บริษัทเล็กให้เงินดีแต่ดูไม่มีอนาคต กับ บริษัทใหญ่มีระบบแม้จะได้เงินน้อยลง

ปัญหาโลกแตกสำหรับเด็กจบใหม่กันถ้วนหน้าก็ว่าได้

ปัจจุบันเราทำงานกับบริษัท SME เล็กมากกกก เจ้าของเป็นชาวอิตาเลียน
ที่นี่เป็นที่แรกหลังจากที่เรียนจบมาได้ 4 เดือนค่ะ  (ก่อนหน้านี้ก็เที่ยวเล่นก่อน) เป็นบริษัทแนวแปรรูปผลิตภัณฑ์และส่งออกตลาดยุโรปและอเมริกา โดยสินค้าเป็นสินค้าที่ใหม่ ชาวตะวันตกก็ยังไม่ค่อยรู้จักเขาเลยจะกรุยทางตลาดก่อน ออกแนว niche market นะคะ มีจำนวนคนทำงานหลักๆแค่ เจ้าของกับเรา แค่สองคน ที่เหลืออีก 5-7 คนเป็นชาวต่างชาติหมดเช่นกัน

โดยตอนสัมภาษณ์ เขาก็ให้ความสนใจเรามาก ส่งอีเมล์ไปตอนเช้าเขาเรียกพบตอนบ่ายเลย
เบสเงินเดือนเราเรียกไป [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ถือว่าไม่มากไม่น้อยสำหรับเด็กจบใหม่ ยอมเรียกน้อยกว่า เพราะที่เก่าที่เราทำตอนเรียนอยู่เราได้มากกว่านี้ค่ะ แต่ทางเจ้าของเขามีเหตุต้องย้ายกลับอังกฤษ เลยปิดตัวลงไป

เนื้องานจัดว่าไม่เคร่งเครียดอะไร เขาจะมอบหมายให้เราทำหลายอย่างตั้งแต่ หาแหล่งวัตถุดิบ หาโรงงานที่เชื่อถือได้ หาแล็ปทำQC หาโรงพิมพ์ทำแพ็คเกจ ติดต่อสำนักงานทนายความเพื่อจัดตั้งบริษัท ขออย.ไทย ขอมาตรฐานสากล หาพื้นที่สต๊อกสินค้า shipping ฯลฯ เรียกได้ว่า เรามาช่วยกันเริ่มตั้งแต่นับจาก 0 เลยก็ว่าได้ ตอนนี้ก็จัดๆว่า 50% ที่ได้ร่วมก่อตั้งกันมา

เราจบอักษรศาสตร์และไม่มีประสบการณ์ด้านการตลาดและ digital marketing เราเลยคิดว่าจะเรียนรู้งานจากเจ้าของที่มีบริษัทเอเจนซี่ที่มิลานมากว่า 20 ปี (แล้วเขาก็ขายทิ้งช่วงพิษเศรษฐกิจยุโรป แล้วเอาตังค์มาเที่ยวเอเชีย จนปักหลักในไทยเปิดบริษัท อายุกลางคนแล้วนะคะ ไม่มีภรรยาไทย จึงไม่ต้องห่วงเลยว่าเขาจะเปิดบริษัทบังหน้าเพื่อขอ work permit หรือได้อยู่ไทยยาวๆ) แต่เรื่องการผลิต ส่งออกไรงี้ ก็ต่างคนต่างไม่รู้เรื่องพอกันนี่ล่ะค่ะ 555

ตอนนี้ทำงานมาได้สองเดือนค่ะ แต่ติดที่ว่าเขาปลื้มเรามากกกกก จนขู่ว่า "The worst thing you can do is leave me alone. I will not forgive you if one day you resign" คือ เขากลัวเราลาออกมากกกกกก มากจนที่ว่าสองสัปดาห์แรกที่เราเข้าไปทำ ซึ่งมักจะยุ่งเกี่ยวกับการก่อตั้งบริษัท เขาก็ขอให้เราเป็น director หรือกรรมการบริษัท โดยมีเปอร์เซนต์ถือหุ้นมากถึง 40% และก็ยังบอกกับเราว่าให้เราเป็นเจ้าของร่วมเป็น co-founder รวมทั้งให้ค่าตำแหน่งกรรมการเพิ่มอีก 5,000 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ซึ่งเงินที่ได้รวมๆกันมา สำหรับหลายๆคนในพันทิพนี้ก็อาจมองว่าไม่มาก แต่สำหรับคนที่ทำงานได้แค่เดือนเดียว ไม่เรียนหมอ วิศวะ ฯลฯ ก็พอตัวอยู่นะ เราเลยกลัวว่าถ้าเราออก เราจะไม่ได้เท่านี้

อ้อ ประเด็นชู้สาว หรือเขาชอบใจในตัวเราถึงขนาดมอบตำแหน่งนี้ให้ นี่ตัดไปได้เลย อายุห่างกันตั้ง 30 กว่าปี เรานี่ไม่ชายตาแลเลย และเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเรามีแฟน เราก็พาแฟนไปช่วยเขาทำออฟฟิศเล็กๆน้อยๆด้วยบ่อยๆ

สิ่งที่เราเบื่อๆคือ สเกลบริษัทมันเล็กมากกกกนี่ล่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็น director แต่เราก็รู้สึกว่าเป็นเพียงแค่ในนาม เรารู้นะว่าเราก็เป็น director เชิงนอมินี เพราะเราเป็นคนไทยคนเดียวในทีม (แต่ว่าในทางกฎหมาย เราอำนาจสูงสุด เพราะเป็นคนไทยคนเดียว จะเบิกจะเซ็นอะไรต้องผ่านเราหมด ถึงแม้เจ้าของจะเป็นเจ้าของเงิน แต่จะทำอะไร เราต้องเซ็นรับรองก่อน) และในทางปฏิบัติ เราจะมีลูกน้องในทีมเป็นฝรั่งทั้งหมด เราก็ต้องสอดส่องดูแลเรื่อง visa เรื่อง work permit ให้คนในทีมด้วย แต่เราก็รู้สึกว่าเนื้องานที่ทำเหมือนเราก็ไม่ต่างจากเป็น assistant หรือผู้ช่วยงาน เราเลยรู้สึกเหมือนว่า เราเหมือนเป็นแค่หัวโขนอ่ะ และก็โตอยู่ในกะลา เงินเดือนเดือนล่าสุดเพิ่มมาเป็น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ และดูท่าทาง product ที่จะขายนั้นก็คงไม่ได้ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำหรือขายได้มากสักเท่าไหร่

ถ้าสิ่งที่เรากลัวคือ มันเริ่มไปไม่รอด หรือเขาอาจจะแค่ไม่มีปัญญาจ่ายเงินเดือนเรา แล้วเขาก็หายไปง่ายๆ บินกลับอิตาลีชิลล์ๆ ทิ้งเราไว้กลางทาง คือเราก็เข็ดกับที่เราเคยทำกับกิจการคนอังกฤษอ่าเนาะ นึกจะกลับก็กลับ แต่รายนี้ดูเหมือนเขาตั้งใจปักหลักอยู่ไทยยาว มีสัญญาเช่าบ้าน ฯลฯ

ตอนนี้เลยคิดว่าอาจจะอยู่กับเขาไปก่อนสักครึ่งปี เห็นแก่เขาเนาะ เขากลัวเราออกมากจริงๆ
เพราะเข้าใจว่า ฝรั่งในไทยจะรับสมัครงาน จะหาคนเอย ไหนจะเลือกคนที่ใช่อีก ยากจริงๆ เพราะเขาเป็นต่างชาติหน้าใหม่
*
*
*
*
ประเด็นต่อมา คือเราเล็งๆว่า เราอยากได้บริษัทที่งานเป็นระบบ สเกลใหญ่โต มีชื่อ
เพราะเราอาจจะไปได้ไกลกว่านี้ สมควรได้ไปบริษัทที่ใหญ่มีหน้ามีตากว่า แต่แน่นอน .... HR ก็อาจจะตั้งแง่ว่า คุณเคยเป็น director นี่ ฐานเงินเดือนก็เกือบ 30K แล้วทำไมออกมาล่ะ แต่ก็นะ เป็น director ของบริษัทโนเนมบอกไป HR ก็ไม่รู้จัก ​HR ก็ไม่แคร์  .... ซึ่งจุดนี้เราก็คิดไว้แล้วว่า ถ้าเราสมัครที่ใหม่ เงื่อนไขว่าสมัครงานใหม่ภายในอายุ 23 ปี (ตอนนี้เราอายุ 22 ค่ะ) เราคงต้องยอมเรียกเงินเดือนน้อยกว่าที่นี่ จะได้เปิดโอกาสให้เขารับง่ายขึ้น จะบอก HR ว่า "เบื่อค่ะ อยากทำบริษัทมีชื่อใหญ่โต" มันก็ดูกวนตรีนอ่ะเนอะ

บริษัทใหญ่ ยังพอได้คอนเน็คชั่น เลิกงานมีสังคมที่ทำงานและนอกงานก็ยังมีคนพอรู้จัก เราว่าเรื่อง connection ก็สำคัญมากนะ เพื่ออีก 10 กว่าปีข้างหน้า เราออกมาทำอะไรเป็นของตัวเองก็ยังมีฐานคนรู้จักไว้อยู่ แต่กับที่นี่ที่เล็กๆ เราทำงานอยู่กับเจ้าของกันแค่สองคนหลักๆ มีฝรั่งในทีมเข้าออกบ้างแต่ไม่ทั้งวัน เลิกงานก็กลับบ้าน เราดูขาดสังคมมากเลยอ่ะ เซ็ง

นอกจากนี่เรื่องการเติบโตในระยะยาวเราก็มองไว้ เช่น ขอสตาร์ท 25k แล้วก็ปรับให้เป็น 27k 28k 30k 35k พร้อมกับตำแหน่งงานที่สูงขึ้น อีกทั้งองค์กรใหญ่มีสวัสดิการต่างๆเป็นระบบ แต่กับที่นี่เรามองไว้ว่า เราคงได้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ไปเกือบตลอดปีตลอดชาติ ไม่ค่อยมีกระเตื้องขึ้น เว้นแต่ว่าเราจะได้เปอร์เซนต์จาก product ที่ส่งออกนะ (ซึ่งเรามองว่าคงขายออกยากอ่ะค่ะ -*-)

ก็นั่นแหละ หากจะออกมาทำงานที่ใหญ่ก็กลัวอีกว่าสภาพแวดล้อมจะมีการเมืองภายในไหม เพราะเรามีเพื่อนหลายคนไปองค์กรต่างชาติในไทย สตาร์ทอาจจะน้อยกว่าหรือพอๆกับเราหน่อย แต่เพื่อนก็คอนเฟิร์มมาว่า มันก็เป็นแค่บริษัทต่างชาติในนาม ภายในองค์กรก็พูดกันแต่ภาษาไทย เจอแต่คนไทย สภาพแวดล้อมแบบไทยๆ การเมืองไทยๆ ระบบความคิดแบบคนไทย มันไม่น่าอยู่เลย และหลายๆคนพอเข้าไป ก็ออกมาเพราะรับสภาพความกดดันและแก่งแย่งชิงดีใส่ร้ายป้ายสีกันในทีมไม่ไหว เลยออกมาทำที่เล็ก เงินเดือนน้อยลงแทน

แต่ที่ที่เราอยู่มันแวดล้อมแต่ฝรั่ง พูดอังกฤษกันตลอด มีพูดไทยแค่กับคนอเมริกันที่พูดไทยได้เท่านั้น ภาษาอังกฤษก็หลากหลายสำเนียง ระบบความคิดแบบตะวันตกจ๋า สไตล์การทำงานก็ตะวันตก จนเราซึมซับด้านนี้มา ทำให้เราบอกกับตัวเองเลยว่า "จะไม่ทำงานในองค์กรแบบไทยๆ หรือเอเชียๆ" บุคลิกและระบบแนวคิดมันไม่ให้แน่นอนค่ะ องค์กรที่คนไทยเยอะๆ เรากลัวปรับตัวได้ยากค่ะ  ไหนจะเรื่องเวลาทำงานอีก การแต่งกายอีก เรื่องวัตถุนิยมในหมู่พนักงานอีก คือเราก็เคยทำองค์กรการเงินใหญ่นะตอนปิดเทอม เลยสังเกตผู้คนในนั้น เราก็ไม่ทำตามอ่ะเรื่องที่ต้องคอยซื้อวัตถุใหม่ๆ  เราได้ฟังมาจากหลายๆคน ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเดียวกันว่า เดือนๆนึง เงินเดือนเท่านี้แต่หมดค่าเสื้อผ้า ค่ากินไปเยอะมาก ครึ่งนึงของเงินเดือน ซึ่งเรา็ตกใจว่า ทำไมเงินเดือนเขาน้อยกว่าแต่รายจ่ายเยอะกว่าเรามากอ่ะ มันก็เรื่องของเขาอ่าเนอะ ตังค์เขาเราไม่ยุ่ง แต่ปัจจุบันเราแต่งตัวง่ายๆ แบบอยู่บ้าน หิวก็มีครัวให้ทำอาหารกินกัน มีแมวที่ออฟฟิศรับเลี้ยง 3 ตัว เข้างาน flexible มาก (ตะวันตกถือว่า performance สำคัญกว่าตอกบัตรเข้าทำงาน ขอแค่ว่าวันนี้คุณทำ quest เสร็จ ไม่โอ้เอ้เป็นพอ) เช่นเข้า 10 โมง เรากลับบ้านสี่โมงเย็น เพื่อเตรียมตัวไปเรียนคอร์สเย็นต่อ เขาก็ให้ มีอะไรไม่พอใจ จะบ่นเรื่องไรก็ระบายกันได้ตรงๆ

แน่นอนล่ะว่า ได้อย่างก็เสียอย่าง
.
.
.
.
เลยจะสอบถามว่า หากมองระยะยาวเลือกที่ไหนดีคะ
องค์กรใหญ่มีระบบมีหน้ามีตา กับ ​SME เล็กๆสไตล์งานแบบตะวันตก
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
(อ่านไม่หมดนะคะ ยาวมาก)

เราก็เป็นคนนึงที่เลือกทำงานที่ไม่ดังแต่ดูมีอนาคตค่ะ (แต่ต้องเลือกดีๆ ใช้หลักการเลือกซื้อหุ้นมาพิจารณาเลย)  เหตุผลคือ เรามีโอกาสสูงที่จะเติบโตเป็นใหญ่ที่นี่ต่อไปได้ในอนาคต  มีโอกาสได้แสดงฝีมืออะไรหลายอย่างมากกว่าการทำงานในองค์กรที่เป๊ะและดังอยู่แล้วซึ่งเราคงได้ทำอะไรน้อยมาก

ตอนนี้ทำมาได้5เดือนแล้ว ได้ไปเรียนคอร์สเพิ่มพูนทักษะหลายคอร์ส+ ที่ทำงานเพิ่งปรับเงินเดือนเพิ่มอีก20%+ และมีแผนส่งเรียนเฉพาะทางต่อ ตปท ปีหน้า + กำลังจะเปิดสาขา2 และวางตัวเราเป็นหัวหน้าคุมสาขา1ที่นี่ต่อในอนาคต  ซึ่งถ้าเราไปอยู่ที่อื่น ไม่มีทางจะโตได้เร็วขนาดนี้ หรืออาจจะไม่มีใครเลือกเราเลยก็ได้

แต่ของอย่างนี้ก็แล้วแต่เราจะเลือกค่ะ เลือกถูกก็โชคดีไป ขอให้คุณโชคดีกับการเลือกของตัวเองนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่