Le Petit Prince (The Little Prince 2015) :: หายนะของเจ้าชายน้อย



ผมเป็นคนนึ่งที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่สมัยยังเด็กๆอยู่ ซึ่งตอนนั้นก็คิดว่ามันเป็นวรรณกรรมเด็กที่มีเนื้อเรื่องแปลกๆและเศร้าๆดี และเมื่อได้กลับมาอ่านในตอนที่โตขึ้นไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกอินและเซอไพรส์กับมุมมองต่างๆในหนังสือที่เปลี่ยนไปตามวัยของตัวเองด้วย ซึ่งนั่นถือเป็นจุดที่ประทับใจมากกับหนังสือเล่มนี้

หลังจากคิดทบทวนหลายรอบว่าทำไมคนอ่านจำนวนมากถึงได้ชอบหนังสือเล่มนี้ ก็ได้คำตอบว่าสเน่ห์ของมันนี้อยู่ที่ความคลุมเครือของตัวละครของเจ้าชายน้อยที่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาคือใครมาจากไหน เรื่องราวการเดินทางที่ดูเรื่อยเปื่อยเหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันกลับมีอะไรลึกซึ้งซ่อนอยู่ในนั้น และความเป็นปลายเปิดที่ทำให้หลายคนสามารถตีความสิ่งต่างๆได้ในแนวทางของตัวเองที่ต่างกันออกไปจนทำให้มันเป็นที่นิยมของนักอ่านต่างวัย ต่างสถานที่ทั่วโลกมากมาย

ในเวอร์ชั่นหนังเล่าเรื่องของเด็กหญิงคนนึงที่มีชีวิตอยู่ใต้ตารางประจำวันต่างๆ ซึ่งถูกสร้างโดยแม่ที่กลัวว่าเด็กหญิงจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เธอจึงขีดเส้นทางทุกอย่างให้เด็กหญิงใช้ชีวิตตามในทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

เด็กหญิงทำตามคุณแม่โดยเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ในวันนึงเธอได้รู้จักกับชายชราข้างบ้านที่เล่าเรื่องราวสมัยหนุ่มอันแปลกประหลาดของเขาในตอนที่ทำหน้าที่เป็นนักบินและเกิดหลงทางไปยังดินแดนทะเลทราย เขาได้พบกับเด็กน้อยแปลกหน้าคนนึงที่เขาเรียกว่าเจ้าชายน้อยและกลายเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่เคยลืมมันได้เลย

ประมาณ 2 ใน 3 ของหนังเป็นการเล่าเรื่องซ้อนกันระหว่างชีวิตของเด็กหญิงที่ติดอยู่ในกรอบระเบียบ และเรื่องของเจ้าชายน้อยที่เป็นเรื่องราวแบบในหนังสือที่มาจากการเขียนของชายชรา ซึ่งทั้งสอง Part ต่างก็เล่าเรื่องได้ดีมากในเรื่องราวส่วนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเด็กหญิงที่ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากระเบียบสังคมจากชายชราและเรื่องเล่าของเจ้าชายน้อยที่เมื่อเด็กหญิงยิ่งได้อ่านก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกมองโลกเปลี่ยนไปมากขึ้น

ทีนี้เข้าสู่ส่วนที่เป็นหายนะของหนังละ (สปอยนะ)

ในส่วนสุดท้ายของหนัง เป็นการเอาทั้งสองโลกมาเชื่อมซ้อนกันขึ้นมาเป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง และปรากฏว่ามันดันไม่เข้ากันซะอย่างงั้น เด็กหญิงออกตามหาเจ้าชายน้อยเพื่อชายชรา และค้นพบว่าเจ้าชายน้อยยังมีชีวิตต่อเนื่องจากเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นบนดาวดวงหนึ่ง เขาโตขึ้นกลายเป็นชายหนุ่มไม่เอาไหนที่ลืมชีวิตวัยเด็กของตัวเองจากการเร่งรัดให้เติบโตด้วยการอัดความรู้และการเรียน เพื่อให้โตมารับใช้โลกทุนนิยมที่มองว่าการประสบความสำเร็จก็คือเงินทองและการได้ทำงานในตำแหน่งสูงๆ ก่อนจะเกิดการผจญภัยเล็กๆระหว่างที่เด็กหญิงหาทางให้เขาจำวัยเด็กได้และกลับสู่ดาวตัวเองอย่างมีความสุข แล้วเธอก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จบ

อย่างที่บอกไว้ว่าถ้าความคลุมเครือและความเปิดกว้างให้คนอ่านสามารถตีความสิ่งต่างๆในมุมมองของตนเองคือเสน่ห์ของหนังสือเจ้าชายน้อยแล้ว การสร้างเนื้อเรื่องที่เป็นภาคต่อโดยเอาตัวละครต่างๆมายำ เพื่อเล่าเรื่องตามใจฉันประเภทว่า จากนั้นเป็นไงต่อ ใครไปทำอะไร มีชีวิตแบบไหน ลงเอยยังไง ตายไม่ตาย ถือเป็นการทำลายสเน่ห์และจุดขายของเรื่องเจ้าชายน้อยอย่างโหดร้ายมาก

สิ่งที่ทำให้หนังช่วงท้ายประดักประเดิกที่สุดคือ การเล่าเรื่องประเภทที่ทำลายความทรงจำวัยเด็กด้วยการนำมาเสียดสีกับมุมมองของผู้ใหญ่แบบดาร์คๆสุดโต่ง ประเภท จูบเจ้าหญิงนิทราไปได้ไง หลับมานาน ปากเหม็นตาย เจ้าชายชอบศพเพราะรักสโนไวท์ในโลง เงือกน้อยเอเรียลแรดเว่อร์วิ่งไล่ตามแต่ผู้ชาย ทอมกับเจอรี่นี่โคตรโหด ฆ่ากันตลอดเวลา รวมวีรกรรมความเลวของโนบิตะ จะทำลายล้างโลกมาแล้ว 57 ครั้ง มาดูกันเถอะ บลาๆๆ ซึ่งมันอาจจะสนุกดีเวลาปรากฏในเวปบอร์ดหรือเป็นเรื่องคุยขำๆตลกร้ายฮาๆในกลุ่มเพื่อน แต่พอเอาแนวคิดแบบนั้นมาใช้สร้างตอนต่อจากหนังสืออย่างเจ้าชายน้อย นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่อินและชวนขมวดคิ้วแล้ว ยังรู้สึกเหมือนกับผู้สร้างพยายามยัดเยียดความคิดและคำตอบของตัวเองบางอย่างเข้าไปมากจนเป็นการทำลายเรื่องราวที่เปิดกว้างและมีเอกลักษณ์ในหนังสือไปด้วยซ้ำ

นอกจากนั้น หากมองแบบไม่ยึดติดกับตัวหนังสือดั้งเดิมมากไป เรื่องราวที่พยายามเล่าก็ทำให้ไม่แน่ใจว่าอยากจะทำให้คนกลุ่มไหนดู เพราะหากเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบหนังสือเล่มนี้ก็คงจะเหวอๆกับเจ้าชายน้อยเวอร์ชั่น Loser และเจ้าตุ๊กตาจิ้งจอกที่น่ารักบ๊องแบ๊วเกินเหตุไปประมาณนึง แต่กับเด็กเล็กหรือเด็กโต เรื่องราวโดยรวมก็ไม่ได้สนุกหรือตื่นตาตื่นใจจนน่าติดตามขนาดนั้น แต่ก็ยังพยายามที่จะใส่ความตื่นเต้นให้ได้มากที่สุดเหมือนกลัวเด็กไม่สนุก ต้องทำให้ดูง่ายไว้ก่อน และไม่กล้าจบแบบให้หม่นๆหรือเปิดประเด็นให้คิดมาก ซึ่งกลายเป็นว่าจบแล้วกลายเป็นหนังที่ไม่รู้ว่าอยากจะสื่อสารอะไร แบบไหนและกับใครกันแน่...

ข้อดีที่ชอบและคิดว่าเด่นมากของเรื่องนี้คือ

หนึ่ง เพลงประกอบที่เพราะมาก จนทำให้หนังดูมีความละมุนละไมและน่าจดจำมากขึ้น
สอง การเล่าเรื่องของเจ้าชายน้อย(ตามหนังสือ)ในรูปแบบสตอป-โมชั่นที่ทำออกมาได้ดีมาก สร้างออกมาดีและสวยงามประณีตมากจนคิดว่าถ้าเล่าเรื่องส่วนนี้ให้เยอะขึ้น ให้ลึกซึ้งขึ้นกว่านี้อีกก็คงดี
สาม เรื่องราวของเด็กหญิงที่ถูกคุมกรอบชีวิตตลอดเวลาที่เอามาเสียดสีสังคมปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ (ตารางชีวิตที่คุมทุกการกระทำทุกเวลาทุกวินาที ตึกบ้านเมืองที่มีแต่กรอบแคบๆเหลี่ยมๆทึมๆ คุณแม่ที่วางแผนทุกอย่างให้กับลูกเพราะเชื่ออย่างสุดใจว่ามันเป็นสิ่งที่ดีในตอนโต) จนหากเพิ่มเวลาความผูกพันของเด็กหญิงกับชายชรา ความกดดันและคำถามเรื่องสังคม การเติบโต ความรักที่ขัดแย้งกันของแม่-ลูก ควบคู่ไปกับพาร์ทที่เล่าเรื่องเจ้าชายน้อยให้ละเอียดขึ้น แล้วให้มีบทสรุปที่ต่างกันออกไปจากที่เป็นอยู่น่าจะเข้าท่ากว่าจะเพิ่มองค์สุดท้ายเข้าไปอีก

ด้วยจุดดีที่แข็งแรงมากอย่างที่บอกไว้ข้างบน ช่วยให้โดยรวมๆหนังก็ไม่ได้แย่ขนาดว่าไม่ควรดูนะ แต่คิดว่าถ้าให้แนะนำ หรือมีใครถามว่าควรดูไหม คงจะบอกว่าไปลองหาหนังสือเจ้าชายน้อยมาอ่านเลยน่าจะดีกว่าดูหนังภาคต่อ Little Prince 2 : Return to B612 อย่างที่เป็นอยู่นี่เยอะ

(เกรด C-)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่