http://www.telecomjournalthailand.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87/
อย่ายอมให้มีการขัดขวางการประมูลคลื่นความถี่
by Rianchai Reowilaisuk
การประมูลคลื่นย่าน 2100 MHz ที่ผ่านมาเมื่อสองปีก่อนเริ่มต้นจากการมีผู้ขัดขวางคัดค้านเรียงหน้ากันเข้ามาขัดขวางนำเรื่องขึ้นสู่ศาลอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบจะไม่มีที่สิ้นสุดผิดกับการประมูลคลื่นครั้งใหม่ดูเหมือนจะไม่มีคนเจ้าเก่าหน้าเดิมดาหน้ามาขัดขวางเหมือนเดิม แต่การประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่ย่าน 900 MHz ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. ที่ทำท่าว่าจะไปได้สวย แต่กลับสะดุดลงอย่างแรงเมื่อบริษัท ทีโอที จำกัด มหาชน (บมจ. ทีโอที) เจ้าของสัมปทานเดิมประกาศคัดค้าน ไม่ยอมคืนคลื่นให้นำไปประมูล แต่ขู่จะยื้อขอนำคลื่นไว้ใช้เองโดยจะทำการฟ้องร้องนำเรื่องให้เป็นคดีความขึ้นสู่ศาลปกครองต่อไป ซึ่งหาก บมจ.ทีโอที ยังคิดจะเดินหน้าตามที่ประกาศไว้ ก็ไม่อาจคาดคะเนได้ว่าการประมูลจะต้องเสียเวลายืดเยื้อออกไปอีกนานเท่าใด
ไม่คิดว่ารัฐโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือกระทรวงไอซีทีจะยอมให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการฟ้องร้องอย่างขาดเหตุผลได้เพราะคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ หากสิ้นสุดสัมปทานแล้วไม่นำกลับเข้ารัฐเพื่อนำไปประมูลแข่งขันกันใหม่แล้วก็จะไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะได้ ไม่สามารถเกิดการแข่งขันกันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญได้ และคลื่นที่ใช้อยู่ก็จะตกเป็นสมบัติของรัฐวิสาหกิจตลอดไปซึ่งผิดเพี้ยนไปจากหลักการอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือทำให้รัฐขาดรายได้มหาศาลจากมูลค่าคลื่นที่นำไปประมูล
กสทช.อ้างเหตุผลการนำคลื่น 900 MHz ที่หมดสัมปทานแล้วมาประมูลว่าเป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ของ กสทช. ส่วน บมจ.ทีโอที อ้างว่าคลื่นย่าน 900 MHz ได้รับการจัดสรรมาแต่ดั้งเดิมก่อนมีกฏหมายคลื่นความถี่ ได้รับจัดสรรโดยคณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่แห่งชาติ (กบถ.) กระทรวงคมนาคมโดยกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นเลขานุการคณะกรรมการ และจัดสรรคลื่นให้ไปโดยไม่มีเงื่อนไขให้คืนคลื่นเมื่อสิ้นสุดสัมปทาน คลื่นย่าน 900 MHz จึงต้องเป็นของ บมจ.ทีโอที ตลอดไป นอกจากนั้น บมจ.ทีโอที ยังอ้างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 บางมาตรามาโต้แย้งด้วย
เหตุผลและมุมมองของ บมจ.ทีโอทีนั้นคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง คลื่นที่ได้รับการจัดสรรมาแต่ดั้งเดิมจากคณะกรรมการชุดเก่าก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฏข้อบังคับใหม่ที่ออกตามมาภายหลัง จะให้ไม่เปลี่ยนแปลงคงเดิมอยู่ตลอดไปไม่ได้ ในเมื่อกฏข้อบังคับใหม่กำหนดไว้ชัดเจนว่าคลื่นที่หมดสัมปทานแล้วให้ส่งกลับคืนมาให้ กสทช. นำออกประมูล และที่ชัดเจนที่สุดคือการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่คลื่นของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และต้องทำให้มีการแข่งขันกันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมให้ข้อสังเกตว่า บมจ.ทีโอที ได้รับการจัดสรรคลื่นย่าน 2100 MHz นำไปให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ก่อนผู้ประกอบการรายอื่นๆจะเริ่มให้บริการเกือบสามปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่สามารถขยายโครงข่ายให้กว้างขวางทั่วประเทศ เขตบริการแคบมีผู้ใช้บริการน้อยราย กิจการขาดทุนล้าหลังกว่าผู้ประกอบการรายใหม่ที่เริ่มมาทีหลัง ทำให้สงสัยว่าหาก บมจ.ทีโอที จะดึงเอาคลื่น 900 MHz มาทำเองจะเกิดสภาวะการณ์ซ้ำเดิมกับการให้บริการในย่าน 2100 MHz อีกหรือไม่และการที่ บมจ.ทีโอที อ้างจะนำคลื่น 900 MHz มาให้บริการลูกค้าเดิมในระบบ 2G ก็เป็นไปได้ยากเพราะระบบ 2G ล้าสมัยแล้วลูกค้าระบบเดิมได้โอนย้ายไปสู่ระบบ 3G เกือบหมดแล้ว
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการที่ บมจ.ทีโอทีขัดขวางการประมูลคลื่นย่าน 900 MHz โดยการขู่ว่าจะฟ้องร้องเพื่อนำคลื่นกลับคืนไปใช้เองนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม หากระงับได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง อย่างน้อยรัฐมีรายได้จากการประมูลคลื่นกว่าสี่หมื่นล้านบาทไม่รวมค่าติดตั้งขยายโครงข่ายอีกนับแสนล้านบาท และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่เท่าเทียมกันแข่งขันกันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมอย่างแท้จริง
ในกรณีนี้รัฐโดยกระทรวงไอซีทีในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลนโยบายด้านโทรคมนาคมและกำกับดูแล บมจ.ทีโอที ต้องเท็คแอคชั่น จะอยู่เฉยไม่ได้ อย่ายอมให้มีการขัดขวางการประมูลคลื่น ต้องใช้อำนาจรัฐออกนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการประมูลคลื่นความถี่ และห้าม บมจ.ทีโอทีขัดขวางการประมูลคลื่น ยุติการฟ้องเรียกคลื่นคืน ทำให้การประมูลคลื่นเป็นไปตามระยะเวลาตามที่ กสทช. กำหนดไว้ บมจ. ทีโอที เป็นหน่วยงานภายใต้รัฐ จะขัดขืนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐและประชาชนไม่ได้ และสุดท้ายแล้วกระทรวงไอซีทีต้องหันมาแก้ไขปรับปรุง บมจ.ทีโอทีให้ถูกจุดโดยหาทางทำให้บมจ. ทีโอทีเป็นหน่วยงานปลอดจากการเมือง ไม่ต้องอยู่ใต้ระบบราชการ แก้ไขให้มีการบริหารงานเชิงธุรกิจแบบภาคเอกชนโดยมืออาชีพ นั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนอยากเห็นบทบาทของกระทรวงไอซีทีที่ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าอยู่เฉย อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ อย่ายอมให้หน่วยงานของรัฐมาขัดขวางการประมูลคลื่นความถี่เป็นอันขาด
ที่มา : Telecom & Innovation Journal
...อย่ายอมให้มีการขัดขวางการประมูลคลื่นความถี่...
อย่ายอมให้มีการขัดขวางการประมูลคลื่นความถี่
by Rianchai Reowilaisuk
การประมูลคลื่นย่าน 2100 MHz ที่ผ่านมาเมื่อสองปีก่อนเริ่มต้นจากการมีผู้ขัดขวางคัดค้านเรียงหน้ากันเข้ามาขัดขวางนำเรื่องขึ้นสู่ศาลอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบจะไม่มีที่สิ้นสุดผิดกับการประมูลคลื่นครั้งใหม่ดูเหมือนจะไม่มีคนเจ้าเก่าหน้าเดิมดาหน้ามาขัดขวางเหมือนเดิม แต่การประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่ย่าน 900 MHz ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. ที่ทำท่าว่าจะไปได้สวย แต่กลับสะดุดลงอย่างแรงเมื่อบริษัท ทีโอที จำกัด มหาชน (บมจ. ทีโอที) เจ้าของสัมปทานเดิมประกาศคัดค้าน ไม่ยอมคืนคลื่นให้นำไปประมูล แต่ขู่จะยื้อขอนำคลื่นไว้ใช้เองโดยจะทำการฟ้องร้องนำเรื่องให้เป็นคดีความขึ้นสู่ศาลปกครองต่อไป ซึ่งหาก บมจ.ทีโอที ยังคิดจะเดินหน้าตามที่ประกาศไว้ ก็ไม่อาจคาดคะเนได้ว่าการประมูลจะต้องเสียเวลายืดเยื้อออกไปอีกนานเท่าใด
ไม่คิดว่ารัฐโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือกระทรวงไอซีทีจะยอมให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการฟ้องร้องอย่างขาดเหตุผลได้เพราะคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ หากสิ้นสุดสัมปทานแล้วไม่นำกลับเข้ารัฐเพื่อนำไปประมูลแข่งขันกันใหม่แล้วก็จะไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะได้ ไม่สามารถเกิดการแข่งขันกันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญได้ และคลื่นที่ใช้อยู่ก็จะตกเป็นสมบัติของรัฐวิสาหกิจตลอดไปซึ่งผิดเพี้ยนไปจากหลักการอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือทำให้รัฐขาดรายได้มหาศาลจากมูลค่าคลื่นที่นำไปประมูล
กสทช.อ้างเหตุผลการนำคลื่น 900 MHz ที่หมดสัมปทานแล้วมาประมูลว่าเป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ของ กสทช. ส่วน บมจ.ทีโอที อ้างว่าคลื่นย่าน 900 MHz ได้รับการจัดสรรมาแต่ดั้งเดิมก่อนมีกฏหมายคลื่นความถี่ ได้รับจัดสรรโดยคณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่แห่งชาติ (กบถ.) กระทรวงคมนาคมโดยกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นเลขานุการคณะกรรมการ และจัดสรรคลื่นให้ไปโดยไม่มีเงื่อนไขให้คืนคลื่นเมื่อสิ้นสุดสัมปทาน คลื่นย่าน 900 MHz จึงต้องเป็นของ บมจ.ทีโอที ตลอดไป นอกจากนั้น บมจ.ทีโอที ยังอ้างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 บางมาตรามาโต้แย้งด้วย
เหตุผลและมุมมองของ บมจ.ทีโอทีนั้นคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง คลื่นที่ได้รับการจัดสรรมาแต่ดั้งเดิมจากคณะกรรมการชุดเก่าก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฏข้อบังคับใหม่ที่ออกตามมาภายหลัง จะให้ไม่เปลี่ยนแปลงคงเดิมอยู่ตลอดไปไม่ได้ ในเมื่อกฏข้อบังคับใหม่กำหนดไว้ชัดเจนว่าคลื่นที่หมดสัมปทานแล้วให้ส่งกลับคืนมาให้ กสทช. นำออกประมูล และที่ชัดเจนที่สุดคือการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่คลื่นของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และต้องทำให้มีการแข่งขันกันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมให้ข้อสังเกตว่า บมจ.ทีโอที ได้รับการจัดสรรคลื่นย่าน 2100 MHz นำไปให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ก่อนผู้ประกอบการรายอื่นๆจะเริ่มให้บริการเกือบสามปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่สามารถขยายโครงข่ายให้กว้างขวางทั่วประเทศ เขตบริการแคบมีผู้ใช้บริการน้อยราย กิจการขาดทุนล้าหลังกว่าผู้ประกอบการรายใหม่ที่เริ่มมาทีหลัง ทำให้สงสัยว่าหาก บมจ.ทีโอที จะดึงเอาคลื่น 900 MHz มาทำเองจะเกิดสภาวะการณ์ซ้ำเดิมกับการให้บริการในย่าน 2100 MHz อีกหรือไม่และการที่ บมจ.ทีโอที อ้างจะนำคลื่น 900 MHz มาให้บริการลูกค้าเดิมในระบบ 2G ก็เป็นไปได้ยากเพราะระบบ 2G ล้าสมัยแล้วลูกค้าระบบเดิมได้โอนย้ายไปสู่ระบบ 3G เกือบหมดแล้ว
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการที่ บมจ.ทีโอทีขัดขวางการประมูลคลื่นย่าน 900 MHz โดยการขู่ว่าจะฟ้องร้องเพื่อนำคลื่นกลับคืนไปใช้เองนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม หากระงับได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง อย่างน้อยรัฐมีรายได้จากการประมูลคลื่นกว่าสี่หมื่นล้านบาทไม่รวมค่าติดตั้งขยายโครงข่ายอีกนับแสนล้านบาท และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่เท่าเทียมกันแข่งขันกันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมอย่างแท้จริง
ในกรณีนี้รัฐโดยกระทรวงไอซีทีในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลนโยบายด้านโทรคมนาคมและกำกับดูแล บมจ.ทีโอที ต้องเท็คแอคชั่น จะอยู่เฉยไม่ได้ อย่ายอมให้มีการขัดขวางการประมูลคลื่น ต้องใช้อำนาจรัฐออกนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการประมูลคลื่นความถี่ และห้าม บมจ.ทีโอทีขัดขวางการประมูลคลื่น ยุติการฟ้องเรียกคลื่นคืน ทำให้การประมูลคลื่นเป็นไปตามระยะเวลาตามที่ กสทช. กำหนดไว้ บมจ. ทีโอที เป็นหน่วยงานภายใต้รัฐ จะขัดขืนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐและประชาชนไม่ได้ และสุดท้ายแล้วกระทรวงไอซีทีต้องหันมาแก้ไขปรับปรุง บมจ.ทีโอทีให้ถูกจุดโดยหาทางทำให้บมจ. ทีโอทีเป็นหน่วยงานปลอดจากการเมือง ไม่ต้องอยู่ใต้ระบบราชการ แก้ไขให้มีการบริหารงานเชิงธุรกิจแบบภาคเอกชนโดยมืออาชีพ นั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนอยากเห็นบทบาทของกระทรวงไอซีทีที่ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าอยู่เฉย อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ อย่ายอมให้หน่วยงานของรัฐมาขัดขวางการประมูลคลื่นความถี่เป็นอันขาด
ที่มา : Telecom & Innovation Journal