. หลายปีที่ผ่านมา จขกท เชื่อมั่นว่า หลาย ๆ คนไม่มีความสุข อันมีสาเหตุมาจาก"การเมือง"
ผู้ที่เผชิญหน้ากันก็ไม่มีความสุข ผู้ที่พยายามหาทางออกก็ไม่มีความสุข ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ไม่มีความสุขกันไปทั่ว
แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้กันไปถึงเมื่อไหร่ จะลงเอยอย่างไร
และจากแนวความคิดที่จะไม่ให้มีคะแนนสูญเปล่า ที่นำคะแนนผู้แพ้ไปคำนวณ สส บัญชีรายชื่อ
ซึ่ง จขกท ไม่เห็นด้วยกับกรรมวิธี ที่จะนำคะแนนที่ขาดเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนนไปใช้เช่นนั้น
แต่กลับมีความคิดว่า ควรจะใช้คะแนนเหล่านี้ ให้ตรงต่อเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนน
คือให้ผู้สมัครท่านนั้นได้เป็น สส ต่อจากผู้มีคะแนนสูงสุด โดยนำคะแนนมาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์
ว่าใครจะได้เป็น สส ในระยะเวลาเท่าไหร่ โดยนับเวลา 4 ปี เป็นจำนวนเต็ม 100% เช่น
มีผู้มาลงคะแนนให้ นาย ก 20,000 ,นาย ข 10,000 ,นาย ค 10,000
ก็ให้นาย ก เป็น สส 2 ปี นาย ข 1 ปี นาย ค 1 ปี โดยนำคะแนนมาคำนวณเพียง 3 ลำดับ
ซึ่งการจัดสรรคะแนนเช่นนี้ ก็เป็นการแข่งขันเช่นกัน แต่มิได้ตัดลำดับ 2 และ 3 ออกไป
เปรียบดังเช่นการแข่งขันกีฬา ที่มอบรางวัลให้กับอันดับ 2 และ 3 ด้วย อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเวลา
ให้อีกฝ่ายได้ทำหน้าที่และแสดงความสามารถ ซึ่งหากใครทำได้ดี ในเวลาอันจำกัดได้
คราวหน้าท่านก็จะมีคะแนนเพิ่มขึ้นเอง
และสิ่งที่จะเกิดตามมาในความคิดของ จขกท ที่พอจะคิดได้ก็คือ
1.จะไม่เกิดนโยบายที่ระแวงว่า จะเอาเงินรัฐทุ่มลงไปเพื่อการหาเสียง เพราะเมื่อลำดับที่ 2 และ 3 ได้เป็น สส
อาจจะต้องมีการเปลี่ยนผู้บริหาร
2.การซื้อเสียงจะน้อยลง เพราะเป็นได้เพียงระยะหนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนให้ลำดับถัดไปมาเป็นแทน
3.ลดการเผชิญหน้ากันทางการเมือง เพราะฝ่ายที่ได้คะแนนน้อยกว่าอาจจะได้เป็นผู้บริหารคนต่อไป
นี่เป็นเพียงความคิดริเริ่มคร่าว ๆ กว้าง ๆ ที่ จขกท พยายามนำเสนอต่อสังคม เพื่อให้ท่านทั้งหลายช่วยพิจารณา
โดยมิได้หวังว่าจะต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นค่ะ
น้องน้ำหวาน ขอนำเสนอแนวทางการจัดสรรคะแนน ตามทฤษฎีแบ่ง ๆ กันอยู่นะคะ
ผู้ที่เผชิญหน้ากันก็ไม่มีความสุข ผู้ที่พยายามหาทางออกก็ไม่มีความสุข ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ไม่มีความสุขกันไปทั่ว
แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้กันไปถึงเมื่อไหร่ จะลงเอยอย่างไร
และจากแนวความคิดที่จะไม่ให้มีคะแนนสูญเปล่า ที่นำคะแนนผู้แพ้ไปคำนวณ สส บัญชีรายชื่อ
ซึ่ง จขกท ไม่เห็นด้วยกับกรรมวิธี ที่จะนำคะแนนที่ขาดเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนนไปใช้เช่นนั้น
แต่กลับมีความคิดว่า ควรจะใช้คะแนนเหล่านี้ ให้ตรงต่อเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนน
คือให้ผู้สมัครท่านนั้นได้เป็น สส ต่อจากผู้มีคะแนนสูงสุด โดยนำคะแนนมาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์
ว่าใครจะได้เป็น สส ในระยะเวลาเท่าไหร่ โดยนับเวลา 4 ปี เป็นจำนวนเต็ม 100% เช่น
มีผู้มาลงคะแนนให้ นาย ก 20,000 ,นาย ข 10,000 ,นาย ค 10,000
ก็ให้นาย ก เป็น สส 2 ปี นาย ข 1 ปี นาย ค 1 ปี โดยนำคะแนนมาคำนวณเพียง 3 ลำดับ
ซึ่งการจัดสรรคะแนนเช่นนี้ ก็เป็นการแข่งขันเช่นกัน แต่มิได้ตัดลำดับ 2 และ 3 ออกไป
เปรียบดังเช่นการแข่งขันกีฬา ที่มอบรางวัลให้กับอันดับ 2 และ 3 ด้วย อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเวลา
ให้อีกฝ่ายได้ทำหน้าที่และแสดงความสามารถ ซึ่งหากใครทำได้ดี ในเวลาอันจำกัดได้
คราวหน้าท่านก็จะมีคะแนนเพิ่มขึ้นเอง
และสิ่งที่จะเกิดตามมาในความคิดของ จขกท ที่พอจะคิดได้ก็คือ
1.จะไม่เกิดนโยบายที่ระแวงว่า จะเอาเงินรัฐทุ่มลงไปเพื่อการหาเสียง เพราะเมื่อลำดับที่ 2 และ 3 ได้เป็น สส
อาจจะต้องมีการเปลี่ยนผู้บริหาร
2.การซื้อเสียงจะน้อยลง เพราะเป็นได้เพียงระยะหนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนให้ลำดับถัดไปมาเป็นแทน
3.ลดการเผชิญหน้ากันทางการเมือง เพราะฝ่ายที่ได้คะแนนน้อยกว่าอาจจะได้เป็นผู้บริหารคนต่อไป
นี่เป็นเพียงความคิดริเริ่มคร่าว ๆ กว้าง ๆ ที่ จขกท พยายามนำเสนอต่อสังคม เพื่อให้ท่านทั้งหลายช่วยพิจารณา
โดยมิได้หวังว่าจะต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นค่ะ