สวัสดีค่ะ ทุกคน ต้องขอบอกก่อนนะค่ะว่าการเขียนเรื่องราวครั้งนี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับริษัทไหนเลย แค่อยากมาแชร์เรื่องราวส่วนตัวเผื่อเป็นประโยชน์ต่อรุ่นน้องรุ่นหลังแล้วกันนะค่ะ
เริ่มจากการแนะนำตัวก่อนดีกว่าค่ะ จขกท. เรียนจบแล้ว (เพิ่งจบปีนี้ล่ะค่ะ) เคยไปเวิร์คมาแล้ว 3 ครั้ง! ย้ำว่า 3 ครั้งค่ะ
จขกท จบวิศวะฯ เครื่องกลจากมหาลัยชื่อดังย่านพระราม 7 ที่มีสนามหญ้าเทียมติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ 555 (อันนี้มุขนะค่ะ) เอาเป็นว่าย่านนนทบุรีแล้วกันเนอะ จขกท เป็นคนมีความฝันค่ะ ฝันว่าวันหนึ่งอยากจะไป ตปท. อยากรู้ว่าทีนเนอเจอร์ฝรั่งเค้าใช้ชีวิตเป็นยังงัย เพราะว่าตอนเด็กๆ จขกทค่อนข้างคลุกคลี่กะฝรั่ง เพราะแม่ จขกท เป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ เราก้อจะคอยเป็นโฮสให้ อ. ที่มาเป็นครูอาสาที่ รร.แม่ รึว่าแวดวงเพื่อนแม่ ต่างๆ เรารู้สึกเวลาว่า ฝรั่งกะคนไทยใช้ชีวิตวัยรุ่นต่างกันค่ะ ทำให้ความคิดต่างกัน ตอนที่เรียนม.ต้น. ก้อพยายามสอบทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนหลายรอบแต่ที่บ้านก้อไม่ค่อยสนับสนุน เพราะตอนม.ปลาย จขกท ต้องย้ายมาเรียน ปวช. ที่มหาลัยชื่อดังแห่งนี้ แหลค่ะะทำให้ต้องดรอปเรียน แล้วก้อเรียนช้ากว่าคนอื่นนะค่ะ ก้อเลยไม่ได้ไปไหนสักที่ พอขึ้นมหาลัยก้อเรียนต่อที่เดิม เคยได้ยินเรื่อง work and travel หรือ WAT ต่อไปจขกทจะใช้ตัวย่อนนะค่ะ ก้อเลยตัดสินใจขอที่บ้านอีกรอบ แต่รอบนี้ไม่เสียการเรียน เค้าเลยอนุมัติค่าาา เรื่องมันเริ่มต้นจากการแพลนว่าจะไปตอนปี 2 ขึ้นปี 3 ค่ะ จขกทก้อมีแพลนการใช้ชีวิตมหาลัยเหมือนเด็กทั่วไปแหละค่ะ แต่แต่แพลนไว้ตั้งแต้ตอนขึ้นปี 1 กะว่า ปี 1 ไปค่ายอาสา ปี 2 ไปเวิร์ค ปี 3 ก้อฝึกงานสิค่ะ ส่วนปี 4 ก้อก้มหน้าก้มตาใช้กรรมทำงาน 55555 แต่สุดท้ายแพลนก้อล่มหลังจากกลับมาจากเวิร์คปีแรก ปีต่อๆม่จึงเกิดขึ้น! จขกท ขอเล่าเป็นปีๆ แล้วกันนะค่ะ
WAT Spring 2013
ตอนนั้นยังเด็กมากค่ะ พอตัดสินใจว่าจะไปเวิร์คไม่อยากไปคนเดียว เคยไปคุยกะรุ่นพี่คนหนึ่งไว้ว่า เดี๋ยวเราไปด้วยกัน เลยตั้งหน้าตั้งตาไปสมัครพร้อมกัน ครั้งแรกก้อไปสมัครกับบริษัทหนึ่งที่ขึ้นต้นด้วยตัว A อยู่แถวๆย่านราชเทวี เลือกเมืองที่เอาเป็นว่า เอาว่ะไปปีแรกขอเก็บเงินมาคืนแม่ก่อนล่ะกัน เลยเลือกเป็นงาน fast food ที่ North Dakota ไป สุดท้ายงานถูกยกเลิกในปีนั้น งานที่เหลือก้อมีแต่ housekeeping กับ lifeguard ซึ่งจกขท ทำไม่ได้จริงๆค่ะ เลยขอเงินคืนและโทรหาทุกบริษัทเลยว่ายังมีงาน fast food เหลือบ้างมั้ย สุดท้ายได้ตกลงปลงใจกับบริษัทที่ขึ้นต้นด้วยตัว I ที่อยู่แถว BTS พญาไทยค่ะ คือแยกกันไปกะพี่คนนั้นงานที่ได้เป็นร้าน Wendy's ที่ Salisbury Maryland ค่ะ ตอนนั้นร่าโครงการไม่แพงมากค่ะ รวมทุกอย่างแล้วประมาณ 48,000 บาทโดยจองตั๋วกะบริษัทเลยราคาประมาณ 46,000 บาท บวกกับ Pocket money อีก 20,000 บาท (~$700) ค่ะ แต่เอาจริงๆ ปีแรก จชกทหมดไปเกือบ 150,000 บาทเพราะไปตปท ครั้งแรก ทุกอย่างซื้อใหม่หมดค้ะ 55555 ตอนจองตั๋วบอกกะพี่ที่จัดการว่า พี่ค่ะหนูขอเดินทางเป็นกลุ่มนะค่ะ หนูไม่เคยไปนั่งเครื่องบินค่ะ เพราะงานที่ได้มีคนไทยแค่สองคน แต่พี่ที่ไปด้วยกันขอจองตั๋วเองค่ะ เลยแยกกันไป เตรียมทุกอย่างเสร็จพ่อแม่เป็นห่วงมาก ส่งลูกสาวไปเมืองนอก พอไปถึงสนามบิน พี่ที่บริษัทมาส่ง แต่พบว่าหนูเดินทางคนเดียวค่าาาทุกคนนนนน แต่โชคดี เจอเพื่อนที่ไปเวิร์คจากบริษัทอื่นขึ้นเครื่องไฟท์เดียวกัน แต่ไปแยกกันที่ญี่ปุ่นค่ะ ชีวิตหลังจากแยกกันที่ญี่ปุ่น ก้อไปต่อคนเดียว ซึ่งรัฐแรกที่เหยียบอเมริกาคือ Chicago ค่ะต้องนั่งเครื่องเล็กต่อไปยัง Baltimore Maryland อีกที่ซึ่งถ้าจะไป Salisbury ต้องนั่งเกรย์ฮาวด์ค่าาา ดูความยากลำบากสิค่ะ ตอนก่อนมาเมกามั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเองมากว่าน่าจะพอสื่อสารได้ พอมาถึงแค่ immigration ถามจขกทยังงงเลย

ล่ะตรูจะรอดมั้ยเนี้ย แต่เนื่องจากเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเค้าก้อรู้ว่าภาษาอังกฤษอ่อนด๊อย เลยให้ผ่านๆ 555 พอถึงเวลารอเครื่องก้อกะจะโทรหาญาติ บังเอิญว่าทีแต่แบงค์ก้อเลยไปซื้อ m&m ในสนามบิน เพื่อแลกเหรียญ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวทำไมมันแพงจังว่ะ พอได้เหริญก้อมาที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ พยายามโทรแต่ก้อโทรไม่ได้สักที ฝรั่งใกล้ๆ เลยถามว่าโแเคมั้ยให้ยืมโทรศัพท์มาโทร ไม่รีรอโทรหาป้าทันทีว่าหนูเหยียบเมกาล่ะนะ กำลังจะไป Maryland เสร็จสรรพก้ออีเมล์หาพี่ที่บริษัทว่าถ้า mถึง Baltimore แล้วให้ทำงัย พี่เค้าก้อส่งที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์บ้ารพักที่ Baltimore มาใหม่โดยให้เหตุผลว่าให้ไปพักที่นั่นก่อน รอพี่อีกคนมาถึงแล้วค่อยย้ายไป Salisbury ด้วยกัน เราก้อไม่เอะใจอะไรพอถึงก้อโทรตามเบอร์นั่น เค้าก้อบอกให้นั่งรถไฟจากแอร์พอตไปลงใกล้ๆบ้านเดี๋ยวเค้ามารับ พอไปถึงบ้านก้อเจอเด็กไทยอีกหลายคนเลยที่ทำงานที่ Wendy's ที่ Baltimore ซึ่งมารู้ที่หลังว่าบ้านนี้เป็นโฮสให้เด็กที่มาทำงานให้ Wendy's ที่ Baltimore เราก้อรอพี่อีกคนมาถึงสองวันล่ะหวังว่าจะได้ย้ายๆไปสักที เพราะอยู่นั่นต้องจาก่ายค่าบ้านวันล่ะ $10 โดยที่ยังไม่มีงานทำพอพี่เค้ามาถึงจ้าวร้ายก้อมาถึง คือเจ้าของบ้านที่จะให้เราพักที่ Salisbury หายคัวไปค่ะ โดยองค์กรหรือ sponsor ที่นี่ขอเวลาในการหาบ้านใหม่ให้เราสีกสองสามวัน เราก้อไม่อ่ะไรโอเค ก้อเริ่มเที่ยใช้เงินแบบไม่คิดค่ะ พอผ่านไปหนึ่งอาทิตย์บ้านี่เค้าหามาให้มันแพงกว่าที่เขียนใน job offer เกือบสองเท่าเราก้อไม่ตกลงสักทีสุดท้ายแล้วองค์กรก้อเลยบอกว่างั้นจะหางานใหม่ให้ อะไรนะ!! งานใหม่ ตอนนั้นคือเฟลมาก ร้องไห้ เครียด อยู่แบบไม่มีงานเป็นเวลา 10 วันจนได้งานใหม่เป็น housekeeping ค่ะที่ Ocean City, MD ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากจาก Salisbury ค่ะ เราก้อตอบตกลงไป เพราะตอนนั้นเครียดมาก งานอะไรก้อเอาบวกกับรู้จักกะเพื่อนคนหนึ่งที่ทำ Wendy's ที่ Ocean City ด้วยเลยตัดสินใจไป โดยต้องแยกจากพี่ที่มาด้วยกัน เดินทางด้วยเกร์ฮาวค่ะเป็นเวลาราวๆ3 ชมได้พอไปถึงก้อโทรหาเจ้าของอพาร์คเม้นค่ เค้าก้อมารับแล้วก้อเก็บค่าเช่าค่ะห้องที่อยู่เป็นห้องแบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีครัวกับส่วนนั่งเล่นในตัวห้องนอนหนึ่งมีเตียงสองชั้นกะ อีก 1เตีงเดียว ตอนนั้นในห้อมีคนอู่ๆแล้ว 3 คนเป็นเพื่อนกันคือ 1 ห้องนอน เราก้อเป็นคนที่ 4 ต้องอยู่อีกห้องอีกสองสามวันต่อมารูมเมทอีกคนก้อมาถึงแล้วประมาณเกือยเดือนอีกคนก้อมา โดยทั้งตึกเป็นเด็กไทยเกือบ 80% ได้มีแค่ห้องเดียวเป็นเด็กฟิลิปปินส์กะอีกห้องเป็นฝรั่งโดยทั้งตึกมี 8 ห้องเราไปถึงเกือบมืด เราไปทำความรู้จักกับเด็กไทยที่จะไปทำงานที่เดียวกัน แล้วก้อเข้านอน ตื่นเช้าก้อไปที่โรงแรมที่จะทำงาน ประมาณว่าไปบอกว่า มาถึงแล้วนะจะให้ทำงานวันไหน นางก้อให้เซ็นสัญญา อาทิตย์แรกก้อได้ทำงาน 4-5 วันซึ่งมันไม่ได้เลว แค่แบบคิดว่าทำไมงานเฮ้าส์มันหนักแบบนี้ ปรึกษาพี่ที่ไทยว่าลาออกหางานใหม่ได้มั๊ยเราบอกเราจะมีปัญหากะองค์กร เลยก้มหน้าก้มตาทำ บวกกะการตระเวนหางานสองอย่างมุ่งมั่น เพราะตอนนั้นเงินที่เตรียมมาเริ่มหมด เดินหางานทุกวันหยุดแต่ก้อหาไม่ได้ เพราะช่วง spring ที่นั่นยังหนาวมากๆอยู่. ประมาณ 5-10 องศาได้ใครเค้าจะมาเที่ยวทะเลจริงมั๊ย? ตอนนั้นที่นั่นสโลมากกก ชั่วโมงงานก้อลดลงเรื่อยๆ จาก 4 เป็น 3 จากสามเป็น 2 วันบ้างเราทนไม่ไหวเลยส่งอีเมลล์หาองค์กรว่ามันไม่ยุติธรรมนะ เค้าก้อคุยกับเมเนเจอร์ที่รร เราบอกว่าถ้ายังให้งานเราแบบนี้เราจะออก บวกดับตอนนั้นเพิ่งได้งานสองเป็นแคชเชียร์ร้าน sub shop ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าเค้ารับเราเพราะงสารหรือเอ็นดูเพราะภาษาอังกฤษโง่มาก ตอนนั้นเจ้าของร้านเป็นคนรับสมัครเราแต่ลูกเจ้าของร้านคงหงุดหงิดกะภาษาอังกฤษเราเลยพูดว่าไม่รู้ว่าพ่อรับเรามาได้ยังงัย เค้าบอกเราว่าถ้าเรายังจำเมนูไม่ได้เราก้อไม่มีสิทธไปต่อ เราก้อท่องเมนูเลยจ้า มะนโคตรยากเลยนะเพราะมันเป็นอาหารฝรั่งที่เราไม่มีความรู้เลย อาศัยจำอย่างเดียวเลยจนผ่านมาได้แต่ก้อยังได้ชม.งานทั้งสองน้อยอยู่ดีเลยเลือกที่จะหางานเพิ่ม หางานได้ปุ้ปก้อเลยบอกองค์กรไปว่าขอลาออกจากเฮ้าเค้าไม่อนุมัติค่ะบอกขอดู job offer ของงานใหม่เราก้อเตรียมเอกสารให้สุดท้ายก้อไม่ approve ให้เลยต้องกลับไปทำงานเฮ้าส์เหมือนเดิมซึ่งสโลวแบบนั้น 2 อาทิตย์ได้ คนไทยที่ทำโรงแรมด้วยกันก้อเจอปัญหาคล้ายๆกันแต่ทุกคนรับไหว แต่จขกทไม่อยากทำเฮ้าส์ตั้งแต่แรกอยู่ล่ะเลยคิดแต่จะออก วันนั้นเป็นวันแรกที่จขกทได้ทำงานเองวันแรกหลังจากที่เทรนมา 3วีคครึ่ง วันนั้นตรงกะวันอาทิตย์ในสัปดาห์ที่ 4 วันที่รรบีซี่ที่สุด จขกทเพิ่งมารู้ตอนเช้าว่าต้องทำงานเองตอนเช้า ซึ่งปกติถ้าเป็นเฮ้าส์จะต้องเตรียมของที่จะใช้ในวันถัดไปเอง ไอ้เราก้อไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะไม่คิดว่าจะได้ทำเอง พอได้ชั้นก้อเปิดห้องเอารถเข็นปรากฎว่ารถว่างไม่มีแ้แต่ทิชชูสักม้วน จขกทต้องหาทุกอย่างใหม่จนถึงประมาณ 10 โมงเพิ่งจะได้เริ่มคลีน วันนั้นจำได้ว่าได้ 15-17 ห้องก้อทำไปเรื่อยๆ พอเกือบ 5 โมงเมเนเจอร์มาเชคแล้วถามเราว่าทำไมทำได้แค่นั้น ตอนนั้นเสร็จไป 8 ห้องได้มั้ง จขกทยัวไม่ได้อธิบายอะไรนางบอกกลับบ้านไปตอนนั้นโกดด้วยแหละ เลยเก็บกระเป๋ากลับบ้านเลยจ้าาาคือเอาจริงๆตอนนั้นจขกทห้องงานใหม่อีกงานได้แล้วคืองาน McDonald นั่นเอง พอเรากลับบ้านวันนั้นก้อเลยให้เพื่อนที่รรดู schedule ของอาทิตย์ถัดไปให้ปรากฏว่าเค้าลบชื่อเราออกจาก schedule ค้าาาาาช๊อคสิค่ะ ตอนนั้นรีบโทรหาองค์กรเลยค่ะ ร้องไห้ สุดท้ายนางบอกให้กลับไปคุยกะเมเนเจอร์ เราก้อไปโดยนางคงโกรธที่เรากลับบ้านก้อนวันนั้น เอ้าก้อบอกให้กลับไม่ใช่งั้ยว่ะ? นางให้เหตุผลกะเราสั้นๆว่า ก้ออยากออกอยู่แล้วหนิก้อให้โอกาสแล้วงัย (ลืมบอกไปว่าจขกท ชอบส่งอีเมล์ไปบอกองค์กรว่าชม. งานน้อยองค์กรคงจะบอกเมเนเจอร์ว่าเราบอก นางเลยเขม่นเราอยู่ว่าชอบฟ้อง555) ตอนนั้นเราแอบบเสียใจนะสุดท้ายเราก้อเดินออกมามั่นๆ แล้วไปเซ็นสัญญาทำงานที่แมค ตอนแรกเค้าให้เราเป็นพาร์ทไทม์ กะเย็นพอเราบอกเค้าว่าเราโดนไล่ออก/ลาออกจากรร. แล้วเค้าก้อให้เราเป็นเกือบ full time ตอนนั้นก้อได้งานที่ Burger King ตอนเช้าแล้วก้อ Sub shop วันหยุด มันนรกมากค่ะทำสามงานเนี้ย แต่ทนค่ะ มีเวลาเหลือแค่เดือนเดียว จนมานานเพราะเงินที่ได้แรกๆ ก้อจ่ายค่าบ้านจนเกือบหมด ตอนนั้นช๊อตสุดๆกะทำงานหาเงินอย่างเดียว ตอนแรกเราทำล้อบบี้ คือคลีนโต๊ะอะไรงี้อ่าค่ะ เค้าคงไม่อยากเสียเวลาเทรน พอคนขาดเค้าก้อเทรนเราทำครัว พอซัมเมอร์จะถึง ร้านจากเปิดถึงเที่ยงคืนตี 1 ก้อเปิด 24 ชม. เค้าขอให้เราอยู่ต่อถึง ตี2-3 บ้าง บางวันตี 4 เราเหมือนศพค่ะ เคยทำแมคนานสุด 16 ชม. (ถึกโคตร) เพื่อนร่วมงานสงสารเลยไปฟ้องเมเนเจอร์ใหญ่ เค้าเลยย้ายเราไปทำ overnight แทน ตอนนั้นมันโหดร้ายมาก ทำ Burger King จาก 8 โมงเช้าถึง บ่าย 2-3 ทำแมค 5 ทุ่มถึง ตี5 - 6 โมง นอนไม่เป็นเวลา เลยขอลาออกจาก sub shop เค้าก้อโอเค ตอนนั้นเราเก็บเงินเพื่อนไปเที่ยวนิวยอร์กกะเพื่อนต่อค่ะ สรุปปีนั้นเราได้เงินหลังจากเที่ยวสามที่ ดีซี นิวยอร์ก กับโซลเกาหลีใต้น่ะค่ะ ทั้งหมด 2 หมื่นบาท 55555 อต่มันเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์ครั้งนั้นที่เทียบเป็นเงินไม่ได้เลยค่ะ พอกลับมาไทยก้อขอแม่ไปอีกรอบ มีคนถามว่าไม่เค็ดหรอ ไม่กลัวจะเป็ยแบบเดิมอีกหรอ เราก้อตอบว่าไม่รู้ แต่ก้ออยากรู้เหมือนกันว่าถ้าไปอีกจะซวยแบบเดิมอีกมั๊ย? แม่ก้ออนุมัติค่ะ
ปล.ลืมบอกไปค่ะ ว่าตอนนั้น. จขกทอายุเพิ่งจะ 20 ค่ะยังปาร์ตี้ไม่ได้ ที่โน้นต้อง 21+ ค่ะ ขนาดไปซื้อแอลกอฮอล์กะเพื่อนๆเป็นซื้อ เค้าขอดูไอดีเราด้วย อายุไม่ถึงก้อไม่ขายนะจ้ะ แถมมีเรื่องให้เครียดหลายเรื่องค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลาสังสรรค์ เพื่อนส่วนมากที่เจอก้อเป็นเพื่อนร่วมงาน ขนาดรูมเมทยังไม่ค่อยจะเจอดันเลยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อปี 2014 กับ 2015 นะค่ะ อาจจะยาวไปนิด ทนหน่อยนะค่ะ แต่ต่อไปจะดราม่าให้น้อยลงล่กันะ 55555
อยากจะไป Work and Travel ดี/ไม่ดียังงัย??? มาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวทั้งดีและร้ายให้ฟังกัน!!
เริ่มจากการแนะนำตัวก่อนดีกว่าค่ะ จขกท. เรียนจบแล้ว (เพิ่งจบปีนี้ล่ะค่ะ) เคยไปเวิร์คมาแล้ว 3 ครั้ง! ย้ำว่า 3 ครั้งค่ะ
จขกท จบวิศวะฯ เครื่องกลจากมหาลัยชื่อดังย่านพระราม 7 ที่มีสนามหญ้าเทียมติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ 555 (อันนี้มุขนะค่ะ) เอาเป็นว่าย่านนนทบุรีแล้วกันเนอะ จขกท เป็นคนมีความฝันค่ะ ฝันว่าวันหนึ่งอยากจะไป ตปท. อยากรู้ว่าทีนเนอเจอร์ฝรั่งเค้าใช้ชีวิตเป็นยังงัย เพราะว่าตอนเด็กๆ จขกทค่อนข้างคลุกคลี่กะฝรั่ง เพราะแม่ จขกท เป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ เราก้อจะคอยเป็นโฮสให้ อ. ที่มาเป็นครูอาสาที่ รร.แม่ รึว่าแวดวงเพื่อนแม่ ต่างๆ เรารู้สึกเวลาว่า ฝรั่งกะคนไทยใช้ชีวิตวัยรุ่นต่างกันค่ะ ทำให้ความคิดต่างกัน ตอนที่เรียนม.ต้น. ก้อพยายามสอบทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนหลายรอบแต่ที่บ้านก้อไม่ค่อยสนับสนุน เพราะตอนม.ปลาย จขกท ต้องย้ายมาเรียน ปวช. ที่มหาลัยชื่อดังแห่งนี้ แหลค่ะะทำให้ต้องดรอปเรียน แล้วก้อเรียนช้ากว่าคนอื่นนะค่ะ ก้อเลยไม่ได้ไปไหนสักที่ พอขึ้นมหาลัยก้อเรียนต่อที่เดิม เคยได้ยินเรื่อง work and travel หรือ WAT ต่อไปจขกทจะใช้ตัวย่อนนะค่ะ ก้อเลยตัดสินใจขอที่บ้านอีกรอบ แต่รอบนี้ไม่เสียการเรียน เค้าเลยอนุมัติค่าาา เรื่องมันเริ่มต้นจากการแพลนว่าจะไปตอนปี 2 ขึ้นปี 3 ค่ะ จขกทก้อมีแพลนการใช้ชีวิตมหาลัยเหมือนเด็กทั่วไปแหละค่ะ แต่แต่แพลนไว้ตั้งแต้ตอนขึ้นปี 1 กะว่า ปี 1 ไปค่ายอาสา ปี 2 ไปเวิร์ค ปี 3 ก้อฝึกงานสิค่ะ ส่วนปี 4 ก้อก้มหน้าก้มตาใช้กรรมทำงาน 55555 แต่สุดท้ายแพลนก้อล่มหลังจากกลับมาจากเวิร์คปีแรก ปีต่อๆม่จึงเกิดขึ้น! จขกท ขอเล่าเป็นปีๆ แล้วกันนะค่ะ
WAT Spring 2013
ตอนนั้นยังเด็กมากค่ะ พอตัดสินใจว่าจะไปเวิร์คไม่อยากไปคนเดียว เคยไปคุยกะรุ่นพี่คนหนึ่งไว้ว่า เดี๋ยวเราไปด้วยกัน เลยตั้งหน้าตั้งตาไปสมัครพร้อมกัน ครั้งแรกก้อไปสมัครกับบริษัทหนึ่งที่ขึ้นต้นด้วยตัว A อยู่แถวๆย่านราชเทวี เลือกเมืองที่เอาเป็นว่า เอาว่ะไปปีแรกขอเก็บเงินมาคืนแม่ก่อนล่ะกัน เลยเลือกเป็นงาน fast food ที่ North Dakota ไป สุดท้ายงานถูกยกเลิกในปีนั้น งานที่เหลือก้อมีแต่ housekeeping กับ lifeguard ซึ่งจกขท ทำไม่ได้จริงๆค่ะ เลยขอเงินคืนและโทรหาทุกบริษัทเลยว่ายังมีงาน fast food เหลือบ้างมั้ย สุดท้ายได้ตกลงปลงใจกับบริษัทที่ขึ้นต้นด้วยตัว I ที่อยู่แถว BTS พญาไทยค่ะ คือแยกกันไปกะพี่คนนั้นงานที่ได้เป็นร้าน Wendy's ที่ Salisbury Maryland ค่ะ ตอนนั้นร่าโครงการไม่แพงมากค่ะ รวมทุกอย่างแล้วประมาณ 48,000 บาทโดยจองตั๋วกะบริษัทเลยราคาประมาณ 46,000 บาท บวกกับ Pocket money อีก 20,000 บาท (~$700) ค่ะ แต่เอาจริงๆ ปีแรก จชกทหมดไปเกือบ 150,000 บาทเพราะไปตปท ครั้งแรก ทุกอย่างซื้อใหม่หมดค้ะ 55555 ตอนจองตั๋วบอกกะพี่ที่จัดการว่า พี่ค่ะหนูขอเดินทางเป็นกลุ่มนะค่ะ หนูไม่เคยไปนั่งเครื่องบินค่ะ เพราะงานที่ได้มีคนไทยแค่สองคน แต่พี่ที่ไปด้วยกันขอจองตั๋วเองค่ะ เลยแยกกันไป เตรียมทุกอย่างเสร็จพ่อแม่เป็นห่วงมาก ส่งลูกสาวไปเมืองนอก พอไปถึงสนามบิน พี่ที่บริษัทมาส่ง แต่พบว่าหนูเดินทางคนเดียวค่าาาทุกคนนนนน แต่โชคดี เจอเพื่อนที่ไปเวิร์คจากบริษัทอื่นขึ้นเครื่องไฟท์เดียวกัน แต่ไปแยกกันที่ญี่ปุ่นค่ะ ชีวิตหลังจากแยกกันที่ญี่ปุ่น ก้อไปต่อคนเดียว ซึ่งรัฐแรกที่เหยียบอเมริกาคือ Chicago ค่ะต้องนั่งเครื่องเล็กต่อไปยัง Baltimore Maryland อีกที่ซึ่งถ้าจะไป Salisbury ต้องนั่งเกรย์ฮาวด์ค่าาา ดูความยากลำบากสิค่ะ ตอนก่อนมาเมกามั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเองมากว่าน่าจะพอสื่อสารได้ พอมาถึงแค่ immigration ถามจขกทยังงงเลย
ปล.ลืมบอกไปค่ะ ว่าตอนนั้น. จขกทอายุเพิ่งจะ 20 ค่ะยังปาร์ตี้ไม่ได้ ที่โน้นต้อง 21+ ค่ะ ขนาดไปซื้อแอลกอฮอล์กะเพื่อนๆเป็นซื้อ เค้าขอดูไอดีเราด้วย อายุไม่ถึงก้อไม่ขายนะจ้ะ แถมมีเรื่องให้เครียดหลายเรื่องค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลาสังสรรค์ เพื่อนส่วนมากที่เจอก้อเป็นเพื่อนร่วมงาน ขนาดรูมเมทยังไม่ค่อยจะเจอดันเลยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อปี 2014 กับ 2015 นะค่ะ อาจจะยาวไปนิด ทนหน่อยนะค่ะ แต่ต่อไปจะดราม่าให้น้อยลงล่กันะ 55555