1 ในภาษาไทย ผี แปลว่า ......
ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-อังกฤษ อ. สอ เสถบุตรพจนานุกรม ไทย-อังกฤษ อ. สอ เสถบุตร
ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า เรียกคนที่ตายไปแล้ว
(โบ) เทวดา
(ปาก) โดยปริยายหมายความว่า เลว เช่น คนผี
เรียกบุคคลที่หมกมุ่นในการพนันว่า ผีการพนันเข้าสิง.
ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถานพจนานุกรมแปล พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า เรียกคนที่ตายไปแล้ว
(โบ) เทวดา
(ปาก) โดยปริยายหมายความว่า เลว เช่น คนผี
เรียกบุคคลที่หมกมุ่นในการพนันว่า ผีการพนันเข้าสิง.
ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร
ผี น. สัตว์โลกจำพวกหนึ่งที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้, ตามทัศนะของพระพุทธศาสนาว่า ผีเป็นสัตวโลกจำพวกหนึ่งซึ่งมีจิตใจ แต่มีร่างอันไม่สมประกอบ ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา อาจสิงอยู่หรือท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้, ภาษาบาลี ใช้ศัพท์ว่าเจตภูต, ตามความเชื่อของคนในภาคต่างๆ
http://dictionary.sanook.com/search/%E0%B8%9C%E0%B8%B5
2 ในพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย มีคำว่า ผี เช่น
2.1
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ แม้เมื่ออันตรายไม่มี ก็สวดปาติโมกข์ย่อ. ภิกษุทั้งหลายจึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อไม่มีอันตราย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.
อันตรายในเรื่องนั้นเหล่านี้ คือ
๑. พระราชาเสด็จมา
๒. โจรมาปล้น
๓. ไฟไหม้
๔. น้ำหลากมา
๕. คนมามาก
๖. ผีเข้าภิกษุ
๗. สัตว์ร้ายเข้ามา
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา
๙. ภิกษุอาพาธหนักจะถึงเสียชีวิต
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อในเพราะอันตรายเห็นปานนี้ เมื่อไม่มี
อันตราย ให้สวดโดยพิสดาร.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=4440&Z=4480
วินิจฉัยในอันตราย ๑๐ คือ ราชันตรายเป็นอาทิ.
ถ้าเมื่อภิกษุทั้งหลายคิดว่า เราจักทำอุโบสถ นั่งประชุมกันแล้ว พระราชาเสด็จมา นี้ชื่อว่าราชันตราย. พวกโจรพากันมา นี้ชื่อโจรันตราย. ไฟป่าลามมาหรือไฟเกิดขึ้นในอาวาส นี้ชื่ออัคคยันตราย. ฝนตกหรือน้ำหลากมา นี้ชื่ออุทกันตราย. มนุษย์มากันมาก นี้ชื่อมนุสสันตราย. ผีเข้าภิกษุ นี้ชื่ออมานุสสันตราย. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้นมา นี้ชื่อวาฬันตราย. สัตว์มีพิษมีงูเป็นต้นกัดภิกษุ นี้ชื่อสิรึสปันตราย. ภิกษุอาพาธหรือทำกาลกิริยา หรือพวกคนมีเวรกัน ปองจะฆ่า จับภิกษุนั้น นี้ชื่อชีวิตันตราย. มนุษย์ประสงค์ให้ภิกษุรูปเดียวหรือหลายรูปเคลื่อนจากพรหมจรรย์ จับเอาไป นี้ชื่อพรหมจริยันตราย
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=4&i=167
2.2
[๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า พระอาจารย์ พระอุปัชฌายะ
ช่วยกันรักษาเธอ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หายโรคได้ เธอเดินไปที่เขียงแล่หมู แล้วเคี้ยวกินเนื้อดิบ
ดื่มกินเลือดสด อาพาธเพราะผีเข้าของเธอนั้น หายดังปลิดทิ้ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตเนื้อดิบ เลือดสด ในเพราะอาพาธเกิดแต่ผีเข้า.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=775&Z=947
อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้วได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=5&i=25
แต่จากข้อมูลหลักฐานเหล่านั้น ผมกลับเห็นว่า คำว่า ผี ทั้งในภาษาไทย และที่ใช้แปลบาลีคำว่า อมนุษย์ ฯลฯ
เป็นเพียงหลักฐานแสดง การเรียกสิ่งที่คนโบราณไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เสียมากกว่า นะครับ เช่น
1 ถ้า คำว่า อมนุษย์ ต้องแปลว่า ผี หรืออะไรจำพวกนั่นแน่ๆ ผมเห็นว่า สิกขาบทวินัย ก็คงฟั่นเฝือ ฟั่นเฟือน ไร้เหตุผลเอามากๆ เลยนะครับท่าน
เพราะในอาบัติปาราชิก ข้อเสพเมถุน ได้ระบุถึง การเสพเมถุน ผ่าน วัจจมรรค ปัสสาวมรรค และ มุขมรรค ในพวก อมนุษย์ ที่เป็น หญิง ชาย และ กระเทย ฯ
คือพวกท่านจะบอกว่า มีภิกษุต้องอาบัติปาราชิก เพราะเสพเมถุนกับ ผีผู้หญิง ผีผู้ชาย และผีกระเทย หรือครับ ?
ผมเห็นว่า หากชาวพุทธเถรวาทจะเข้าใจแบบนี้จริงๆ ก็ไร้เหตุผล ไร้สาระเต็มที นะครับท่าน
2 พระไตรปิฎกฉบับแปลไทย บางแห่ง ก็ไม่ได้แปล อมนุสสันตราโย ว่า ผีสิง นะครับท่าน แต่ท่านแปลว่า อันตรายจากอมนุษย์
[๔๙๐] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย
๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ:-
๑. อันตรายแต่พระราชา
๒. อันตรายแต่โจร
๓. อันตรายแต่ไฟ
๔. อันตรายแต่น้ำ
๕. อันตรายแต่มนุษย์
๖. อันตรายแต่อมนุษย์
๗. อันตรายแต่สัตว์ร้าย
๘. อันตรายแต่สัตว์เลื้อยคลาน
๙. อันตรายต่อชีวิต
๑๐. อันตรายต่อพรหมจรรย์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=5572&Z=5889
ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณา ก็คือ คำว่า อมนุษย์ หรือ ปิศาจ หรืออะไรทำนองนี้ ในสมัยโบราณ เขาหมายถึงอะไรกันบ้าง ?
1 พระพุทธเจ้า ตรัสเล่าว่า คนสมัยก่อน เรียกคนดำ(ชนพื้นเมืองเดิมในอินเดีย) ว่าปิศาจ
คือ หมายความว่า พวกอารยัน ที่มารุกราน และยึดครองดินแดนเขา เรียกผู้แพ้(ชนพื้นเมืองผิวดำ) ว่าพวกปิศาจ น่ะครับ
ตรงนี้แปลว่า ปิศาจ ไม่ได้หมายถึง ผีหลอกวิญญาณหลอน สิงคนได้ แบบที่พวกงมงาย เข้าใจกันนะครับท่าน แต่หมายถึง คน ต่างหาก
และพระเจ้าอุกกากราชมีนางทาสีคนหนึ่งชื่อทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง ชื่อกัณหะ
กัณหะพอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า ขอแม่จงปลดเปลื้องฉัน
จากสิ่งโสโครกนี้ ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่แม่.
อัมพัฏฐะ มนุษย์สมัยนี้เรียกปีศาจว่า ปีศาจ ฉันใด มนุษย์สมัยนั้นก็ฉันนั้น เรียกปีศาจ
ว่า คนดำ มนุษย์เหล่านั้นจึงกล่าวกันเช่นนี้ว่า ทารกนี้พอเกิดมาก็พูดได้ คนดำเกิดแล้ว
ปีศาจเกิดแล้ว. อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่ากัณหายนะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และ
กัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1920&Z=2832
2 ในชั้นอรรถกถา ก็พอมีร่องรอยอยู่บ้าง เช่นว่า เขาเรียกสัตว์(ป่า?)ตัวใหญ่ๆ ว่า สัตว์ปิศาจ หรือ เรียกเด็กพิการ หรือเด็กจัณฑาล ว่า ปิศาจ เป็นต้น
ด้วยบทว่า สตฺตปิสาจา ครูมักขลิโคสาลกล่าวว่า พวกสัตว์ใหญ่ๆ ชื่อว่าปิศาจ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=91&p=3
ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด, หญิงนั้นได้อาหาร แม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น คลอดบุตรแล้ว. ทารกนั้นได้มีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ. ทารกนั้นประกอบด้วยความวิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น ได้มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น.
แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ไม่ละบุตรนั้น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=3
ขออนุญาตสรุป นะครับ
คือ หลักฐานที่พอจะทำให้เข้าใจว่า มี ผี หรืออะไรสักอย่าง ไปสิงร่างคนนั้นคนนี้ มึอยู่ในพระคัมภีร์ มากมายหลายแห่งครับท่าน
แต่ที่ผมไม่ยกมาแสดง ก็ด้วยเหตุผลสองข้อ คือ 1 บางที มันเป็นความคลาดเคลื่อนในการแปล คือในบาลี ไม่มี ผีสิง มีแต่คำว่า อมนุษย์เฉยๆ
2 ข้อความ ไม่สมเหตุผลด้วยตัวของมันเอง เช่น ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก เพราะเสพเมถุนกับ ผีกระเทย แต่ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หากฆ่าผี เป็นต้น
ตรงนี้ แปลว่า ผี มีความหมาย หรือ คำแปล ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ในสองสิกขาบท น่ะครับ
ผมเข้าใจว่า คำว่า อมนุษย์ ปิศาจ ยักษ์ นาค ฯลฯ ในสมัยโบราณ ส่วนใหญ่ จะหมายถึงคน ที่คนสมัยนั้น ไม่ถิอว่าเป็นมนุษย์ ครับท่าน
เช่น พวกอารยัน เรียกพวกชนพื้นเมืองผิวดำว่า ปิศาจ เรียกชนเผ่านาคา ว่าดิรัจฉาน(ไม่อนุญาตให้บวช) เพราะเป็นชนเผ่าล้าหลัง(ล่าหัวมนุษย์)
หรือบางกรณีเช่น พบว่า มีพวกยักษ์ หรืออะไรทำนองนี้ ทำหน้าที่ คนรับใช้ชั้นต่ำ หรืออาศัยอยู่ในชุมชนมนุษย์ ซึ่ง คำว่ายักษ์ หรือ อมนุษย์ ในที่นี้
ไม่ควรจะหมายถึง ยอ ยักษ์ เขี้ยวใหญ่ หรือผีสางนางไม้ ตามคติความเชื่อของคนงมงาย เป็นแน่ นะครับท่าน
สุดท้าย ก็คือ ผี หรือ อมนุษย์ ที่ใช้เรียกชื่อของโรค หรือกลุ่มอาการ ที่อธิบายสมุฏฐานของโรคไม่ได้ เช่น โรคอมนุษย์ ก็เรียกว่า โรคผีเข้า
ในเมืองไทยเอง ก็เรียก อหิวาตกโรค กับ ฝีดาษ ว่า โรคห่า หรือ ผีห่า เพราะในสมัยนั้น สมุฏฐานของโรค เป็นสิ่งลี้ลับ ไม่มีใครรู้ จึงบัญญัติเรียกว่า ผี
อนุโมทนา ครับท่าน
ผี ปิศาจ และ อมนุษย์ ในพระคัมภีร์พระพุทธศาสนา
ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-อังกฤษ อ. สอ เสถบุตรพจนานุกรม ไทย-อังกฤษ อ. สอ เสถบุตร
ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า เรียกคนที่ตายไปแล้ว
(โบ) เทวดา
(ปาก) โดยปริยายหมายความว่า เลว เช่น คนผี
เรียกบุคคลที่หมกมุ่นในการพนันว่า ผีการพนันเข้าสิง.
ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถานพจนานุกรมแปล พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า เรียกคนที่ตายไปแล้ว
(โบ) เทวดา
(ปาก) โดยปริยายหมายความว่า เลว เช่น คนผี
เรียกบุคคลที่หมกมุ่นในการพนันว่า ผีการพนันเข้าสิง.
ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร
ผี น. สัตว์โลกจำพวกหนึ่งที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้, ตามทัศนะของพระพุทธศาสนาว่า ผีเป็นสัตวโลกจำพวกหนึ่งซึ่งมีจิตใจ แต่มีร่างอันไม่สมประกอบ ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา อาจสิงอยู่หรือท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้, ภาษาบาลี ใช้ศัพท์ว่าเจตภูต, ตามความเชื่อของคนในภาคต่างๆ
http://dictionary.sanook.com/search/%E0%B8%9C%E0%B8%B5
2 ในพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย มีคำว่า ผี เช่น
2.1
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ แม้เมื่ออันตรายไม่มี ก็สวดปาติโมกข์ย่อ. ภิกษุทั้งหลายจึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อไม่มีอันตราย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.
อันตรายในเรื่องนั้นเหล่านี้ คือ
๑. พระราชาเสด็จมา
๒. โจรมาปล้น
๓. ไฟไหม้
๔. น้ำหลากมา
๕. คนมามาก
๖. ผีเข้าภิกษุ
๗. สัตว์ร้ายเข้ามา
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา
๙. ภิกษุอาพาธหนักจะถึงเสียชีวิต
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อในเพราะอันตรายเห็นปานนี้ เมื่อไม่มี
อันตราย ให้สวดโดยพิสดาร.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=4440&Z=4480
วินิจฉัยในอันตราย ๑๐ คือ ราชันตรายเป็นอาทิ.
ถ้าเมื่อภิกษุทั้งหลายคิดว่า เราจักทำอุโบสถ นั่งประชุมกันแล้ว พระราชาเสด็จมา นี้ชื่อว่าราชันตราย. พวกโจรพากันมา นี้ชื่อโจรันตราย. ไฟป่าลามมาหรือไฟเกิดขึ้นในอาวาส นี้ชื่ออัคคยันตราย. ฝนตกหรือน้ำหลากมา นี้ชื่ออุทกันตราย. มนุษย์มากันมาก นี้ชื่อมนุสสันตราย. ผีเข้าภิกษุ นี้ชื่ออมานุสสันตราย. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้นมา นี้ชื่อวาฬันตราย. สัตว์มีพิษมีงูเป็นต้นกัดภิกษุ นี้ชื่อสิรึสปันตราย. ภิกษุอาพาธหรือทำกาลกิริยา หรือพวกคนมีเวรกัน ปองจะฆ่า จับภิกษุนั้น นี้ชื่อชีวิตันตราย. มนุษย์ประสงค์ให้ภิกษุรูปเดียวหรือหลายรูปเคลื่อนจากพรหมจรรย์ จับเอาไป นี้ชื่อพรหมจริยันตราย
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=4&i=167
2.2
[๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า พระอาจารย์ พระอุปัชฌายะ
ช่วยกันรักษาเธอ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หายโรคได้ เธอเดินไปที่เขียงแล่หมู แล้วเคี้ยวกินเนื้อดิบ
ดื่มกินเลือดสด อาพาธเพราะผีเข้าของเธอนั้น หายดังปลิดทิ้ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตเนื้อดิบ เลือดสด ในเพราะอาพาธเกิดแต่ผีเข้า.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=775&Z=947
อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้วได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=5&i=25
แต่จากข้อมูลหลักฐานเหล่านั้น ผมกลับเห็นว่า คำว่า ผี ทั้งในภาษาไทย และที่ใช้แปลบาลีคำว่า อมนุษย์ ฯลฯ
เป็นเพียงหลักฐานแสดง การเรียกสิ่งที่คนโบราณไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เสียมากกว่า นะครับ เช่น
1 ถ้า คำว่า อมนุษย์ ต้องแปลว่า ผี หรืออะไรจำพวกนั่นแน่ๆ ผมเห็นว่า สิกขาบทวินัย ก็คงฟั่นเฝือ ฟั่นเฟือน ไร้เหตุผลเอามากๆ เลยนะครับท่าน
เพราะในอาบัติปาราชิก ข้อเสพเมถุน ได้ระบุถึง การเสพเมถุน ผ่าน วัจจมรรค ปัสสาวมรรค และ มุขมรรค ในพวก อมนุษย์ ที่เป็น หญิง ชาย และ กระเทย ฯ
คือพวกท่านจะบอกว่า มีภิกษุต้องอาบัติปาราชิก เพราะเสพเมถุนกับ ผีผู้หญิง ผีผู้ชาย และผีกระเทย หรือครับ ?
ผมเห็นว่า หากชาวพุทธเถรวาทจะเข้าใจแบบนี้จริงๆ ก็ไร้เหตุผล ไร้สาระเต็มที นะครับท่าน
2 พระไตรปิฎกฉบับแปลไทย บางแห่ง ก็ไม่ได้แปล อมนุสสันตราโย ว่า ผีสิง นะครับท่าน แต่ท่านแปลว่า อันตรายจากอมนุษย์
[๔๙๐] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย
๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ:-
๑. อันตรายแต่พระราชา
๒. อันตรายแต่โจร
๓. อันตรายแต่ไฟ
๔. อันตรายแต่น้ำ
๕. อันตรายแต่มนุษย์
๖. อันตรายแต่อมนุษย์
๗. อันตรายแต่สัตว์ร้าย
๘. อันตรายแต่สัตว์เลื้อยคลาน
๙. อันตรายต่อชีวิต
๑๐. อันตรายต่อพรหมจรรย์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=5572&Z=5889
ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณา ก็คือ คำว่า อมนุษย์ หรือ ปิศาจ หรืออะไรทำนองนี้ ในสมัยโบราณ เขาหมายถึงอะไรกันบ้าง ?
1 พระพุทธเจ้า ตรัสเล่าว่า คนสมัยก่อน เรียกคนดำ(ชนพื้นเมืองเดิมในอินเดีย) ว่าปิศาจ
คือ หมายความว่า พวกอารยัน ที่มารุกราน และยึดครองดินแดนเขา เรียกผู้แพ้(ชนพื้นเมืองผิวดำ) ว่าพวกปิศาจ น่ะครับ
ตรงนี้แปลว่า ปิศาจ ไม่ได้หมายถึง ผีหลอกวิญญาณหลอน สิงคนได้ แบบที่พวกงมงาย เข้าใจกันนะครับท่าน แต่หมายถึง คน ต่างหาก
และพระเจ้าอุกกากราชมีนางทาสีคนหนึ่งชื่อทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง ชื่อกัณหะ
กัณหะพอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า ขอแม่จงปลดเปลื้องฉัน
จากสิ่งโสโครกนี้ ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่แม่.
อัมพัฏฐะ มนุษย์สมัยนี้เรียกปีศาจว่า ปีศาจ ฉันใด มนุษย์สมัยนั้นก็ฉันนั้น เรียกปีศาจ
ว่า คนดำ มนุษย์เหล่านั้นจึงกล่าวกันเช่นนี้ว่า ทารกนี้พอเกิดมาก็พูดได้ คนดำเกิดแล้ว
ปีศาจเกิดแล้ว. อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่ากัณหายนะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และ
กัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1920&Z=2832
2 ในชั้นอรรถกถา ก็พอมีร่องรอยอยู่บ้าง เช่นว่า เขาเรียกสัตว์(ป่า?)ตัวใหญ่ๆ ว่า สัตว์ปิศาจ หรือ เรียกเด็กพิการ หรือเด็กจัณฑาล ว่า ปิศาจ เป็นต้น
ด้วยบทว่า สตฺตปิสาจา ครูมักขลิโคสาลกล่าวว่า พวกสัตว์ใหญ่ๆ ชื่อว่าปิศาจ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=91&p=3
ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด, หญิงนั้นได้อาหาร แม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น คลอดบุตรแล้ว. ทารกนั้นได้มีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ. ทารกนั้นประกอบด้วยความวิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น ได้มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น.
แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ไม่ละบุตรนั้น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=3
ขออนุญาตสรุป นะครับ
คือ หลักฐานที่พอจะทำให้เข้าใจว่า มี ผี หรืออะไรสักอย่าง ไปสิงร่างคนนั้นคนนี้ มึอยู่ในพระคัมภีร์ มากมายหลายแห่งครับท่าน
แต่ที่ผมไม่ยกมาแสดง ก็ด้วยเหตุผลสองข้อ คือ 1 บางที มันเป็นความคลาดเคลื่อนในการแปล คือในบาลี ไม่มี ผีสิง มีแต่คำว่า อมนุษย์เฉยๆ
2 ข้อความ ไม่สมเหตุผลด้วยตัวของมันเอง เช่น ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก เพราะเสพเมถุนกับ ผีกระเทย แต่ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หากฆ่าผี เป็นต้น
ตรงนี้ แปลว่า ผี มีความหมาย หรือ คำแปล ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ในสองสิกขาบท น่ะครับ
ผมเข้าใจว่า คำว่า อมนุษย์ ปิศาจ ยักษ์ นาค ฯลฯ ในสมัยโบราณ ส่วนใหญ่ จะหมายถึงคน ที่คนสมัยนั้น ไม่ถิอว่าเป็นมนุษย์ ครับท่าน
เช่น พวกอารยัน เรียกพวกชนพื้นเมืองผิวดำว่า ปิศาจ เรียกชนเผ่านาคา ว่าดิรัจฉาน(ไม่อนุญาตให้บวช) เพราะเป็นชนเผ่าล้าหลัง(ล่าหัวมนุษย์)
หรือบางกรณีเช่น พบว่า มีพวกยักษ์ หรืออะไรทำนองนี้ ทำหน้าที่ คนรับใช้ชั้นต่ำ หรืออาศัยอยู่ในชุมชนมนุษย์ ซึ่ง คำว่ายักษ์ หรือ อมนุษย์ ในที่นี้
ไม่ควรจะหมายถึง ยอ ยักษ์ เขี้ยวใหญ่ หรือผีสางนางไม้ ตามคติความเชื่อของคนงมงาย เป็นแน่ นะครับท่าน
สุดท้าย ก็คือ ผี หรือ อมนุษย์ ที่ใช้เรียกชื่อของโรค หรือกลุ่มอาการ ที่อธิบายสมุฏฐานของโรคไม่ได้ เช่น โรคอมนุษย์ ก็เรียกว่า โรคผีเข้า
ในเมืองไทยเอง ก็เรียก อหิวาตกโรค กับ ฝีดาษ ว่า โรคห่า หรือ ผีห่า เพราะในสมัยนั้น สมุฏฐานของโรค เป็นสิ่งลี้ลับ ไม่มีใครรู้ จึงบัญญัติเรียกว่า ผี
อนุโมทนา ครับท่าน