ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์ โทร 0906925132 (รู้ไว้ใช่ว่า)
วันที่ 8 พย. 58 จะตั้งกระทู้ว่า รถเมล์วิ่งได้ 20 - 30 กม. / ชม. (ในเวลาเร่งด่วน) ทำได้ไหม ?
ดูลิ้งค์ วีดีโอ ข้างบนนี้ก่อนอ่านข้างล่างนี้
คุณดู๋ สัญญา พูดในโฆษณาว่า ถ้าต้องการในสิ่งที่ไม่เคยมี
ก็จะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ แล้วเขาก็เดินข้ามหน้าผาไป ปัญหารถติดก็เช่นเดียวกัน ถ้าต้องการแก้ปัญหารถติด (แบบไม่บังคับ) ซึ่งไม่เคยมีประเทศไหนในโลกเคยทำได้ ก็
จะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยมีประเทศไหนในโลกเคยทำ เช่นกัน
จึงขอให้ท่าน
ดร. หรือ ศ. (ทั้งในและต่างประเทศ) หรือ คนเรียนน้อย (อย่างเจ้าของกระทู้ (ม.3)) หรือผู้รู้ หรือ เศรษฐี ยาจก เด็ก หรือคนแก่ ก็ได้ กรุณาช่วยกันชี้แนะ แก้ไข ปรับปรุง และส่งเสริม เพื่อให้วิธีในกระทู้นี้ได้นำไปปฏิบัติได้จริง
ถึงจะต้องจูงจมูกรัฐบาลให้เดิน (ถ้ารัฐบาลโง่) ก็ต้องทำ เพราะประชาชนต้องใหญ่กว่ารัฐบาล
ดร. หรือ ศ. (ในต่างประเทศ) คงอ่านกระทู้นี้ไม่ออก เว้นแต่จะเป็นพวกท่านทูต ภาษาอังกฤษผมได้แค่ ABC เท่านั้น
ใครแปลได้ช่วยที ?
ขอแก้ความโง่ของผม (ที่พูดในวีดีโอ) คือ เวลาที่รถเก๋งในแต่ละแยกติดไฟแดง
6 - 8 นาที / 1 ไฟแดง (ผิด) แก้เป็น
4 - 6 นาที / 1 ไฟแดง (ถูก) วันนี้เลยต้องมาสารภาพว่าผมก็โง่เหมือนกันแหละ ถ้าวันนี้ไม่ยอมโง่ วันหน้าก็อาจจะโง่ แต่ถ้าวันนี้ยอมโง่ วันหน้าก็อาจจะหายโง่ได้ (อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 1 สลับกับ ปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก สลับกับ
ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 2 สลับกับ ปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก สลับกับ
ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 3 สลับกับปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก สลับกับ
ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 4 สลับกับ ปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก
ดังนั้น เวลาที่รถเก๋งในทุกๆ แยก จะต้องรอไฟแดง คือ เวลาใช้ปล่อยเฉพาะรถเก๋ง 3 ครั้งๆ ละ 1 นาที รวมเป็น 3 นาที บวกกับปล่อยเฉพาะรถเมล์ทั้ง 4 แยกๆ ละ 6 วินาที 4 ครั้งรวมเป็น
24 วินาที / การปล่อยเฉพาะรถเมล์ทั้ง 4 แยก 1 ครั้ง ดังนั้น การปล่อยเฉพาะรถเมล์ทั้ง 4 แยก 4 ครั้ง จึง = 24 x 4 =
96 วินาที / การปล่อยเฉพาะรถเมย์ทั้ง 4 แยก 4 ครั้ง
หมายเหตุ เวลาทั้งหมดนี้ เป็นเวลาที่สมมุติ โดยประมาณเท่านั้น
ดังนั้น เวลาที่
รถเก๋งในทุกๆ แยก จะต้องรอไฟแดงรวมทั้งหมดประมาณ = 96 วินาที + 3 นาที =
3.36 นาที / 1 ไฟแดง
นักการเมือง เป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิด จะทำอะไร หรือจะไม่ทำอะไร ดังนั้นนักการเมืองจึง
ต้องอ่านกระทู้และดูคลิปนี้ หลายๆ รอบ (ยิ่งมากรอบยิ่งดี)
การแก้ปัญหาจราจร (ในประเทศที่เจริญแล้ว)
เข้าจะออกกฎ หรือระเบียบ มาบังคับให้คนใช้รถเก๋งน้อยลง ใช้รถสาธารณะมากขึ้น แต่ประเทศเรานักการเมืองไม่กล้าทำ
วิธีต่อไปนี้ ไม่ใช่วิธีบังคับ แต่ใช้การจูงใจโดยทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆ ดังต่อไปนี้
เนื้อหาต่อไปนี้ คัดลอก (บางส่วน) และแก้ไขมาจากกระทู้ ในพันทิป ของรู้ไว้ใช่ว่า เรื่อง เกี่ยวกับรถเมล์ (เหล้าเก่าในขวดใหม่) ใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจรแบบใหม่ จะ
สามารถแก้ปัญหาจราจรเบร็ดเสร็จได้ภายใน 1 ปี และใช้เงินในการก่อสร้างน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
จะทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆ คือ รถเมล์ทุกๆแยก จะติดไฟแดงประมาณ 2 นาที / 1 ไฟแดง ส่วนรถเก๋งในทุกๆแยก จะติดไฟแดงประมาณ 4 - 6 นาที / 1 ไฟแดง
โดยรถเมล์จะถูกบังคับให้ติดไม่เกิน 1 ไฟแดง / 1 สี่แยก แต่รถเก๋งอาจจะติดนาน 1 หรือ 2 หรือ 3 ไฟแดง / 1 สี่แยก ก็ได้
ดังนั้น
เงื่อนไขนี้ จะทำให้รถเมล์ในวิธีนี้ วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆๆ ได้ตามต้องการ เพื่อแลกเปลี่ยนให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ (โดยไม่ได้บังคับ) ใครไม่รีบร้อน หรือใครมีความจำเป็นต้องใช้รถเก๋งมากๆ ก็สามารถเลือกใช้รถเก๋งต่อไปได้
ปัญหาจราจรเกิดจากรถเก๋ง (เพียงบางส่วน) แต่
จริงๆแล้ว เกิดจากการมีผู้บริหาร (ในอดีต) โง่ (ทำนองเดียวกับทีมฟุตบอลที่มีโค้ชโง่ ไม่สามารถแยกถูกผิด ดีชั่ว ใครเล่นเก่ง ใครเล่นไม่เก่ง ไม่รู้ไม่เห็น ย่อมทำให้ทีมดีขึ้นไม่ได้)
หมายเหตุ ผู้บริหารในอดีตโง่ (ด้านจราจร) ในที่นี้หมายถึง 1. ผู้บริหารประเทศ
(ยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์) 2. ผู้บริหาร กทม.
(มรว. สุขุมพันธุ์) เพราะผมเคยส่งวิธีนี้ (ทาง จม. หลายครั้ง) เงียบๆๆๆๆ และเคยขอเข้าพบท่านเหล่านี้ (ยกเว้นท่านยิ่งลักษณ์) หลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบ ได้พบแต่เลขหรือเลขาของเลขา 3. ผู้บริหารตำรวจจราจร (พล.ต.ท. ภาณุ เกิดลาภผล) เคยพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย (จึงจบกันไป)
หมายเหตุ ถ้าผู้บริหารในอดีตไม่โง่ ก็จะต้องเป็นเจ้าของกระทู้โง่ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์)
วิธีนี้ใช้ในเวลาเร่งด่วน โดยสัญญาณไฟที่ช่องสำหรับรถเมล์ และช่องสำหรับรถเก๋ง จะเปิดเฉพาะในเวลาเร่งด่วน
ยกเว้นถนนบางสาย อาจใช้นอกเวลาเร่งด่วนก็ได้
ข้อเสียของวิธีนี้ คือ การขึ้นสัญญาณไฟที่ช่อง A B C (ที่กล่าวไว้ในวีดีโอ) เพราะเป็นวิธีแบบใหม่ มีความซับซ้อนมากกว่า โดยอาจใช้วิธีดังต่อไปนี้
ใช้เจ้าหน้าที่ (ไม่ต้องใช้ตำรวจ) ควบคุมสัญญาณไฟจราจร 5 คน / 1 สี่แยก โดยเจ้าหน้าที่จะต้องผ่านการอบรม การขึ้นสัญญาณไฟ (แบบใหม่) นี้
โดย อาจจะให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปอยู่ในที่สูง เพื่อให้เห็นช่อง A B C ของทั้งสี่แยกนี้ได้ทั้งหมด หรืออาจจะมองผ่านกล้องวงจรปิด (หลายๆ ตัว) ในห้องควบคุมสัญญาณไฟจราจร (ที่อยู่ในบริเวณนั้น) และให้เจ้าหน้าที่ ทั้ง 5 คนนี้ กดปุ่มควบคุมนี้ คนละ 1 เครื่อง พร้อมๆกัน และ
ถ้ามีคนกดปุ่มใดซ้ำกัน 3 ครั้งจึงจะขึ้นไฟ 1 ครั้ง (ทำนองเดียวกับการให้คะแนนมวยสากลสมัครเล่น) เพื่อให้ได้คำสั่ง (ขึ้นสัญญาณไฟ) ที่ต้องถูกมากขึ้น
ควรจะมีลานจอดรถเก๋ง แบบที่หมอชิด (จอดแล้วจร ของรถไฟฟ้า) ทุกๆถนนที่ใช้วิธีนี้ เพื่อให้รถเก๋งที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ สามารถขับรถเก๋งเข้ามาจอด ในลานจอดรถเก๋งนี้ แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถเมล์
(จอดแล้วจร ของรถเมล์)
หมายเหตุ ผู้ใช้รถเก๋งที่ต้องการขึ้นรถไฟฟ้า จะต้องขับรถเก๋งออกจากบ้านแล้วหาที่จอดใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า แล้วขึ้นรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) มาที่สถานีรถไฟฟ้า (ถ้าไม่มีที่จอดแล้วจร)
ใช้เวลาในการเดินจากป้ายรถเมล์ ขึ้นสถานี ซื้อตั๋ว รอรถไฟฟ้า (ประมาณ 10 นาที) และเมื่อลงรถไฟฟ้าแล้วต้อง
เดินลงมาจากสถานีเพื่อต่อรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) ไปจุดหมายปลายทาง (อีก 5 นาที) ยกเว้นจุดหมายนั้นจะอยู่ที่ใกล้ๆสถานีพอดี ดังนั้นจะเห็นว่าจะต้องเดินไปก็เดินมา ต่อรถกันหลายทอด หรือถ้าต้องเปลี่ยนระบบ (เชื่อมโยง)
จากใต้ดินไปลอยฟ้า (อีกประมาณ 5 นาที)
ดังนั้น การใช้รถไฟฟ้า จะต้องเดินไปเดินมา ซื้อตั๋ว รอรถ ไปฟรี 15 - 20 นาที
แต่ถ้าใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ (อย่างเดียว) จะประหยัดเวลาในการเดินขึ้นเดินลง และรอรถ ซื้อตั๋ว ที่สถานีรถไฟฟ้า 15 - 20 นาที ดังนั้น ถึงรถเมล์ตามวิธีนี้ จะมีความเร็วเฉลี่ยน้อยกว่ารถไฟฟ้า (เล็กน้อย) แต่เมื่อตัด (ลบ) เวลาเดินขึ้นเดินลง และรอรถที่สถานีรถไฟฟ้า ออกทั้งหมด (15 - 20 นาที) อาจจะทำให้การใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ ใช้เวลาน้อยกว่าการใช้รถไฟฟ้าก็ได้ ???
(ถ้าในระยะไม่กี่ กม. รถเมล์ตามวิธีใหม่ กินขาด)
ควรเพิ่มจำนวนรถเมล์ รถเมล์ใน กทม. ในปัจจุบัน
มีจำนวนประมาณ 7000 คัน รถเก๋งมีประมาณ 3 - 5 ล้านคัน ดังนั้น ถ้า
เพิ่มรถเมล์ เป็น 10000 หรือ 20000 หรือ 30000 คัน (ได้ยิ่งมากยิ่งดี) จะเป็นรถร้อนหรือรถแอร์ ก็ได้ หรืออาจะใช้รถกระบะ หรือรถสี่ล้อ (ใหญ่) หรือรถหกล้อ ก็ได้ มาต่อเก้าอี้ (แบบรถที่ใช้วิ่งในซอย นำมาใช้วิ่งในวิธีใหม่นี้ก็ได้) หรือรถทหาร ก็ได้
จะช่วยทำให้เพิ่มความถี่ในการวิ่งผ่านป้ายรถเมล์ได้บ่อยขึ้น และทำให้ผู้ใช้รถเมล์ไม่ต้องรอรถเมล์นาน
ควรปรับปรุงป้ายรถเมล์ ให้บังแดด บังฝนได้จริงๆ เพราะหลังคาป้ายรถเมล์บางแบบบังแดดบังฝนได้ไม่ดี
วิธีนี้จะทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็ว กว่ารถเก๋งมากๆ เพื่อทำให้ผู้ใช้รถเก๋งจำนวนมาก จะยอมเปลี่ยนมาใช้รถเมล์
(โดยไม่ต้องบังคับ) ทันที หรืออาจจะเรียกว่า
บีบแต่ไม่บังคับ ท้ายแถวของรถติดก็จะหดสั้นลงทันที เพราะรถเมล์ได้ปล่อยทุก 2 นาที / 1 ไฟแดง ส่วนรถเก๋งจะได้ปล่อยประมาณ 4 - 6 นาที / 1 ไฟแดง และให้รถเมล์จะต้องติดที่ทุกๆสี่แยกไม่เกิน 1 ไฟแดง ส่วนรถเก๋งอาจจะติดในแต่ละสี่แยก 1 หรือ 2 หรือ 3 ไฟแดง ก็ได้ (ช่างรถเก๋งมัน) ที่คิดแบบนี้ไม่ได้ไปเกลียดชังอะไรรถเก๋ง แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาจราจร จะไปสงสารคนชั่วไม่ได้ คนชั่วจะต้องถูกลงโทษ
หมายเหตุ คนชั่วในที่นี้ ไม่ได้ชั่วที่นิสัย คนชั่วในที่นี้ คือ ผู้ใช้รถเก๋งที่ใช้ผิวจราจรมากกว่า ผู้ใช้รถเมล์มากกว่า 10 เท่า และสามารถขนคนผ่านสี่แยกน้อยกว่ารถเมล์ 10 เท่า (ชั่วร้ายในแง่จราจร) ส่วนผู้ใช้รถเมล์ในที่นี้ จึงเรียกว่าคนดี (ในแง่จราจร)
ดังนั้น รถเมล์ตามวิธีนี้จะวิ่งได้ประมาณ 20 - 30 กม. / ชม. (ในเวลาเร่งด่วน) ส่วนรถเก๋งจะวิ่งได้ 12 กม. / ชม. (ในเวลาเร่งด่วน) รถเมล์วิ่งเร็วขึ้นมากๆ ส่วนรถเก๋ง จะวิ่งได้ช้า (เท่าปัจจุบัน)
โค้ชฟุตบอลเก่งๆ จะต้องรู้ว่า ใครดี ใครชั่ว
จะต้องส่งเสริมใคร จะต้องกดหัวใคร (จะต้องมองอนาคตเป็น ไม่ใช่จะมองแต่ปัจจุบัน) ฝันหวานไปวันๆ
ผู้ใช้รถเก๋งจะต้องยอมเสียสละ กินยาขม โค้ชจะต้องกล้าให้ยาขม อย่าไปสงสารคนไข้ ถ้าสงสารคนไข้ แล้วมันจะหายป่วยหรือ ?????? อย่ามองแต่โลกสวย
ปัญหารถติดเกิดจาก
1. ผิวจราจรไม่เพียงพอ ถนนในประเทศที่เจริญแล้วจะมีพื้นที่ถนนประมาณ 25% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่กทม. เรามี 9% กว่าๆ ทำให้ผิวจราจรไม่เพียงพอ (ทำให้ท้ายแถวรถติดยาวเหยียด)
2. รถติดที่สี่แยก สี่แยก มีรถมาจากสี่ทิศทาง แต่ปล่อยได้เพียงครั้งละ 1 ทิศทาง จึงทำให้ท้ายแถวรถติดยาวเหยียด
แต่รถเมล์ ใช้ผิวจราจรน้อยกว่ารถเก๋ง 10 กว่าเท่า ขนคนผ่านสี่แยกมากกว่ารถเก๋ง 10 กว่าเท่า (ดังที่กล่าวในวีดีโอ)
ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์ 0906925132
รถเมล์ กับ ปัญหารถติด ถึงจะต้องจูงจมูกรัฐบาลให้เดิน (ถ้ารัฐบาลโง่) ก็จะต้องทำ
ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์ โทร 0906925132 (รู้ไว้ใช่ว่า)
วันที่ 8 พย. 58 จะตั้งกระทู้ว่า รถเมล์วิ่งได้ 20 - 30 กม. / ชม. (ในเวลาเร่งด่วน) ทำได้ไหม ?
ดูลิ้งค์ วีดีโอ ข้างบนนี้ก่อนอ่านข้างล่างนี้
คุณดู๋ สัญญา พูดในโฆษณาว่า ถ้าต้องการในสิ่งที่ไม่เคยมี ก็จะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ แล้วเขาก็เดินข้ามหน้าผาไป ปัญหารถติดก็เช่นเดียวกัน ถ้าต้องการแก้ปัญหารถติด (แบบไม่บังคับ) ซึ่งไม่เคยมีประเทศไหนในโลกเคยทำได้ ก็จะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยมีประเทศไหนในโลกเคยทำ เช่นกัน
จึงขอให้ท่าน ดร. หรือ ศ. (ทั้งในและต่างประเทศ) หรือ คนเรียนน้อย (อย่างเจ้าของกระทู้ (ม.3)) หรือผู้รู้ หรือ เศรษฐี ยาจก เด็ก หรือคนแก่ ก็ได้ กรุณาช่วยกันชี้แนะ แก้ไข ปรับปรุง และส่งเสริม เพื่อให้วิธีในกระทู้นี้ได้นำไปปฏิบัติได้จริง ถึงจะต้องจูงจมูกรัฐบาลให้เดิน (ถ้ารัฐบาลโง่) ก็ต้องทำ เพราะประชาชนต้องใหญ่กว่ารัฐบาล
ดร. หรือ ศ. (ในต่างประเทศ) คงอ่านกระทู้นี้ไม่ออก เว้นแต่จะเป็นพวกท่านทูต ภาษาอังกฤษผมได้แค่ ABC เท่านั้น ใครแปลได้ช่วยที ?
ขอแก้ความโง่ของผม (ที่พูดในวีดีโอ) คือ เวลาที่รถเก๋งในแต่ละแยกติดไฟแดง 6 - 8 นาที / 1 ไฟแดง (ผิด) แก้เป็น 4 - 6 นาที / 1 ไฟแดง (ถูก) วันนี้เลยต้องมาสารภาพว่าผมก็โง่เหมือนกันแหละ ถ้าวันนี้ไม่ยอมโง่ วันหน้าก็อาจจะโง่ แต่ถ้าวันนี้ยอมโง่ วันหน้าก็อาจจะหายโง่ได้ (อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 1 สลับกับ ปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก สลับกับ ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 2 สลับกับ ปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก สลับกับ ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 3 สลับกับปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก สลับกับ ปล่อยรถเก๋งแยกที่ 4 สลับกับ ปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก
ดังนั้น เวลาที่รถเก๋งในทุกๆ แยก จะต้องรอไฟแดง คือ เวลาใช้ปล่อยเฉพาะรถเก๋ง 3 ครั้งๆ ละ 1 นาที รวมเป็น 3 นาที บวกกับปล่อยเฉพาะรถเมล์ทั้ง 4 แยกๆ ละ 6 วินาที 4 ครั้งรวมเป็น 24 วินาที / การปล่อยเฉพาะรถเมล์ทั้ง 4 แยก 1 ครั้ง ดังนั้น การปล่อยเฉพาะรถเมล์ทั้ง 4 แยก 4 ครั้ง จึง = 24 x 4 = 96 วินาที / การปล่อยเฉพาะรถเมย์ทั้ง 4 แยก 4 ครั้ง
หมายเหตุ เวลาทั้งหมดนี้ เป็นเวลาที่สมมุติ โดยประมาณเท่านั้น
ดังนั้น เวลาที่รถเก๋งในทุกๆ แยก จะต้องรอไฟแดงรวมทั้งหมดประมาณ = 96 วินาที + 3 นาที = 3.36 นาที / 1 ไฟแดง
นักการเมือง เป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิด จะทำอะไร หรือจะไม่ทำอะไร ดังนั้นนักการเมืองจึงต้องอ่านกระทู้และดูคลิปนี้ หลายๆ รอบ (ยิ่งมากรอบยิ่งดี)
การแก้ปัญหาจราจร (ในประเทศที่เจริญแล้ว) เข้าจะออกกฎ หรือระเบียบ มาบังคับให้คนใช้รถเก๋งน้อยลง ใช้รถสาธารณะมากขึ้น แต่ประเทศเรานักการเมืองไม่กล้าทำ วิธีต่อไปนี้ ไม่ใช่วิธีบังคับ แต่ใช้การจูงใจโดยทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆ ดังต่อไปนี้
เนื้อหาต่อไปนี้ คัดลอก (บางส่วน) และแก้ไขมาจากกระทู้ ในพันทิป ของรู้ไว้ใช่ว่า เรื่อง เกี่ยวกับรถเมล์ (เหล้าเก่าในขวดใหม่) ใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจรแบบใหม่ จะสามารถแก้ปัญหาจราจรเบร็ดเสร็จได้ภายใน 1 ปี และใช้เงินในการก่อสร้างน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
จะทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆ คือ รถเมล์ทุกๆแยก จะติดไฟแดงประมาณ 2 นาที / 1 ไฟแดง ส่วนรถเก๋งในทุกๆแยก จะติดไฟแดงประมาณ 4 - 6 นาที / 1 ไฟแดง โดยรถเมล์จะถูกบังคับให้ติดไม่เกิน 1 ไฟแดง / 1 สี่แยก แต่รถเก๋งอาจจะติดนาน 1 หรือ 2 หรือ 3 ไฟแดง / 1 สี่แยก ก็ได้
ดังนั้น เงื่อนไขนี้ จะทำให้รถเมล์ในวิธีนี้ วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆๆ ได้ตามต้องการ เพื่อแลกเปลี่ยนให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ (โดยไม่ได้บังคับ) ใครไม่รีบร้อน หรือใครมีความจำเป็นต้องใช้รถเก๋งมากๆ ก็สามารถเลือกใช้รถเก๋งต่อไปได้
ปัญหาจราจรเกิดจากรถเก๋ง (เพียงบางส่วน) แต่จริงๆแล้ว เกิดจากการมีผู้บริหาร (ในอดีต) โง่ (ทำนองเดียวกับทีมฟุตบอลที่มีโค้ชโง่ ไม่สามารถแยกถูกผิด ดีชั่ว ใครเล่นเก่ง ใครเล่นไม่เก่ง ไม่รู้ไม่เห็น ย่อมทำให้ทีมดีขึ้นไม่ได้)
หมายเหตุ ผู้บริหารในอดีตโง่ (ด้านจราจร) ในที่นี้หมายถึง 1. ผู้บริหารประเทศ (ยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์) 2. ผู้บริหาร กทม. (มรว. สุขุมพันธุ์) เพราะผมเคยส่งวิธีนี้ (ทาง จม. หลายครั้ง) เงียบๆๆๆๆ และเคยขอเข้าพบท่านเหล่านี้ (ยกเว้นท่านยิ่งลักษณ์) หลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบ ได้พบแต่เลขหรือเลขาของเลขา 3. ผู้บริหารตำรวจจราจร (พล.ต.ท. ภาณุ เกิดลาภผล) เคยพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย (จึงจบกันไป)
หมายเหตุ ถ้าผู้บริหารในอดีตไม่โง่ ก็จะต้องเป็นเจ้าของกระทู้โง่ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์)
วิธีนี้ใช้ในเวลาเร่งด่วน โดยสัญญาณไฟที่ช่องสำหรับรถเมล์ และช่องสำหรับรถเก๋ง จะเปิดเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ยกเว้นถนนบางสาย อาจใช้นอกเวลาเร่งด่วนก็ได้
ข้อเสียของวิธีนี้ คือ การขึ้นสัญญาณไฟที่ช่อง A B C (ที่กล่าวไว้ในวีดีโอ) เพราะเป็นวิธีแบบใหม่ มีความซับซ้อนมากกว่า โดยอาจใช้วิธีดังต่อไปนี้
ใช้เจ้าหน้าที่ (ไม่ต้องใช้ตำรวจ) ควบคุมสัญญาณไฟจราจร 5 คน / 1 สี่แยก โดยเจ้าหน้าที่จะต้องผ่านการอบรม การขึ้นสัญญาณไฟ (แบบใหม่) นี้
โดย อาจจะให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปอยู่ในที่สูง เพื่อให้เห็นช่อง A B C ของทั้งสี่แยกนี้ได้ทั้งหมด หรืออาจจะมองผ่านกล้องวงจรปิด (หลายๆ ตัว) ในห้องควบคุมสัญญาณไฟจราจร (ที่อยู่ในบริเวณนั้น) และให้เจ้าหน้าที่ ทั้ง 5 คนนี้ กดปุ่มควบคุมนี้ คนละ 1 เครื่อง พร้อมๆกัน และ ถ้ามีคนกดปุ่มใดซ้ำกัน 3 ครั้งจึงจะขึ้นไฟ 1 ครั้ง (ทำนองเดียวกับการให้คะแนนมวยสากลสมัครเล่น) เพื่อให้ได้คำสั่ง (ขึ้นสัญญาณไฟ) ที่ต้องถูกมากขึ้น
ควรจะมีลานจอดรถเก๋ง แบบที่หมอชิด (จอดแล้วจร ของรถไฟฟ้า) ทุกๆถนนที่ใช้วิธีนี้ เพื่อให้รถเก๋งที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ สามารถขับรถเก๋งเข้ามาจอด ในลานจอดรถเก๋งนี้ แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถเมล์ (จอดแล้วจร ของรถเมล์)
หมายเหตุ ผู้ใช้รถเก๋งที่ต้องการขึ้นรถไฟฟ้า จะต้องขับรถเก๋งออกจากบ้านแล้วหาที่จอดใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า แล้วขึ้นรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) มาที่สถานีรถไฟฟ้า (ถ้าไม่มีที่จอดแล้วจร) ใช้เวลาในการเดินจากป้ายรถเมล์ ขึ้นสถานี ซื้อตั๋ว รอรถไฟฟ้า (ประมาณ 10 นาที) และเมื่อลงรถไฟฟ้าแล้วต้องเดินลงมาจากสถานีเพื่อต่อรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) ไปจุดหมายปลายทาง (อีก 5 นาที) ยกเว้นจุดหมายนั้นจะอยู่ที่ใกล้ๆสถานีพอดี ดังนั้นจะเห็นว่าจะต้องเดินไปก็เดินมา ต่อรถกันหลายทอด หรือถ้าต้องเปลี่ยนระบบ (เชื่อมโยง) จากใต้ดินไปลอยฟ้า (อีกประมาณ 5 นาที)
ดังนั้น การใช้รถไฟฟ้า จะต้องเดินไปเดินมา ซื้อตั๋ว รอรถ ไปฟรี 15 - 20 นาที
แต่ถ้าใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ (อย่างเดียว) จะประหยัดเวลาในการเดินขึ้นเดินลง และรอรถ ซื้อตั๋ว ที่สถานีรถไฟฟ้า 15 - 20 นาที ดังนั้น ถึงรถเมล์ตามวิธีนี้ จะมีความเร็วเฉลี่ยน้อยกว่ารถไฟฟ้า (เล็กน้อย) แต่เมื่อตัด (ลบ) เวลาเดินขึ้นเดินลง และรอรถที่สถานีรถไฟฟ้า ออกทั้งหมด (15 - 20 นาที) อาจจะทำให้การใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ ใช้เวลาน้อยกว่าการใช้รถไฟฟ้าก็ได้ ??? (ถ้าในระยะไม่กี่ กม. รถเมล์ตามวิธีใหม่ กินขาด)
ควรเพิ่มจำนวนรถเมล์ รถเมล์ใน กทม. ในปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 7000 คัน รถเก๋งมีประมาณ 3 - 5 ล้านคัน ดังนั้น ถ้าเพิ่มรถเมล์ เป็น 10000 หรือ 20000 หรือ 30000 คัน (ได้ยิ่งมากยิ่งดี) จะเป็นรถร้อนหรือรถแอร์ ก็ได้ หรืออาจะใช้รถกระบะ หรือรถสี่ล้อ (ใหญ่) หรือรถหกล้อ ก็ได้ มาต่อเก้าอี้ (แบบรถที่ใช้วิ่งในซอย นำมาใช้วิ่งในวิธีใหม่นี้ก็ได้) หรือรถทหาร ก็ได้ จะช่วยทำให้เพิ่มความถี่ในการวิ่งผ่านป้ายรถเมล์ได้บ่อยขึ้น และทำให้ผู้ใช้รถเมล์ไม่ต้องรอรถเมล์นาน
ควรปรับปรุงป้ายรถเมล์ ให้บังแดด บังฝนได้จริงๆ เพราะหลังคาป้ายรถเมล์บางแบบบังแดดบังฝนได้ไม่ดี
วิธีนี้จะทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็ว กว่ารถเก๋งมากๆ เพื่อทำให้ผู้ใช้รถเก๋งจำนวนมาก จะยอมเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ (โดยไม่ต้องบังคับ) ทันที หรืออาจจะเรียกว่า บีบแต่ไม่บังคับ ท้ายแถวของรถติดก็จะหดสั้นลงทันที เพราะรถเมล์ได้ปล่อยทุก 2 นาที / 1 ไฟแดง ส่วนรถเก๋งจะได้ปล่อยประมาณ 4 - 6 นาที / 1 ไฟแดง และให้รถเมล์จะต้องติดที่ทุกๆสี่แยกไม่เกิน 1 ไฟแดง ส่วนรถเก๋งอาจจะติดในแต่ละสี่แยก 1 หรือ 2 หรือ 3 ไฟแดง ก็ได้ (ช่างรถเก๋งมัน) ที่คิดแบบนี้ไม่ได้ไปเกลียดชังอะไรรถเก๋ง แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาจราจร จะไปสงสารคนชั่วไม่ได้ คนชั่วจะต้องถูกลงโทษ
หมายเหตุ คนชั่วในที่นี้ ไม่ได้ชั่วที่นิสัย คนชั่วในที่นี้ คือ ผู้ใช้รถเก๋งที่ใช้ผิวจราจรมากกว่า ผู้ใช้รถเมล์มากกว่า 10 เท่า และสามารถขนคนผ่านสี่แยกน้อยกว่ารถเมล์ 10 เท่า (ชั่วร้ายในแง่จราจร) ส่วนผู้ใช้รถเมล์ในที่นี้ จึงเรียกว่าคนดี (ในแง่จราจร)
ดังนั้น รถเมล์ตามวิธีนี้จะวิ่งได้ประมาณ 20 - 30 กม. / ชม. (ในเวลาเร่งด่วน) ส่วนรถเก๋งจะวิ่งได้ 12 กม. / ชม. (ในเวลาเร่งด่วน) รถเมล์วิ่งเร็วขึ้นมากๆ ส่วนรถเก๋ง จะวิ่งได้ช้า (เท่าปัจจุบัน)
โค้ชฟุตบอลเก่งๆ จะต้องรู้ว่า ใครดี ใครชั่ว จะต้องส่งเสริมใคร จะต้องกดหัวใคร (จะต้องมองอนาคตเป็น ไม่ใช่จะมองแต่ปัจจุบัน) ฝันหวานไปวันๆ ผู้ใช้รถเก๋งจะต้องยอมเสียสละ กินยาขม โค้ชจะต้องกล้าให้ยาขม อย่าไปสงสารคนไข้ ถ้าสงสารคนไข้ แล้วมันจะหายป่วยหรือ ?????? อย่ามองแต่โลกสวย
ปัญหารถติดเกิดจาก
1. ผิวจราจรไม่เพียงพอ ถนนในประเทศที่เจริญแล้วจะมีพื้นที่ถนนประมาณ 25% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่กทม. เรามี 9% กว่าๆ ทำให้ผิวจราจรไม่เพียงพอ (ทำให้ท้ายแถวรถติดยาวเหยียด)
2. รถติดที่สี่แยก สี่แยก มีรถมาจากสี่ทิศทาง แต่ปล่อยได้เพียงครั้งละ 1 ทิศทาง จึงทำให้ท้ายแถวรถติดยาวเหยียด
แต่รถเมล์ ใช้ผิวจราจรน้อยกว่ารถเก๋ง 10 กว่าเท่า ขนคนผ่านสี่แยกมากกว่ารถเก๋ง 10 กว่าเท่า (ดังที่กล่าวในวีดีโอ)
ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์ 0906925132