เรื่องทั้งหมดที่จะเล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องแต่งแต่คือประสบการณ์จริงที่เจอมากับตัวตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน อยากจะขอคัดเอาเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นมาเล่าเป็นการแชร์ประสบการณ์แปลกให้ทุกคนได้อ่านฆ่าเวลาไปด้วยกัน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องที่ 1 : เพื่อนร่วมห้อง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่ฉันอยู่ประถม ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้เปิดเทอมชั้นประถมศึกษาปีที่หก ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างใหญ่ มีสมาชิกอยู่ด้วยกันเก้าคนประกอบด้วย ตา ยาย น้าชาย น้าสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้อง น้องสาวของยายซึ่งมีปัญหาทางจิต พี่สาวของยายที่เป็นอัมพาต แม่ และฉัน โดยพี่สาวและน้องสาวของยายอยู่ห้องรวมกันที่หลังบ้าน ฉันและแม่นอนด้วยกันที่ห้องชั้นสองของบ้าน ส่วนคนที่เหลือนอนรวมกันที่ห้องใหญ่ชั้นล่าง
ก่อนอื่นขออธิบายลักษณะตัวบ้านชั้นล่างอย่างคร่าวๆ ก่อน เมื่อเข้าบ้านมาทางประตูหน้าจะพบกับโถงใหญ่ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่น ด้านขวามือจะมีประตูไปห้องนอนใหญ่ชั้นล่างที่สมาชิกส่วนใหญ่นอนรวมกัน เมื่อเดินมาสุดทางเดินของห้องนั่งเล่นทางขวามือจะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัว ซ้ายมือเป็นบันไดไปชั้นสอง ตรงหน้าจะเป็นประตูห้องครัวชั้นใน เมื่อเข้ามาในห้องครัวชั้นในจะมีประตูไปห้องครัวชั้นนอก ทางขวามือของครัวชั้นนอกเป็นห้องของพี่สาวและน้องสาวของยาย ส่วนทางซ้ายมือเดิมทีเป็นระเบียงโล่งและมีศาลพระภูมิแต่ต่อมาศาลพระภูมิถูกนำออกและใช้พื้นที่ตรงนั้นสร้างเป็นห้องทำเบเกอรี่
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อฉันอยากมีห้องส่วนตัวยายจึงจัดการย้ายของออกจากห้องทำเบเกอรี่มาไว้ที่ครัวชั้นนอกและตกแต่งใหม่เป็นห้องนอนโล่งๆ ที่มีเตียงนอนขนาดหกฟุต โต๊ะคอมพิวเตอร์และทีวี เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนอนใหม่นี้เพียงอาทิตย์แรกฉันเริ่มสังเกตว่า ทุกครั้งที่ฉันคุยโทรศัพท์ภายในห้องไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว ปลายสายจะถามเสมอว่า “อยู่กับใครน่ะ?” ซึ่งบอกตามตรงว่าฉันไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เนื่องจากมันอาจเป็นเรื่องของสัญญาณที่ขัดข้องเพราะตรงห้องที่ฉันอยู่นั้นเป็นส่วนหลังบ้านมีสัญญาณเพียงไม่กี่ขีด เวลาผ่านไปไม่นานในขณะที่ฉันคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง
เพื่อน : โอ้ย อยู่กับใคร??
ฉัน : เปล่าหนิ อยู่คนเดียว
เพื่อน : ตั้งแต่เมื่อกี้ละ เหมือนมีคนคุยกับแกอะ ไม่รู้พูดอะไรตลอดเลยแต่แกไม่ตอบเขา
จู่ๆ ฉันก็ขนลุกและรู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองอยู่ที่หน้าต่าง แต่เมื่อหันไปมองก็เห็นแต่เงาต้องต้นไม้ข้างนอกที่ไหวไปมาในความมืด หลังจากวางสายฉันเข้านอนตามปกติแต่คืนนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ทุกๆ วันฉันจะนอนที่ฝั่งด้านขวาของเตียงซึ่งเป็นฝั่งที่ติดกำแพงและจะนอนหันหน้าเข้าหากำแพงทุกครั้งโดยมีหมอนข้างสองอันขนาบหน้าหลัง เหมือนทุกวันฉันหลับตาลงในความมืดด้วยความง่วงแต่เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีที่ฉันหลับตาฉัน
เตียงฝั่งซ้ายที่ควรจะว่างเปล่าก็ยุบฮวบลงไปคล้ายกับมีคนขึ้นมานอน
ฉันที่รู้ดีว่าประตูห้องล๊อคอยู่ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างแน่นอนทำให้ภายในห้อง ณ ตอนนั้นมันควรจะมีแค่ฉันเพียงคนเดียว? ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยและทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเลยตัดสินใจข่มตานอนหลับไปในคืนนั้น
เช้าวันถัดมา ฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้บอกให้ใครฟังเพียงแต่นึกสงสัยว่าเรื่องเมื่อคืนเราคิดไปเองหรือเปล่าและคืนนี้จะเป็นยังไง พอตกกลางคืนถึงเวลานอนฉันยังคงทำทุกอย่างเป็นปกติเช่นวันก่อนๆ และเมื่อฉันหลับตาลงเพียงชั่วอึดใจฉันก็รู้ได้ในนาทีนั้นว่าเตียงฝั่งซ้ายมันยุบลงเหมือนมีคนขึ้นมานอนอีกแล้ว?!
คืนถัดมา ฉันตัดสินใจนำหนังสือเรียนที่มีมากองไว้ที่เตียงฝั่งซ้ายไม่ให้โล่งหวังยึดพื้นที่คืนจากแขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่โผล่มานอนสบายใจบนเตียง แม้จะยังไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นแต่แรกเริ่มเดิมทีการที่ฉันแยกออกมานอนคนเดียวมันก็เป็นเพราะเบื่อจะแชร์เตียงกับแม่และต้องการความเป็นส่วนตัว ดังนั้นเรื่องการที่ต้องมาแชร์เตียงกับใครก็ไม่รู้นี่เป็นอะไรที่รับไม่ได้มากๆ เมื่อถึงเวลาเข้านอน ฉันคิดไว้ในใจว่าคืนนี้ล่ะที่เตียงจะกลับมาเป็นของฉัน! และฉันก็พบว่าตัวเองนั้นได้คิดผิดเกือบจะทันทีที่ได้หลับตา ระยะห่างของฉันกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากครั้งแรกเมื่อสองคืนก่อนนั้นคือการนอนสุดปลายซ้ายขวาของเตียง แต่เมื่อฉันเอาสมุดหนังสือมากองไว้ที่ฝั่งซ้ายจนเต็ม
แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็กระเถิบเข้ามาใกล้นอนเบียดฉันแทน
ฉันซึ่งไม่รู้จะทำยังไงดีเลยตัดสินใจนำเก้าอี้จากห้องครัวชั้นนอกมาต่อกันสองตัวตรงหน้าโต๊ะคอมและนอนบนนั้น เรียกได้ว่าฉันซึ่งเป็นเจ้าของห้องต้องมานอนบนเก้าอี้กินข้าวสองตัวที่นำมาต่อกันอยู่ร่วมสี่เดือน จนมาวันหนึ่ง เพื่อนสนิทของฉันชื่อ “เตย” มานอนกับฉันช่วงสุดสัปดาห์ ฉันจำได้ว่าเย็นวันนั้นหลังจากเราเล่นกัน เตยเข้าไปรอฉันในห้องและหลบอยู่ที่ใต้เตียง ฉันซึ่งตามเข้าไปทีหลังและเมื่อไม่เห็นเตยจึงจะเดินออกมาหาข้างนอก แต่ตอนนั้นเองที่เตยคลานออกมาจากใต้เตียงแล้วพูดขึ้นมาว่า “บอกให้ออกไปดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องมากระทืบบนเตียงเลย” ฉันได้แต่เงียบและไม่พูดอะไร
หลังจากเตยกลับไป ฉันตัดสินใจกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง คืนนั้นเองกลางดึกฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากึ่งหลับกึ่งตื่น หายใจไม่ออกเหมือนมีคนมานั่งทับที่บนอก ครั้นรู้สึกเหมือนจะขาดใจทุกอย่างก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนเช้าจึงเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเขาเรียกผีอำ เกิดจากการนอนผิดท่า แต่เป็นเรื่องแปลกมากที่สามคืนถัดมานั้นฉันเกิดอาการผีอำติดกันทั้งสามคืนเลย ด้วยความไม่สบายใจและรู้สึกไม่ดีเลยกลับขึ้นไปนอนกับแม่ตามเดิมและห้องนั้นก็เปลี่ยนเป็นห้องเก็บของแทน
ประสบการณ์สยองขวัญ Horror diary
เรื่องที่ 1 : เพื่อนร่วมห้อง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่ฉันอยู่ประถม ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้เปิดเทอมชั้นประถมศึกษาปีที่หก ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างใหญ่ มีสมาชิกอยู่ด้วยกันเก้าคนประกอบด้วย ตา ยาย น้าชาย น้าสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้อง น้องสาวของยายซึ่งมีปัญหาทางจิต พี่สาวของยายที่เป็นอัมพาต แม่ และฉัน โดยพี่สาวและน้องสาวของยายอยู่ห้องรวมกันที่หลังบ้าน ฉันและแม่นอนด้วยกันที่ห้องชั้นสองของบ้าน ส่วนคนที่เหลือนอนรวมกันที่ห้องใหญ่ชั้นล่าง
ก่อนอื่นขออธิบายลักษณะตัวบ้านชั้นล่างอย่างคร่าวๆ ก่อน เมื่อเข้าบ้านมาทางประตูหน้าจะพบกับโถงใหญ่ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่น ด้านขวามือจะมีประตูไปห้องนอนใหญ่ชั้นล่างที่สมาชิกส่วนใหญ่นอนรวมกัน เมื่อเดินมาสุดทางเดินของห้องนั่งเล่นทางขวามือจะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัว ซ้ายมือเป็นบันไดไปชั้นสอง ตรงหน้าจะเป็นประตูห้องครัวชั้นใน เมื่อเข้ามาในห้องครัวชั้นในจะมีประตูไปห้องครัวชั้นนอก ทางขวามือของครัวชั้นนอกเป็นห้องของพี่สาวและน้องสาวของยาย ส่วนทางซ้ายมือเดิมทีเป็นระเบียงโล่งและมีศาลพระภูมิแต่ต่อมาศาลพระภูมิถูกนำออกและใช้พื้นที่ตรงนั้นสร้างเป็นห้องทำเบเกอรี่
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อฉันอยากมีห้องส่วนตัวยายจึงจัดการย้ายของออกจากห้องทำเบเกอรี่มาไว้ที่ครัวชั้นนอกและตกแต่งใหม่เป็นห้องนอนโล่งๆ ที่มีเตียงนอนขนาดหกฟุต โต๊ะคอมพิวเตอร์และทีวี เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนอนใหม่นี้เพียงอาทิตย์แรกฉันเริ่มสังเกตว่า ทุกครั้งที่ฉันคุยโทรศัพท์ภายในห้องไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว ปลายสายจะถามเสมอว่า “อยู่กับใครน่ะ?” ซึ่งบอกตามตรงว่าฉันไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เนื่องจากมันอาจเป็นเรื่องของสัญญาณที่ขัดข้องเพราะตรงห้องที่ฉันอยู่นั้นเป็นส่วนหลังบ้านมีสัญญาณเพียงไม่กี่ขีด เวลาผ่านไปไม่นานในขณะที่ฉันคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง
เพื่อน : โอ้ย อยู่กับใคร??
ฉัน : เปล่าหนิ อยู่คนเดียว
เพื่อน : ตั้งแต่เมื่อกี้ละ เหมือนมีคนคุยกับแกอะ ไม่รู้พูดอะไรตลอดเลยแต่แกไม่ตอบเขา
จู่ๆ ฉันก็ขนลุกและรู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองอยู่ที่หน้าต่าง แต่เมื่อหันไปมองก็เห็นแต่เงาต้องต้นไม้ข้างนอกที่ไหวไปมาในความมืด หลังจากวางสายฉันเข้านอนตามปกติแต่คืนนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ทุกๆ วันฉันจะนอนที่ฝั่งด้านขวาของเตียงซึ่งเป็นฝั่งที่ติดกำแพงและจะนอนหันหน้าเข้าหากำแพงทุกครั้งโดยมีหมอนข้างสองอันขนาบหน้าหลัง เหมือนทุกวันฉันหลับตาลงในความมืดด้วยความง่วงแต่เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีที่ฉันหลับตาฉัน
เตียงฝั่งซ้ายที่ควรจะว่างเปล่าก็ยุบฮวบลงไปคล้ายกับมีคนขึ้นมานอน
ฉันที่รู้ดีว่าประตูห้องล๊อคอยู่ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างแน่นอนทำให้ภายในห้อง ณ ตอนนั้นมันควรจะมีแค่ฉันเพียงคนเดียว? ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยและทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเลยตัดสินใจข่มตานอนหลับไปในคืนนั้น
เช้าวันถัดมา ฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้บอกให้ใครฟังเพียงแต่นึกสงสัยว่าเรื่องเมื่อคืนเราคิดไปเองหรือเปล่าและคืนนี้จะเป็นยังไง พอตกกลางคืนถึงเวลานอนฉันยังคงทำทุกอย่างเป็นปกติเช่นวันก่อนๆ และเมื่อฉันหลับตาลงเพียงชั่วอึดใจฉันก็รู้ได้ในนาทีนั้นว่าเตียงฝั่งซ้ายมันยุบลงเหมือนมีคนขึ้นมานอนอีกแล้ว?!
คืนถัดมา ฉันตัดสินใจนำหนังสือเรียนที่มีมากองไว้ที่เตียงฝั่งซ้ายไม่ให้โล่งหวังยึดพื้นที่คืนจากแขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่โผล่มานอนสบายใจบนเตียง แม้จะยังไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นแต่แรกเริ่มเดิมทีการที่ฉันแยกออกมานอนคนเดียวมันก็เป็นเพราะเบื่อจะแชร์เตียงกับแม่และต้องการความเป็นส่วนตัว ดังนั้นเรื่องการที่ต้องมาแชร์เตียงกับใครก็ไม่รู้นี่เป็นอะไรที่รับไม่ได้มากๆ เมื่อถึงเวลาเข้านอน ฉันคิดไว้ในใจว่าคืนนี้ล่ะที่เตียงจะกลับมาเป็นของฉัน! และฉันก็พบว่าตัวเองนั้นได้คิดผิดเกือบจะทันทีที่ได้หลับตา ระยะห่างของฉันกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากครั้งแรกเมื่อสองคืนก่อนนั้นคือการนอนสุดปลายซ้ายขวาของเตียง แต่เมื่อฉันเอาสมุดหนังสือมากองไว้ที่ฝั่งซ้ายจนเต็ม
แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็กระเถิบเข้ามาใกล้นอนเบียดฉันแทน
ฉันซึ่งไม่รู้จะทำยังไงดีเลยตัดสินใจนำเก้าอี้จากห้องครัวชั้นนอกมาต่อกันสองตัวตรงหน้าโต๊ะคอมและนอนบนนั้น เรียกได้ว่าฉันซึ่งเป็นเจ้าของห้องต้องมานอนบนเก้าอี้กินข้าวสองตัวที่นำมาต่อกันอยู่ร่วมสี่เดือน จนมาวันหนึ่ง เพื่อนสนิทของฉันชื่อ “เตย” มานอนกับฉันช่วงสุดสัปดาห์ ฉันจำได้ว่าเย็นวันนั้นหลังจากเราเล่นกัน เตยเข้าไปรอฉันในห้องและหลบอยู่ที่ใต้เตียง ฉันซึ่งตามเข้าไปทีหลังและเมื่อไม่เห็นเตยจึงจะเดินออกมาหาข้างนอก แต่ตอนนั้นเองที่เตยคลานออกมาจากใต้เตียงแล้วพูดขึ้นมาว่า “บอกให้ออกไปดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องมากระทืบบนเตียงเลย” ฉันได้แต่เงียบและไม่พูดอะไร
หลังจากเตยกลับไป ฉันตัดสินใจกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง คืนนั้นเองกลางดึกฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากึ่งหลับกึ่งตื่น หายใจไม่ออกเหมือนมีคนมานั่งทับที่บนอก ครั้นรู้สึกเหมือนจะขาดใจทุกอย่างก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนเช้าจึงเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเขาเรียกผีอำ เกิดจากการนอนผิดท่า แต่เป็นเรื่องแปลกมากที่สามคืนถัดมานั้นฉันเกิดอาการผีอำติดกันทั้งสามคืนเลย ด้วยความไม่สบายใจและรู้สึกไม่ดีเลยกลับขึ้นไปนอนกับแม่ตามเดิมและห้องนั้นก็เปลี่ยนเป็นห้องเก็บของแทน