคุณครับ
*แก้ไขคำผิด
(บทความ) ไทจูสู้ ผู้ยัดเยียดความผิดตนเองให้ผู้อื่น ลวงทำลายผู้อื่นด้วยความผิดตัวเอง และตายด้วยแผนการร้ายของตัวเอง
ในสามก๊ก หากเอ่ยถึงเล่ห์เพทุบายการสงครามการปกครองแล้วล่ะก็ มีอยู่มากมายเต็มไปหมด แต่ส่วนใหญ่จะออกมาจากมันสมองคนในระดับชั้นกุนซือที่ปรึกษา มีน้อยครั้งนักที่จะออกมาจากระดับ ทหารชั้นผู้น้อย ที่มีตำแหน่งหน้าที่ไม่สำคัญที่จะส่งผลต่อการช่วงชิงแผ่นดิน
ในเมืองไทย เหตุการณ์ความวุ่นวายในสมัยเมื่อสิบปีก่อน กับบทบาทของคนบางคนที่เป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ แต่กลับคิดการณ์ใหญ่ ชักชวนผู้งมงายให้ใส่เสื้อเหลืองชักธงสร้างความวุ่นวาย และยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า เรื่องราวมันช่างคลับคล้ายกับใครคนหนึ่งในสามก็กเหลือเกิน คนในเมืองไทยนั้น ถึงผมจะไม่ด้บอกว่าเป็นใครแต่ผุ้อ่านก็คงคาดเดาได้ไม่ยากนัก แต่บุคคลที่ผมจะเขียนถึงเพื่อบอกเล่าบทบาทในช่วงสามก๊กนั้น มีชื่อว่า ไทจูสู้
ไทสูจู้ ชาวอำเภอหวง เมืองตงไหล (อุยก๋วน) สมัยยังเด็กไทสูจู้เป็นคนที่ชอบการศึกษาอย่างมาก เมื่อต่อขึ้นก็ได้รับราชการในตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ในบ้านเกิด ครั้งหนึ่งเมื่อเจ้านายของไทสูจู้ เกิดทะเลาะวิวาทกับเจ้าเมืองซึ่งเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่กว่า ทั้งสองก็เลยส่งฎีกาเพื่อร้องทุกข์ สมัยนั้น ใครส่งฎีกาได้ก่อน จะถือว่าได้เปรียบ เพราะส่วนใหญ่จะพิจารณาจากฎีกาที่คนส่งมาก่อน ขุนนางฝั่งตรงข้ามได้ส่งคนนำสารไปแล้ว เจ้านายของไทสูจู้นั้นช้ากว่า และกังวลว่าการส่งสารช้าไปจะไม่เป็นผลดีกับตัวเขา หลังจากพิจารณาอย่างดีแล้ว เขาจึงได้เลือกไทสูจู้ขุนนางชั้นต่ำอายุเพียง 21 ปีเป็นผู้ส่งสารให้เขา
ไทสูจู้เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ช้าเขาก็มาถึงเมืองหลวง ในระหว่างที่เขาเดินบนถนนสายหลักที่มุ่งตรงไปที่ทำการขุนนางราชสำนักก็เจอผู้ส่งสารของอีกฝ่ายกำลังเตรียมที่ส่งฎีกาเช่นกัน ไทสูจู้จึงถามว่า นายท่าน ท่านต้องการที่ส่งยื่นฎีกาใช่หรือไม่ อีกฝ่ายตอบว่าใช่ ไทสูจู้ถามต่อว่า ท่านเก็บไว้ที่ใด คนสั่งสารอีกฝ่ายตอบว่ามันถูกเก็บรักษาไว้ในกระบอกอย่างดี ไทสูจู้จึงถามต่อว่า ท่านมั่นใจแล้วหรือว่า ฎีกานั้นไม่ชำรุดเสียหาย ช่วยนำออกมาให้ข้าตรวจสอบดู
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าไทสูจู้เป็นคนของฝ่ายตรงข้าม จึงส่งฎีกานั้นให้กับไทสูจู้ ไทสูจู้นำมีดออกมาตัดฎีกาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คนส่งสารอีกฝ่ายตกใจร้องตะโกนว่า มีคนทำลายฎีกาของข้า ไทสูจู้จึงดึงตัวเขาออกจากถนน ไม่ให้เป็นที่สังเกต เมื่ออยู่ในที่ลับตาคน ไทสูจู้พูดกับเขาว่า ถ้าท่านไม่ส่งฎีกาให้ข้า ไฉนเลยข้าจะทำลายมันได้ นี่ถือว่าฟ้าลิขิตแล้ว ข้าไม่ใช่คนผิดเพียงคนเดียว แต่เราสองคนมีส่วนร่วมในความผิดนี้ ถ้าเราหลบหนีไป เราก็สามารถเอาชีวิตรอดได้ ไม่อย่างนั้น เราสองคนคงถูกลงโทษอย่างหนักจากการทำลายฎีกา
คนส่งสารอีกฝั่งบอกว่า ท่านได้ทำลาย ฎีกาของข้าแล้ว ในเมื่อท่านได้สิ่งที่ต้องการ ทำไมท่านต้องหลบหนีด้วย ไทสูจู้ตอบว่า เมื่อข้ารับคำสั่งจากเจ้านายของข้าให้เพียงดูว่า ท่านได้ส่งฎีกาแล้วหรือยัง แต่ข้าได้ทำลายฎีกาของท่านได้ ถ้าข้าย้อนกลับไป ข้ากลัวว่าเจ้านายข้าจะกล่าวหาว่า ข้าทำเกินกว่าเหตุและจะลงโทษ ดังนั้นข้าควรจะหลบหนีไปเสียดีกว่า
คนส่งสารอีกฝั่งเห็นด้วยกับไทสูจู้ ทั้งสองออกจากเมืองในวันนั้น ทันทีที่ไทสูจู้ออกจากเมืองกับคนส่งสารของอีกฝ่ายและแยกย้ายกับหลบหนีต่อเพื่อเอาตัวรอด แต่กลับเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปส่งฏีกาของฝ่ายตัวเอง เมื่อเจ้าเมืองอีกฝ่ายได้ทราบเรื่องก็พยายามส่งฎีกาอีกครั้ง แต่เพราะว่าไทสูจู้ได้ส่งฎีกาไปแล้ว ทำให้ฎีกาที่ส่งทีหลังนั้นไม่มีความหมาย และผลการตัดสินก็ทำให้เจ้าเมืองไม่พอใจนัก ทำให้ชื่อของไทสูจู้เป็นที่รู้จัก
ซึ่งถ้าวิเคราะห์เหตุการณ์ให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า ไทจูสู้ผู้นี้ คิดแต่จะสร้างชื่อให้ตัวเองเท่านั้น มิได้เห็นภาระหน้าที่ของตัวเองเป็นสำคัญ เพราะการที่ไทจูสู้สามารถไปดักรอคนส่งสารของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า เขามาถึงที่เมืองเพื่อส่งฎีกาก่อนอีกฝ่าย แต่กลับไม่รีบไปส่งฎีกาฝ่ายตนให้ลุล่วง กลับยอมเสียเวลาเพื่อวางอุบายใส่ฝ่ายตรงข้าม นั้นแสดงว่า ไทจูสู้ผู้นี้คิดถึงแต่ตัวเอง อีกทั้งยังผลักไสความผิดตัวเองให้คนอื่นร่วมรับผิดชอบ ทั้งๆที่คนอื่นไม่ได้มีส่วนผิดในการกระทำของตัวเองเลย คล้ายจับประเทสเป็นตัวประกันแล้วอ้างว่าทุกคนต้องรับผิดชอบ
ขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ เมื่อได้ฟังเรื่องราวของไทสูจู้ก็ประทับใจ และอยากผูกมิตรกับไทสูจู้ โดยการอุปการะมารดาของไทสูจู้ ต่อมาเกิดกบฏโจรผ้าเหลืองขึ้น ขงหยงถูกแต่งตั้งให้มาสู้กับโจรผ้าเหลืองที่ ตูชาง แต่ทัพของเขาเองกลับถูกโจรผ้าเหลืองล้อม ไทสูจู้ได้คุยกับขงหยง ขอให้ขงหยงมอบทหารส่วนหนึ่งให้แก่เขา เขาจะนำทัพไปสู้กับโจรผ้าเหลืองเอง แต่ขงหยงยังไม่เชื่อคำแนะนำของไทสูจู้เพราะเพิ่งมาใหม่ ขงหยงตัดสินใจรอการช่วยเหลือจากภายนอก แต่วันแล้ววันเล่า ก็ไร้วี่แววกำลังเสริมแต่ฝ่ายโจรผ้าเหลืองดูจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ขงหยงคิดว่าการส่งสารไปหาเล่าปี่ เจ้าเมืองเพงง้วนก้วน แต่ไม่มีใครที่มีความสามารถพอที่จะฝ่าวงล้อมกองทัพโจรผ้าเหลืองไปได้ ไทสูจู้จึงอาสาเป็นคนส่งข่าว ขงหยงจึงห้ามไว้ พูดว่า โจรผ้าเหลืองล้อมเราไว้แน่นหนานัก ทุกคนต่างพากันพูดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าท่านจะมีขวัญกำลังใจดีเพียงใด งานนี้ก็ยากเกินไปสำหรับท่าน
ไทสูจู้จึงบอกว่า ที่ท่านต้องการข้า เพราะรู้ดีในความสามารถของตัวข้า การมาของข้าต้องเป็นประโยชน์แก่ท่าน ถ้าข้าเชื่อตามคนอื่นว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วสามารถทำได้ ตัวข้าก็ไร้ประโยชน์ต่อความกรุณาของท่าน เวลาเหลือไม่มากแล้ว ขอท่านอย่าได้โปรดลังเลใจอีก ขงหยงเห็นความตั้งใจของไทสูจู้จึงยอมให้เขาไป
รุ่งเช้าไทสูจู้กับคนติดตามสองคน ก็ควบม้าออกทางประตูเมืองใหญ่ ตัวไทสูจู้ถือธนูโดยให้คนติดตามของเขาแบกเป้าธนูตามหลัง โจรผ้าเหลืองที่ตั้งค่ายอยู่ก็แปลกใจเป็นอันมาก ต่างพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไทสูจู้ข้ามคูเมือง วางเป้าธนูลงและข้ามกลับมา แล้วก็เริ่มยิงธนูใส่เป้าพวกนั้น หลังจากยิงอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีลูกธนูสักลูกเดียวที่ไทจูสู้ยิงถูกเป้า เขากลับเข้าเมือง
รุ่งเช้าวันต่อมาเขาก็ทำเช่นเดิมกับเมื่อวาน โจรผ้าเหลืองบางคนก็ลุกมาดู แต่ส่วนใหญ่ต่างพากันหลับต่อไม่สนใจ เมื่อไทสูจู้ยิงธนูซักพักก็กลับเข้าเมือง รุ่งเช้าวันต่อมา ไทสูจู้ก็ทำเช่นเดิม แต่ไม่มีโจรผ้าเหลืองคนไหนลุกมาดู ต่างพากันนอนต่อด้วยความเกียจคร้าน ไทสูจู้จึงลงแส้ควบม้าวิ่งฝ่าวงล้อมศัตรู กว่าที่ศัตรูจะรู้ตัว ไทสูจู้ก็ควบม้าผ่านวงล้อมมาได้แล้ว และใช้ธนูไล่ยิงสังหารโจรผ้าเหลืองหลายคนจนหมดลูกธนู จึงชักม้ากลับเข้าเมือง โดย เหล่าโจรผ้าเหลืองได้แต่ยืนดูตาค้าง เมื่อคิดจะลงมือก็สายไปเสียแล้ว ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายกลับเข้าเมืองโดยไม่มีใครกล้าติดตามไทสูจู้
ซึ่งวิเคราะห์แล้ว ไทจูสู้ผู้นี้วางอุบายให้ฝ่ายตรงข้ามประมาท ทำให้เชื่อตายใจว่า ตนเองนั้นไร้ฝีมือและไม่ให้ความสำคัญ จากนั้นก็ฉวกฉวยโอกาสเพียงน้อยนิดสร้างความเสียหายด้านขวัญกำลังใจให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างใหญ่หลวง
แต่ถึงกระนั้น กำลังไพล่พลของเมืองปักไฮ ก็ยังไม่กล้าแข็งพอจะต่อกรกับทัพโจรโพกผ้าเหลืองได้ แต่คราวนี้ การขอกำลังบางส่วนของไทจูสู้เพื่อไปทำการส่งสารขอความช่วยเหลือ ก็ไม่ถูกเจ้าเมืองปฏิเสธอีกแล้ว
และเมื่อผ่านไปหลายเหตุการณ์ความสามารถในการใช้อุบายของไทสูจู้ก็เป็นที่ประจักษ์ จนต่อมาในที่สุดก็ได้มาอยู่กับซุนเซ็ก(พี่ชายของซุนกวน) กองกำลังหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่โจโฉในตอนนั้นเห็นว่าเป็นเสี้ยนหนามในการครองแผ่นดินของเว่ยก๊ก
แต่ในที่สุดคนที่ใช้แผนการร้ายมาสร้างชื่อื ก็ต้องจบสิ้นด้วยแผนการร้ายของตัวเอง ในสงครามที่หับป๋า ไทสูจู้อาสาลอบเข้าโจมตีเมืองตอนกลางคืน เพราะมีสายของตนเองที่เป็นคนเลี้ยงม้าภายในเมืองของเตียวเลี้ยวลอบส่งข่าวและประสานงานวางแผนกันเปิดแระตูเมืองลอบจมตีตอนกลางคืน แต่ฝ่ายเตียวเลี้ยวรู้ทันและซ้อนกลแผนของไทสูจู้ โดยดับคบไฟ ซึ่งหมายถึงสัญญานให้ยกทักโจมตีได้ตามแผนที่ไทจูสู้ได้วางไว้ให้กับคนของตัวเอง แต่เมื่อพอไทสูจู้ยกทัพมาถึง กลับถูกระดมยิงจากฝ่ายเตียวเลี้ยว จนพรุนไปทั้งร่าง ซมซานกลับไปตายที่ทัพของซุนเซ้กเจ้านายของฝ่ายตัวเอง
ซึ่งวิเคราะห์แล้วก็จะเห็นได้ว่า ต่อให้แผนการร้ายวางแผนมาดีแค่ไหน มันก็ไม่ได้สำเร็จทุกครั้งไป ซึ่งผมก้ภาวนาของให้ในเมืองไทยเป้นเช่นนั้นโดยเร็วเถอะ และหวังว่าสักวันเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ้างในเมืองไทย
เช่นเคยนะครับ อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหนก็เรียบเรียงออกมาตามความเข้าใจของผมเอง
ป.ล.เมื่อเขียนเรื่องอื่นไม่ได้ เพราะเขียนแล้วกลายเป็นผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดี ก็เขียนมันแต่เรื่องนี้ต่อไปเถอะ ไอ้พระรอง *วันเสาร์แล้ว เลยเอามาโพสท์เร็วหน่อย เพราะเชื่อว่ายังมีคนอยากอ่านอะไรที่พอจะหาสาระได้บ้างเข้ามาอ่านกันเยอะกว่าวันปกตินะครับ
ขอบคุณครับ
*แก้ไขคำผิด