รบกวนสรุปเรื่องให้ผมหน่อยครับ

จากบทความนี้ รบกวนผู้มีความสามารถ ช่วยสรุป ใจความสำคัญให้หน่อยครับ ผมวานหน่อยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

อีกไม่นานคนทั้งโลกคงทราบว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจะกลายเป็น “โครงการประชานิยม” ที่ถูกพิพากษาว่ามีการทุจริตประพฤติผิดมิชอบหรือไม่ แน่นอนว่านโยบายนี้ย่อมเป็นที่ถูกอกถูกใจของพี่น้องชาวนาในทุกระดับ เพราะทำให้ชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้ามาโดยตลอดสามารถลืมตาอ้าปากได้

แต่ในทางตรงข้ามนโยบายนี้ก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านและองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองอย่างป.ป.ช. เพราะมีการตั้งธงแอนตี้โครงการนี้มาตั้งแต่ต้นส่วนท่านจะมีเหตุผลอย่างไรนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่มีผู้สันทัดกรณีที่ให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะไม่สามารถเดินหน้านโยบายนี้ได้อย่างราบรื่น เพราะหากดำเนินโครงการนี้ได้สำเร็จตามสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โอกาสที่ฝ่ายการเมืองและกลุ่มบุคคลที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลจะกลับมาชนะเลือกตั้งคงเหลืออยู่ริบหรี่เต็มทน เพราะโครงการนี้ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างลงตัว

ดังนั้นโครงการนี้จึงมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มโครงการโดยป.ป.ช.มีหนังสือมาถึงรัฐบาลตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2554 ให้ยกเลิกโครงการจำนำข้าวเปลือกและนำระบบการประกันความเสี่ยงด้านราคาข้าวมาดำเนินการแทนจากนั้นใน 30 เมษายน 2555 ป.ป.ช.มีหนังสือแจ้งรัฐบาลมาอีกว่าโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายรวมทั้งการทุจริตในขั้นตอนและกระบวนการดำเนินโครงการซึ่งต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ก็นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจและเรื่องทั้งหมดก็เข้าสู่กระบวนการของป.ป.ช.สมดังใจของใครบางคนในที่สุด

ถ้าโครงการนี้ถูกตัดสินว่า”ผิดจริง” เชื่อได้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาจะต้องรับผิดชอบทั้งคดีทางแพ่งและอาญา นอกจากนั้นยังต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต ว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็คือ โดน 3 เด้งทั้งติดคุกโดนยึดทรัพย์และยังโดนแบนทางการเมืองอีกด้วย

คงต้องท้าวความกันก่อนว่า “โครงการรับจำนำข้าว” คือ “นโยบาย” ที่พรรคเพื่อไทยนำมาใช้”หาเสียง”เมื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งคือพี่น้องประชาชนเกิดความพึงพอใจและมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้เขาก็ตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทยเข้าไปเป็นรัฐบาล ดังนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภาเพื่อเป็นการยืนยันต่อไปยังประชาชนว่ารัฐบาลพร้อมที่จะปฏิบัติตามนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ หากรัฐบาลเลือกที่จะไม่ปฏิบัติรัฐบาลก็ต้องถูกดำเนินคดีในฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเดินหน้านโยบายรับจำนำข้าวจึงชอบด้วยกฎหมายทุกประการ

หลังจากมีการกล่าวหาว่ามีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวมีความสับสนและไม่ชัดเจนในข้อกล่าวหาต่างๆหลายกรณี ผมขออนุญาตท่านผู้อ่านหยิบยกประเด็นสำคัญต่างๆ ที่มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงมาสรุปเป็นข้อๆให้ทุกท่านลองพิจารณาดูกันอีกครั้ง ผมเชื่อว่าคอการเมืองหลายท่านคงอ่านเกมส์นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าการกล่าวหาในเรื่องนี้เกิดจากอะไรและบางท่านอาจทราบข้อเท็จจริงในการกล่าวหาครั้งนี้มากกว่าผมซะอีก แต่ผมขอนำมาบ่นให้กับผู้ที่ยังมีความสับสนและรับทราบข้อมูลที่คลาดเคลื่อนได้ฟังกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการรับทราบข้อเท็จจริงและมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโครงการนี้ต่อไป

ประเด็นแรกก็คือรัฐบาลดำเนินโครงการรับจำนำข้าวแล้วขาดทุนจริงๆแล้ว คำว่าขาดทุนเป็นเพียงวาทะกรรมของกลุ่มบุคคลที่ออกมาบิดเบือนข้อเท็จจริงที่สำคัญในโครงการนี้ เพราะรัฐบาลทุกรัฐบาลไม่ใช่พ่อค้าและไม่ได้ดำเนินโครงการต่างๆ เหมือนกับการทำธุรกิจ จึงไม่มีความจำเป็นต้องบริหารโครงการและงบประมาณให้เกิดกำไรหรือขาดทุนแต่อย่างใดหลักการของโครงการนี้คือ รัฐบาลช่วยอุดหนุนเงินให้กับชาวนาในทุกระดับให้ชาวนาสามารถขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรมและนำไปสู่ค่าเฉลี่ยรายได้ที่ใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอาชีพอื่นๆ

ดังนั้น การที่รัฐบาลรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด จึงเป็นการช่วยเกษตรกรที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในการจำหน่ายผลผลิตมาโดยตลอด เพราะก่อนหน้านี้ชาวนาจะโดนกดราคาข้าวในเรื่องความชื้นและสิ่งเจือปนและไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆกับพ่อค้าข้าวซึ่งสามารถรวมหัวกันเพื่อกดราคาการรับซื้ออันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลไกตลาดอ่อนแอ

แต่เมื่อมีโครงการรับจำนำข้าวชาวนาสามารถขายข้าวให้กับรัฐบาลได้โดยตรงด้วยกติกาเดียวกันทั้งประเทศ เงินทุกบาททุกสตางค์จะถูกยิงตรงเข้าสู่บัญชีของชาวนาที่เข้าร่วมโครงการตามจำนวนของข้าวที่นำมาเข้าโครงการการจ่ายเงินด้วยการโอนเงินตรงเข้าบัญชีให้กับชาวนา แบบนี้ถือว่าเป็นการปิดประตูไม่ให้ใครสามารถยักยอกหรือทุจริตเงินงบประมาณที่จ่ายให้กับชาวนาได้ ดังนั้นงบประมาณในการรับจำนำข้าวทั้งหมดจึงถึงมือชาวนาอย่างแท้จริงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนชาวนาที่ไม่เข้าร่วมโครงการก็มีอำนาจต่อรองกับพ่อค้ามากขึ้นและสามารถขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้กลไกตลาดแข็งแรงและเป็นตลาดของผู้ผลิตมากขึ้น

เรื่องข้างต้นนี้ยืนยันได้จากตัวเลขของทางราชการที่ระบุจำนวนของผลผลิตข้าวเปลือกทั้งปีของฤดูกาล 55/56 และฤดูกาล 56/57 ที่มีผลผลิตรวมปีละ 38 ล้านตันเท่ากันโดยในฤดูกาล 55/56 มีการรับจำนำข้าวเปลือก 22 ล้านตันคิดเป็น 58% และเป็นข้าวเปลือกที่ซื้อขายกันตามกลไกตลาด 16 ล้านตันคิดเป็น 42% แต่ในฤดูกาลต่อมาคือ 56/57 เราพบว่ามีข้าวที่เข้าสู่โครงการน้อยลงเหลือเพียง 16.5 ล้านตันคิดเป็น 44% ส่วนข้าวที่เหลือเข้าไปอยู่ในกลไกตลาดปรกติเพิ่มขึ้นเป็น 21.5 ล้านตันคิดเป็น 56%

ดังนั้น หากเราพิจารณาผลประโยชน์ที่สืบเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าว เราจะพบว่าชาวนาที่เข้าร่วมโครงการจำนำข้าวทั้ง 3 ฤดูกาล (ปี 55,56,57) นำข้าวเปลือกมาจำนำกับรัฐบาลรวม 31 ล้านตันโดยขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้นประมาณตันละ 6,000 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 190,000 ล้านบาท ส่วนชาวนาที่ไม่เข้าร่วมโครงการสามารถขายข้าวเปลือกตามกลไกตลาดปรกติได้ทั้งสิ้น 36.03 ล้านตันในราคาสูงขึ้นประมาณตันละ 2,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,063 ล้านบาท รวมผลประโยชน์ที่ชาวนาทั้งประเทศได้รับเพิ่มขึ้นสูงถึง 280,000 ล้านบาท

ชาวนาเป็นเกษตรกรที่มีจำนวนมากที่สุดของประเทศ โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3.7 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 15-17 ล้านคน คิดเป็น 23% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เพราะฉะนั้นเงินเกือบ 300,000 ล้านบาทจึงกระจายเข้าไปสู่เส้นเลือดสำคัญของประเทศที่สามารถสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีต่างๆได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นเก็บVAT ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 58,000 ล้านบาท เก็บภาษีรายได้จากบริษัทห้างร้านที่ขายสินค้าต่างๆได้ 38,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเกิดรายได้จากการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 16,800 ล้านบาท รวมผลประโยชน์ที่ชาวนาและระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รับทั้งสิ้นเป็นตัวเลขที่สูงถึง 394,000 ล้านบาท

นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีข้าวเปลือกที่รับจำนำเอาไว้เป็นจำนวนมากถึง 31 ล้านตันถ้านำไปจำหน่ายทั้งหมดก็จะได้เงินกลับมาไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนล้านบาท เมื่อนำไปรวมกับผลประโยชน์ที่ชาวนาและระบบเศรษฐกิจได้รับก็จะมีมูลค่าสูงขึ้นกว่า 800,000 ล้านบาท

ในขณะที่เม็ดเงินที่ใช้ในโครงการนี้รัฐบาลบริหารให้อยู่ในกรอบที่ไม่เกิน 500,000 ล้านบาทมาโดยตลอด ดังนั้นการนำเอาตัวเลขมาชี้ว่ารัฐบาลบริหารโครงการนี้แล้วขาดทุนเป็นเงินหลายแสนล้านบาท จึงขัดกับข้อเท็จจริงแบบหน้ามือเป็นหลังมือและเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเสียดายหน้ากระดาษหมดแล้ว ฉบับหน้าผมมาบ่นให้ฟังต่อครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่