ขุดคลองดีกว่าขุดสระน้ำ

กระทู้สนทนา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในศยมกุกประเทศ  มีปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
วนเวียนเป็นกงจักรน้ำเน่า/วัฏฏจักรปีศาจ
มาหลอกมาหลอนกันทุก ๆ ปี
ตลอดมาตลอดกาลนานปี
ปีไหนไม่น้ำท่วม ก็ฝนแล้ง  
หรือฝนแล้งแล้วก็น้ำท่วมตามมา
ไม่เคยมีปีไหนไม่มีปัญหาตลอดมา

เจ้าเมืองก็ชื่นชอบเพราะเวลาประกาศว่าเป็นเขตภัยพิบัติ
ก็จะสามารถเบิกงบฉุกเฉินได้ครั้งละ 45 ล้านเฟื้อง
แถมไม่จำต้องมีใบส่งใบเสร็จเป็นหลักฐานการเบิกจ่ายเงินก้อนนี้
เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการซื้อข้าวของไปช่วยเหลือชาวบ้าน

ต่อมาไม่นานนัก  มีการปฏิวัติรัฐประหารยกเลิกรัฐธรรมนูญ
โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เลียนแบบลักษณะประเทศด้อยพัฒนาประชาธิปไตยแถบละตินอเมริกา
แล้วคณะปฏิวัติมีคำสั่งให้อำมาตย์กับขุนนาง
ไปแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม แบบบูรณาการ
ให้ลองคิดใหม่ทำใหม่ หรือสอบถามจาก
ผู้มีส่วนได้เสีย Stakeholders (ไม่ใช่คนถือจานเสต็ค)
ก็มีบรรดาผู้รู้ นักคิดนักเขียน ปราชญ์ชาวบ้าน ราษฏรอาวุโส ชาวบ้าน
ต่างเสนอแนวทางแก้ไขกันมากมาย มีหลายทางเลือกหลาย Options
ไม่แตกต่างจากการคัดเลือกนางงาม/คนสวยไปประกวดธิดาหมู่บ้าน

สรุปได้ความว่า   ให้ขุดสระน้ำ
ทุกพื้นนาพื้นไร่ นับเป็นพัน ๆ บ่อ
อย่าไปเสียเวลาลอกคูลอกคลองแม่น้ำ
เพราะดินที่ขุดขึ้นมากองข้างทาง
จะทำลายแหล่งพันธุ์ปลา
ปลาจะตาย ระบบนิเวศจะเสียหาย
ทางเท้า/ทางเดินลำบากถ้าไม่บดอัดให้แน่น
ก็ได้ข้อสรุปตามนี้  เป็นอันเข้าใจกันดีนะ

ในบางแห่งบางท้องที่
ก็จะว่าจ้างชาวบ้านให้มาทำงาน
เงินทองจะได้กระจายและทั่วถึง
ให้ชาวบ้านมีรายได้/กับเป็นการกระจายรายได้

แต่ก็มีปัญหาเพราะชาวบ้านบางคนนั้นเอง
ภาษาใต้ว่ามาแต่ ด.เด็ก
คือ ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมา
ทุกอย่างเบิกเถ้าแก่เบิกกงสีทั้งหมด
เวลามาขุดดินก็มามือเปล่า จอบ เสียม บุ้งกี๋ ก็ไม่นำมา
ซ้ำร้ายกว่านั้น  งานก็ไม่ทำ มานั่ง ๆ นอน ๆ เกะกะ
เงินก็จะเอา งานก็ไม่เดิน เนื้อดินก็ไม่ขุดขึ้นมา
เป็นปัญหาปวดหัวปวดตับของคนคุมงาน
กับการเบิกจ่ายเงินตามงบประมาณโครงการ

บางคนก็บอกไปตัดยาง ทำสวนได้รายได้ดีกว่า
บางคนก็บอกค่าแรงไม่พอค่ายากันแดด
ยา Whitening   พอกตัวให้ขาวพอกหน้าให้ขาว
หรือขาวแต่หน้า แขนขาดำไม่เป็นไร

ทำให้หลายแห่งต้องไปจ้างรถแบคโฮว์ หรือแมคโคร รถไถ รถตัก
มาทำการขุดดินเพื่อทำสระน้ำแทนจ้างคนงาน
แล้วล่าลายมือชื่อชาวบ้านให้ช่วยวาดรูป(ลงชื่อ)
พร้อมแนบบัตรประชาชนเพื่อรับเงินตามงวดงาน
โดยงานไม่ต้องทำงานแต่รับเงินไป
แต่การจ่ายเงินก็ต้องลดหลั่นกันลงไป
หรือเผลอ ๆ มีการวาดรูปฟรี
เงินก็ไม่ได้สักบาท  ไม่รู้ว่าใครจัดการแทน

รถที่มาทำงานก็เหมือนปรัชญารถสิบล้อ
ล้อต้องหมุน เงินจึงมา
หรือรถยนต์ต้องวิ่งจึงจะได้เงิน




ครั้นถึงวันพราก(ดิน)
รถลงมาจากยอดเขา(รถบรรทุก)
ล้อมดินโดยกระหยิ่ม
จะอิ่มดินบริเวณนี้

" เฮ้ย อย่าขุด ดินจะเสีย ฮาไม่มีที่ทำกิน

เล่นเหยียบดินซะแน่น ไถพรวนลำบาก

ดินฮายิ่งมีน้อย อย่าขุด ๆ  "

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการสอบถามความสมัตรใจ
หรือทำประชาคมหมู่บ้านกันเรียบร้อยแล้ว
แต่ก่อนหน้ารถไถ รถตักดินจะมาถึงอีกไม่กี่วัน
ทั้งเมีย ทั้งลูก ทั้งญาติพี่น้อง ทั้งพ่อแม่
แล้วแต่ว่าใครยังมีเหลือหรือมีมากมีน้อย
ต่างช่วยกันยอนจนเสียขวัญ/เสียความรู้สึก
(ยอน ภาษาใต้คือ การยุแยงตะแคงรั่ว)

รถไถรถตักเลยต้องย้ายไปอีกที่หนึ่ง
วนเวียนแบบเดิม ๆ ไปหาที่ขุดซักแห่ง
ถ้าที่สาธารณะก็พอทำเนา ขุดได้เลย
แต่ถ้าจะกวาดดินไปถมที่ส่วนบุคคล/ส่วนตัว
บางคนก็ยอม บางคนก็ไม่ยอม
ปวดหัวกันไปหมดเรื่องจิ๊บ ๆ จ๊อย ๆ แบบนี้

" ทำไมต้องลงที่ฮา เดี๋ยวคนอื่นมาพลอยน้ำสระฮา
ที่ดินฮาหายเป็นไร่ ๆ  พวกคิงไม่ช่วยเหลือเลยหรือ  "

ครั้นพอจะไปขุดดินที่ดินนายทุน/รายใหญ่
รถจะได้ไถได้ตักดินขุดให้หนำใจ
ได้เนื้อดินเนื้องานตามต้องการ

" อ้ายพวกเลว  หากินกับคนจน
ทำประโยชน์ให้กับพวกนายทุน
รับรองขุดเสร็จ  ฮาไม่ได้ใช้แน่นอน
หรือพวกคิงห้ามฮาใช้น้ำแน่ ๆ เลย "

รถไถ รถตัก ก็วนไปเวียนมา
หลายสิบหลายร้อยแห่ง
ได้สระนับไม่เกินหลักสิบแห่ง

ในทางปฏิบัติยิ่งระยะทางยิ่งห่าง
ต้นทุนแฝงและค่าใช้จ่ายยิ่งมาก
ถ้าคิดหลักทางเศรษฐศาสตร์และการลงทุน
แม้ว่าจะเน้นใช้แรงงานในชนบท
แต่ก็มีปัญหาเรื่องแรงงานกับเนื้องานที่กำหนด

เรื่องนี้เลยกลายเป็นวาระแห่งชาติ
งบประมาณลงไปแล้วทำไมไม่ลงมือทำ
จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร
มีงบประมาณมีเงินไม่ใช้
จะไม่เกิด multiply ให้รีบเบิกเงินด่วน
มิฉะนั้นจะยึดเงินคืนหลวง
นำเงินคืนกลับกองคลัง
รอไว้ใช้ในเรื่องอื่นต่อไป

กรมการเมือง กรมน้ำ เลยสุมหัวกัน
ได้วิธีคิดแบบศรีธนญชัยในสยามประเทศ

" จำเราไปเราไปลอกคู คลอง แม่น้ำ
แล้วอ้างค่อยทำฝายเก็บกักน้ำ
จะได้เงินเร็วกว่า ได้เนื้องานมากกว่า
ปัญหากระทบกระทั่งชาวบ้านก็น้อยกว่า
ตกลง งั้นโอเคตามนี้เลย

เงินก็งอก งานก็งอก เนื้องานก็เกิด
เผลอ ๆ ได้เงินทอน(ส่วนแบ่ง) กันบาน
ทำตามนโยบายรัฐบาลได้
ใช้งบหมดไป บรรลุตามเป้าหมาย
แต่สัมฤทธิผล มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
คำตอบอยู่ในสายลม Blowing in the wind

เหมือนกับ พอ ๆ กับ
การจัดการประชุม จัดอบรม จัดสัมมนา
คิดไม่ออกจะถลุงงบให้หมดเร็ว ๆ
ก็จัดประชุม อบรม สัมมนา เบิกไปเลย
ค่าวิทยากร ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ฯลฯ
จะจ่ายวันเป็นแสนวันเป็นล้านสบายมาก
จนมีบางคนหรือหลายคนในหน่วยงาน
มีหน้าที่หลัก คือ เดินทางไปอบรม ประชุม สัมมนา

ประเภทใช้งบให้หมดไป
ประชุม อบรม สัมมนา แล้วเสร็จ ก็ จบไป
ไม่มีการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์
หรือว่ามีประสิทธิภาพประสิทธิผลตามหลังหรือไม่

เรื่องนี้เกิดขึ้นในศยมกุก
ไม่เกี่ยวกับสยามประเทศ
อย่าเข้าใจผิดแต่อย่างใด



มีคำถามว่า

" ทำไมจึงไม่สร้างอุโมงค์ ท่อส่งน้ำใต้ดินแบบยิว
น้ำไม่ระเหยง่าย ๆ ไม่กระทบที่ดินชาวบ้านมาก
และเนื้องานกับการใช้งานระยะยาวดีกว่าด้วย  "

คำตอบ รู กับ ที่ราบ

วิธีการคำนวณ เนื้อดินที่ขุด ปูนที่ก่อ ท่อที่ใส่ ดินที่ถม  
ถ้าเป็นรู จะวัดจะตรวจง่ายมาก
คำนวณได้ชัดเจนเพราะเห็น ๆ กันอยู่
แต่ถ้าทำบนที่ราบจะวัดจะตรวจยาก
เพราะมีสภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆ
ต้องถมต้องขุดกันมากมายก่ายกอง

สรุปว่าอย่างไหนจะโกง/ลักไก่ ง่ายกว่ากันมาก




ขยายความ multiply ของเคนส์



คือ แนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษ Kent
ที่เจ้าตัวคิดจนหัวแทบระเบิด จึงได้แนวคิดแบบนี้
แต่เดิม  เวลาเศรษฐกิจของชาติปัญหา
รัฐบาลทุกชาติทุกภาษา
จะประหยัด รัดเข็มขัด ใช้จ่ายน้อยลง
คนจนก็ยิ่งจน คนรวยก็ลำบาก แต่ยากน้อยกว่าคนจน
เพราะเงินทองหายาก  คนไม่ค่อยมีเงิน

เคนส์  เลยคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยวิธีแบบใหม่
ให้รัฐยอมลงทุน ยอมขาดทุน
สร้าง Mega project จะเกิดการจ้างงาน
การจ้างงานทำให้เศรษฐกิจเดินสะพัด
คนมีงานทำ มีการใช้จ่าย เงินทองหมุนเวียน
รัฐก็จะมีรายได้ตามมา มีการจ่ายเงินตามมา

เพราะไม่มีรัฐบาลไหนจะขาดทุน
รายได้จากการจัดเก็บภาษีไม่พอ
เงินคงคลังไม่พอก็กู้จากธนาคารรัฐ
หรือออกพันธบัตรรัฐบาล
เพื่อหาเงินกู้จากคนมีเงิน
โดยมีดอกเบี้ยเป็นตัวล่อใจ
อาจจะสูงหรือต่ำกว่าเงินฝากธนาคาร

เคนส์ไม่เน้นการปล่อยกู้จากรัฐบาล
เน้นแต่การที่รัฐบาลหางาน/สร้างงานให้คนทำ
ยิ่งงานที่คนทำกันมาก
เงินยิ่งกระจาย/สะพัดกันมาก

ตัวอย่างเช่น

คนมีงาน จะมีเงิน ไปซื้อข้าวจากพ่อค้า
พ่อค้าขายข้าวหมด ก็ไปสั่งซื้อจากโรงสี
โรงสีสีข้าวเสร็จใกล้หมดโกดัง
ก็สั่งซื้อข้าวจากชาวนา
ชาวนาจะขนข้าวจำนวนมาก
ก็ต้องจ้างรถไถ/คนงานมาช่วยขนข้าว
กลายเป็นห่วงโซ่อุปทาน

หรืออีกตัวอย่าง จำที่มาไม่ได้

วันหนึ่งที่หมู่บ้านทุ่งหมาแหงน
มีคนแปลกหน้าจากเมืองหลวง
มาที่โรงแรมในหมู่บ้านแห่งนี้
บอกเจ้านายจะมาพักผ่อนแถวนี้
ขอดูสภาพโรงแรมกับห้องพักก่อน
จะวางเงินมัดจำไว้ 1,000 บาทก่อน
เพื่อขอขึ้นไปดูกับสำรวจสภาพห้อง
ถ้าไม่พอใจจะขอเงินมัดจำคืน
เจ้าของโรงแรมก็บอกตกลงได้เลย

ระหว่างที่ชายคนนั้นเดินขึ้นไปสำรวจดูห้องพัก
เจ้าของโรงแรมก็รีบวิ่งเอาเงิน 1,000 บาท
ไปจ่ายเงินค่าเนื้อหมูกับเจ้าของเขียงหมู
เป็นการจ่ายหนี้เงินค่าเนื้อหมูที่ติดค้างมา 1 สัปดาห์แล้ว

เจ้าของเขียงหมูได้รับเงิน 1,000 บาทแล้ว
ก็รีบนำเงินไปจ่ายคนเลี้ยงหมู
เพราะเชื่อเงินค่าหมูมา 1 สัปดาห์แล้วเหมือนกัน

คนเลี้ยงหมูได้รับเงิน 1,000 บาทแล้ว
ก็รีบวิ่งไปจ่ายที่ร้านอาหารสัตว์
เพื่อจ่ายเงินที่เชื่ออาหารสัตว์มาเลี้ยงหมูในเล้า

เจ้าของร้านอาหารสัตว์ได้รับเงิน 1,000 บาท
ก็รีบวิ่งเอาไปให้กิ๊กเป็นค่าปลอบใจ
หลังจากเธอร้องไห้หนักมากเมื่อคืนนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

กิ๊กรับเงิน 1,000 บาทจากเจ้าของร้านอาหารสัตว์
ก็รีบวิ่งเอาเงินไปจ่ายเจ้าของโรงแรม
เป็นค่าอาหารกับที่พักที่ยังติดค้างหนี้กันอยู่

เจ้าของโรงแรมรับเงิน 1,000 บาทจากกิ๊กสาวแล้ว
พอดีชายแปลกหน้าเดินลงมา
แล้วบอกว่า สงสัยเจ้านายจะไม่ชอบ
แล้วขอรับเงิน 1,000 บาทคืนไป

เจ้าของโรงแรมก็คืนเงินให้ไป
แต่ทุกคนในหมู่บ้านต่างหมดหนี้หมดสินกันไป

จากทฤษฏีดังกล่าวของ เคนส์

รัฐบาลสหรัฐเลยแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ
ในยุคก่อนด้วยการสร้างเขื่อนฮูเวอร์
ระบบขนส่ง/ถนนหนทางทั่วประเทศ

ไม่ต่างกับจีนในยุคก่อนหน้านี้
ที่เร่งสร้างเขื่อนกักแม่น้ำ  อาคารต่าง ๆ
สนามกีฟา หอประชุม บ้านพักนักกีฬา
เพื่อรองรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิค

แต่ตอนนี้  สหรัฐนิยมก่อสงคราม
จะเกิดการจ้างงานและใช้ทรัพยากรมหาศาล

เยอรมันนีหลังแพ้สงครามโลก
ก็สร้างทางด่วนรถยนต์ทั่วประเทศ
เงินทองเลยสะพัด แก้ปัญหาความยากจน
และคนตกงานจำนวนมหาศาลได้

มาเลย์ แต่ก่อนด้อยพัฒนากว่าไทยมาก
แต่พอสร้างถนนจากเหนือจดใต้
พอเสร็จก็สร้างตึกแฝด ปิโตรนัส
แล้วก็เมืองหลวงแห่งใหม่ ปุตราจาย่า
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการจ้างงาน
และทำให้เศรษฐกิจประเทศเดิน เป็นต้น




สรุป

ของกินไม่ได้แต่เท่ห์
ถ้าใช้เป็นทำเป็น  จะเกิดการจ้างงาน
ทำให้คนไม่มีเวลาคิดกบฏ
การสร้างสิ่งปลูกสร้างมหึมาต่าง ๆ
เช่น กำแพงเมืองจีน ปิรามิด พระราชวังแวร์ซายด์ ฯลฯ

มีเรื่องแปลกแต่จริง
ทั้ง Kent กับ Newton ทั้งสองคนนี้
แม้ว่าจะเก่งคณิตศาสตร์มาก แต่เจ๊งกับหุ้น
จนเป็นที่กล่าวขานและเล่าลือกันกัน
ภาษานักเลงหุ้นเรียกว่า พวกขายหมู
หรือพวกหน้าโง่ ตาลีตตาเหลือกรีบขายหุ้นในราคาถูก
หรือภาษานักเลงพระแถวบ้านเรียกว่า ราคาตกควาย
คือคนขายตกลงกลายเป็นควายซะแล้ว

ส่วนรายละเอียดแนวคิดของเคนส์ ไปหาอ่านได้จาก
เล่าเรื่องเศรษฐกิจภาพรวม เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์

วิธีมองเศรษฐกิจภาพรวมของชาติแบบเคนส์
ประชาชาติทั้งหลายยังอาศัยวิธีคิดแบบเคนส์
เป็นหลักในการวางนโยบายเศรษฐกิจ
สรุป The General Theory
หนังสือที่เขียนโดย เซอร์ จอห์น เมนาร์ด เคนส์
ภาคปฏิบัติในประเทศไทย ชีวิตของเคนส์จ้าวทฤษฎี

เขียนโดย ปรีชา ทิวะหุต



#จบนิทาน เรื่องราวทั้งหมดนี้มโนเอา

ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน
เรื่องนี้เป็นนิทาน  ไม่มีความจริงแต่อย่างใด


นิทานเก่าของผู้เขียน

http://pantip.com/topic/34315093  หมอจากเทพกลายเป็นอสูร

http://pantip.com/topic/30293610  ปุ๋ยอินทรีย์นรก

http://pantip.com/topic/30284621  กากน้ำตาล
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่