@@@มุมกาแฟ NONแดง(มุมนี้ไม่มีใครเป็นเสื้อแดง)วันศุกร์ที่ 6/11/58:6 เดือน 'ล้างบางมาเฟีย'อีกงานใหญ่คสช@@@

กระทู้คำถาม
http://bit.ly/1SfCwAO  กรุงเทพธุรกิจ

จับตาการประชุมร่วมคณะกรรมการปราบปราม “ผู้มีอิทธิพล” ของ “บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุววรณ” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมที่กำกับดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคง เตรียมระดมพลหารือกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายหลังหารือร่วมน่าจะเห็นความชัดเจนทิศทางกรอบนโยบายการลงไปสแกน“เอ็กซเรย์” พื้นที่ทั่วประเทศควานหาตัวผู้มีอิทธิพล  

ในอดีตที่ผ่านมาผู้ที่กว้างขวางมักได้รับการเรียกขาใหญ่หรือ“นักเลง” มีรูปแบบลักษณะโดนใจชาวบ้านคือต้อง “ใจถึงพึ่งได้” ขณะที่ชาวฝรั่งต่างประเทศมักคุ้นเรียกกันเป็นกลุ่ม“มาเฟีย” ล้วนเป็นผู้ที่กว้างขวางในแวดวงของสังคมในด้านมืดขณะเดียวกันบุคคลเหล่านี้มีมากมายหลายอาชีพแล้วเป็นคนที่สังคมรู้จักในด้านลบด้วย  

นโยบายกวาดล้าง“ผู้มีอิทธิพล” ในอดีตถูกนำเข้ามาใช้เป็นช่วงๆ แล้วมีการกวาดล้างกันไปเป็นระยะๆ แม้แต่ในสมัยของผู้นำอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลคุมอำนาจบริหารประเทศได้กำหนดคุณสมบัติผู้มีอิทธิพลเข้าไปยุ่งเกี่ยวสิ่งผิดกฎหมาย เอาไว้15กลุ่ม ดังนี้1.ยาเสพติด2.ฮั้วประมูลงาน3.การเรียกรับผลประโยชน์จากโรงงานและสถานบริการ4.คิวมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างที่ผิดกฎหมาย5.ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน6.บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน7.ลักลอบค้าหญิงและเด็ก8.หลอกลวงคนไปทำงานต่างประเทศ9.ลักลอบนำเข้า-ออกประเทศ10.หลอกลวงต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว11.มือปืนรับจ้าง12.ทวงหนี้ ข่มขู่13.ค้าอาวุธ14.บุกรุกที่ดินสาธารณะ15.เรียกค่าคุ้มครองในที่สาธารณะ เส้นทางหลวงหรือเก็บส่วย  

แต่ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอันดับต้นๆ ยังถูกกลุ่มนักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน เรียกขานยกให้เป็นเผด็จการ คือการเข้าไปให้ตำรวจปราบปรามใช้อำนาจเกินกรอบกฎหมาย กระทั่งถูกประนามเป็นรัฐตำรวจโดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด ทำให้มีการอุ้มฆ่าล้มตายไปเป็นจำนวนกว่า 2,500 ศพ  

เทศกาลการล้างผู้มีอิทธิพล ถูกปลุกขึ้นมาใช้ในยุครัฐบาลเขียวเข้ม “คสช.” ตั้งแต่แรกเริ่มยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินมาจากรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในรูปแบบของการจัดระเบียบสังคม ทั้งระบบขนส่งมวลชน ระบบสลากกินแบ่ง และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อให้เข้ารูปเข้ารอย ถือเป็นการตีกรอบ ให้ง่ายต่อการปกครอง ผลออกมาในระยะแรกอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุดของคำว่า“กวาดล้าง” อย่างแท้จริง  

ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มขึ้นในแล้วในช่วงนี้“รัฐบาล - คสช.” มีความพยายามผลักดันให้เห็นขึ้นมาเป็นรูปธรรมชัดเจนอีกครั้ง โดยมีการตั้งเป้าปราบผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟียให้หมดไปภายใน 6 เดือนต่อจากนี้“บัญชีดำ-แบล็คลิสต์” ที่อยู่ในโหมด ถือเป็นวาระเร่งด่วนได้ถูกจัดกลุ่มที่เข้าข่าย มี กลุ่มค้ายาเสพติด กลุ่มฮั้วประมูล คิวมอเตอร์ไซค์รถยนต์ผิดกฎหมาย กลุ่มค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก โสเภณี กลุ่มเรียกรับผลประโยชน์จากสถานประกอบการต่างๆกลุ่มลักลอบขนสินค้าหนีภาษี น้ำมัน บุหรี่ สุราเถื่อนกลุ่มบ่อนการพนัน โต๊ะพนันบอล หวยใต้ดิน จับยี่กี่ ตู้ม้า กลุ่มลักลอบนำเข้า-ออกคนผิดกฎหมาย กลุ่มหลอกลวงคนไปทำงานต่างประเทศ ต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว กลุ่มมือปืนรับจ้าง และรับจ้างท้วงหนี้ กลุ่มค้าอาวุธ สะสมอาวุธปืนระเบิดกลุ่มบุกรุกที่สาธารณะ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และกลุ่มเรียกค่าคุ้มครองการกระทำผิดบนทางหลวงหรือสาธารณะ เข้าข่าย “ผู้มีอิทธิพล” ทั้งหมด  

ล่าสุดในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเห็นเค้าลางมากขึ้น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. สะบัดปากกาตั้งคณะกรรมการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ให้พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม นั่งเป็นประธานในการเดินหน้าลุยรุกชำระล้างกลุ่มบุคคลที่ทำตัวใหญ่คับบ้านคับเมือง โดยความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐในระดับบิ๊กๆ อย่าง คสช. กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในรูปแบบโครงสร้างคณะทำงานแบบบูรณาการร่วมลุยเร่งชำระให้หมดสิ้นไปจากประเทศ ขีดเส้นภายใน 6 เดือน  

หากมองกันลงไปจริงๆแล้ว คณะปราบมาเฟียชุดนี้ของรัฐบาล มีความพยายามพุ่งตรงไปที่ประเด็นของความขัดแย้งของคนในชาติที่ผ่านมา นับย้อนหลังไปซักช่วง 5-6 ปี ในประเด็นการใช้อาวุธสงคราม ปืน ระเบิด เข้าทำร้ายคนในประเทศเดียวกันเอง จนถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย แล้วมีการยึดอาวุธสงครามจากเจ้าหน้าที่ไปครอบครองด้วย  

นาทีนี้ “บิ๊กป้อม” ในฐานะที่ลงมากำกับดูแลงานนี้ ออกตัวขออย่าให้เรียกว่าเป็นการปราบมาเฟีย การดำเนินการครั้งนี้ให้ถือเป็นการควบคุมบุคคลเหล่านี้ที่ทำให้ทุกพื้นที่ไม่เรียบร้อย ใช้อิทธิพลทำให้เกิดความเกรงกลัว ให้เข้ามาอยู่ในกรอบกติกาของกฎหมาย  

“ที่สำคัญที่สุดคือ เราจะลงไปดูในเรื่องของอาวุธสงคราม ตั้งแต่ปี2553ปืนทราโว่ ของกองทัพบกหายไป ยังไม่ได้คืนเลย เราจะลงไปดูในทุกพื้นที่ โดยความร่วมมือจากระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม คสช. และ สตช. บูรณาการในด้านความมั่นคงเพื่อร่วมกันในทุกๆพื้นที่” พล.อ.ประวิตร เกริ่นนำก่อนนำคณะเข้าสู่โหมดหารือแนวทางกวาดล้างผู้มีอิทธิพล  

ในความ “ความเบ็ดเสร็จ” กลุ่มบุคคลเหล่านี้ เป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์มาแล้วว่า ก่อให้เกิดระบบ “อุปถัมภ์” ขึ้นในสังคมไทย ที่ยากจะสลัดพ้นไปได้โดยง่าย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะมั่งคั่งด้วยเงินอำนาจ สร้างเครือข่ายโยงใยเข้าสู่ระบบการเมือง ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ  

“คำว่า “ผู้มีอิทธิพล” มีคำจำกัดความอยู่แล้ว หมายความถึง บุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำผิดกฎหมาย รวมความไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด แสวงประโยชน์ กดขี่ ข่มเหง พี่น้องชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่มีทางสู้ ซึ่งผู้มีอิทธิพลดังกล่าว มักมีเครือข่ายอาชญากร ซุ้มมือปืน เป็นองค์ประกอบสำคัญ” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลในรายการคืนความสุขให้คนในชาติเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา และ ย้ำว่า “นโยบายนี้ ไม่ได้เป็นการไล่ล่าฆ่าฟันใครเพียงแต่กำชับให้มีมาตรการที่เหมาะสมทางกฎหมาย เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ อย่าไปปล่อยปละละเลย เราไม่จำเป็นต้องไปออกกฎหมายอะไรใหม่อีกแล้ว กฎหมายเดิมก็เพียงพออยู่แล้ว”  

เทศกาลล้างบาง “ผู้มีอิทธิพล” เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ภายใต้กฎหมาย มีความเท่าเทียมกัน กำลังเริ่มขึ้น จะสำเร็จหรือไม่ ต้องติดตาม!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่