เขียนถึง THE FACE SEASON 2 - GAME ON BITCH!
สารภาพกันตามตรงแต่โดยดีว่าตอนสมัย THE FACE SEASON แรกออนแอร์ สมัยหน้า FEED FACEBOOK เราก็ได้ตั้งแต่ข้อสงสัยว่า “หงส์ เริ่ดกูชอบ” // “ทีมพลอยกากจัง” // คุณแม่ลูกเกด อะไรต่อมิอะไรเต็มหน้า FEED FACEBOOK เต็มไปหมดตลอดวันเสาร์ ประกอบกับวันเสาร์ที่เรามักจะออกไปทำงาน ออกกำลังกาย มารู้อีกทีก็ตอนแม่เล่าผลผู้ชนะให้ฟังนั่นแหละ
คืนประกาศผลรางวัลนั่นเองที่เราเริ่มนั่งดู THE FACE เป็นครั้งแรกทาง YOUTUBE ชาร์แนล ผลปรากฏก็คือไม่สามารถหยุดดูได้เลยใช้การดูรวดตั้งแต่เที่ยงคืนของวันดังกล่าวจนกระทั่งเกือบหกโมงเช้าของอีกวัน และแน่นอนวันอาทิตย์กินข้าวเสร็จก็ดำเนินการดูรวดยันจบซีซั่นจากทั้งหมด 13 ตอน
ความสนุกที่ THE FACE มอบให้คือการ “ตอบโจทย์” วัฒนธรรมการเสพย์ดราม่าของผู้คนได้อย่างชัดเจน กับโจทย์รายการที่มีจุดขายคือ “เมนเทอร์” ของรายการที่จะเป็นผู้นำทีมและโค้ชที่จะฝึกฝนลูกทีมทั้ง 5 มองจุดอ่อนและจุดแข็งของทีม หาช่องโหว่ในการเอาชนะทีมอื่น
จากซีซั่นแรกเราจะได้เห็นความแข็งแกร่งของทีมลูกเกดผู้กุมชัยชนะของซีซั่น แต่ในขณะเดียวกันถ้าพิจารณาจากจำนวนลูกทีมที่เหลือรอดมากที่สุดกลับกลายเป็นทีมหญิงที่เหลือถึง 3 คนในสัปดาห์ก่อนตัดสินรอบไฟนอล เนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้เมนเทอร์ลูกเกดไม่สามารถตัดสินใจคัดลูกทีมอย่างเพนนีหรือมิลาออกได้สักคน (ซึ่งจะว่าไปแล้วตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดพลิกผันหรือจุดหักมุมมากจุดหนึ่งของรายการ ไม่ว่าจะเป็นการตระเตรียมล่วงหน้าหรือเกิดขึ้นจริงมันก็ทำให้รายการ “สนุก” และกระตุ้นความกระหายใคร่รู้มากยิ่งขึ้น)
จุดหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ “รายการเรียลลิตี้” เกือบทุกประเภทที่ไม่ได้เป็นรายการแบบ “ไลฟ์แคมเมร่า” แบบรายการ AF (ACADEMY FANTASIA) ที่ใช้กล้องวงจรปิดถ่ายทำสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆโดยไม่ผ่านการตัดต่อ หรือการ “เร้าอารมณ์” ผู้ชมด้วยการใช้ปัจจัยอื่นๆช่วย เช่น มุมกล้อง ดนตรีประกอบที่ถูกใส่เข้ามาภายหลัง หรือแม้กระทั่งการตัดต่อรายการซึ่งส่งผลอย่างมากกับรูปแบบรายการและอารมณ์ของผู้ชม
THE FACE อาจจะเป็นรายการเรียลลิตี้ประกวดหานางแบบก็จริง แต่รายการก็ถูก “ตีกรอบ” ให้ผู้เล่นเดินไปตามเกมของ “เมนเทอร์” ที่มีการ “เล่นเกม” ประมาณหนึ่งหรืออาจจะถูกปรุงแต่งอะไรบางอย่างก่อนที่ทั้งสามคนอย่าง คริส ลูกเกดหรือบี จะออกมาพูดหรือตัดสินอะไรสักอย่าง มันมีลักษณะของการกำกับอยู่ในถ้วงที อาทิเช่น เวลาเมนเทอร์จะเปิดโมเดลลิ่งบุคส์เพื่อตัดสินเอาใครสักคนออกจากรายการ มุมกล้องก็จะถ่ายอิริยาบถของเมนเทอร์ในการเปิดแฟ้ม ถ่ายสีหน้า แววตา เพื่อให้เห็นความรู้สึกของเมนเทอร์คนนั้นๆ แม้ว่ามันจะเป็นการพิจารณาตัดสินคัดออกจริงๆ แต่การตัดสินดังกล่าวก็ถูกถ่ายทอดให้ผู้ชมเห็นถึงสิ่งที่ผู้กำกับรายการต้องการจะชักจูงผู้ชมให้รู้สึกตามไปกับสิ่งที่ตัวผู้กำกับรู้สึก ดังนั้น The Face จึงเป็นรายการที่ “ไม่ใช่เรียลลิตี้” 100%

จากจุดดังกล่าวนี่แหละที่ “ทีมงาน” เข้าใจว่าผู้ชมอยากเห็นอะไร และ สนุกกับอะไร The Face Season ที่ 2 จึงประโคมซัดสิ่งที่โดนใจและตรงใจผู้ชม และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ช่วยให้รายการกลายเป็น Talk of The Town หรือการเกิดเป็นกระแสปากต่อปาก หรือกระทั่งกลายเป็นมีม meme (อาทิรูปพี่เกิดสั่งนายกประยุทธที่กำลังเอางูพาดคอ)

ทุกอย่างที่กล่าวมายิ่งทวีความสมจริงสมจังเข้าไปอีกเมื่อบรรดาเมนเทอร์ ก็ใช้โซเชียลมีเดียของตัวเองโดยเฉพาะ Instagram อัพเดทสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการ (ทั้งที่ไม่ใช่รายการสด เทปถูกบันทึกเอาไว้ก่อน) แต่บรรดาเมนเทอร์ทั้งคริส ลูกเกด หรือบี เพื่อทำให้รายการถูกอัดเอาไว้ดู “เรียลไทม์” ยิ่งขึ้น ดังนั้นมันยิ่งสอดคล้องกลับแนวคิดที่ว่า The Face นั้นมีการ “ตระเตรียม” วิธีการนำเสนอรูปแบบรายการเอาไว้แล้ว และยิ่งกลายเป็นประเด็น “ดราม่า” ได้อีกเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการไม่ถูกใจผู้ชมบางกลุ่ม หรือแม้กระทั่งคนที่ “อิน” กับรายการมากจนเกินไป แบบกรณีที่เกิดขึ้นกับสัปดาห์ที่ 3 เมื่อเมนเทอร์บีตัดสินใจเอา “น้ำหวาน” ออกแทนที่จะเป็น “ตีญ่า” ที่เข้าห้องคัดออกเป็นครั้งที่ 2 และแน่นอนว่าผลการตัดสินครั้งนี้สร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจให้กับทีมคริสชนิดที่ “อินเนอร์” ของนางถึงกับร้องไห้ออกมา

บางส่วนของรายการแน่นอนว่ามันเป็น “อินเนอร์” ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาที่ถ่ายทำ กล้องที่บันทึกโมเมนต์ในช่วงเวลาดังกล่าวย่อมได้ภาพที่เป็นความรู้สึกจริง ณ ขณะนั้น ทว่าช่วงเวลาในการนำภาพเหล่านั้นมา “ตัดต่อ” ในภาพหลังย่อมสร้างความรู้สึกตามวิธีการ “กำกับ” รายการให้ออกมาในแบบที่จะสร้างความบันเทิง และต้องย้ำตัวเองเสมอว่ารายการ THE FACE นั้นไม่ใช่ “เรียลลิตี้ 100%” แต่มันมีการชี้นำอารมณ์คนดูและสร้าง “อารมณ์ร่วม” ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล
ยิ่งอะไรที่เป็นประเด็นแรง – สุ่มเสี่ยงต่อการดราม่า มันยังกลายเป็นกระแสสังคมแบบปากต่อปากได้ไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ม แล้วยิ่งสัปดาห์ที่ 3 กระแสยังรุนแรงขนาดนี้ อีกกว่า 10 วีคที่เหลือ ไม่ต้องพูดถึงเลย โฆษณาคงเข้ารายการ THE FACE ซีซั่นนี้ชนิดที่คุณเต้คงยิ้มกันแก้มปริ
#ทีมคุณเต้ไหมล่ะคะ
#ดราม่าหมากต่อไปน่าจะเป็นเมนเทอร์เจนนี่
#แน่ใจเหรอว่านี่คือรายการ “เรียลลิตี้จริงๆ”
#GAMEON
มอญซ่อนผี >>
https://goo.gl/F5rLWe
Scouts Guide to the Zombie Apocalypse >>
https://goo.gl/b0YEJ3
The Intern >>
https://goo.gl/qctFsi
Bridge of Spies >>
https://goo.gl/7iB8i7
THE VISIT >>
https://goo.gl/qaWzBw
อาบัติ >>
https://goo.gl/UfJbDua
เมย์ไหน....ไฟแรงเฟร่อ >>
https://goo.gl/jtKj05
The Martian>>
https://goo.gl/xrgikR
หนังเก่าที่เราคิดถึง
House of Wax >>
https://goo.gl/uJifVE
[CR] เขียนถึง THE FACE SEASON 2 - GAME ON BITCH!
สารภาพกันตามตรงแต่โดยดีว่าตอนสมัย THE FACE SEASON แรกออนแอร์ สมัยหน้า FEED FACEBOOK เราก็ได้ตั้งแต่ข้อสงสัยว่า “หงส์ เริ่ดกูชอบ” // “ทีมพลอยกากจัง” // คุณแม่ลูกเกด อะไรต่อมิอะไรเต็มหน้า FEED FACEBOOK เต็มไปหมดตลอดวันเสาร์ ประกอบกับวันเสาร์ที่เรามักจะออกไปทำงาน ออกกำลังกาย มารู้อีกทีก็ตอนแม่เล่าผลผู้ชนะให้ฟังนั่นแหละ
คืนประกาศผลรางวัลนั่นเองที่เราเริ่มนั่งดู THE FACE เป็นครั้งแรกทาง YOUTUBE ชาร์แนล ผลปรากฏก็คือไม่สามารถหยุดดูได้เลยใช้การดูรวดตั้งแต่เที่ยงคืนของวันดังกล่าวจนกระทั่งเกือบหกโมงเช้าของอีกวัน และแน่นอนวันอาทิตย์กินข้าวเสร็จก็ดำเนินการดูรวดยันจบซีซั่นจากทั้งหมด 13 ตอน
ความสนุกที่ THE FACE มอบให้คือการ “ตอบโจทย์” วัฒนธรรมการเสพย์ดราม่าของผู้คนได้อย่างชัดเจน กับโจทย์รายการที่มีจุดขายคือ “เมนเทอร์” ของรายการที่จะเป็นผู้นำทีมและโค้ชที่จะฝึกฝนลูกทีมทั้ง 5 มองจุดอ่อนและจุดแข็งของทีม หาช่องโหว่ในการเอาชนะทีมอื่น
จากซีซั่นแรกเราจะได้เห็นความแข็งแกร่งของทีมลูกเกดผู้กุมชัยชนะของซีซั่น แต่ในขณะเดียวกันถ้าพิจารณาจากจำนวนลูกทีมที่เหลือรอดมากที่สุดกลับกลายเป็นทีมหญิงที่เหลือถึง 3 คนในสัปดาห์ก่อนตัดสินรอบไฟนอล เนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้เมนเทอร์ลูกเกดไม่สามารถตัดสินใจคัดลูกทีมอย่างเพนนีหรือมิลาออกได้สักคน (ซึ่งจะว่าไปแล้วตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดพลิกผันหรือจุดหักมุมมากจุดหนึ่งของรายการ ไม่ว่าจะเป็นการตระเตรียมล่วงหน้าหรือเกิดขึ้นจริงมันก็ทำให้รายการ “สนุก” และกระตุ้นความกระหายใคร่รู้มากยิ่งขึ้น)
จุดหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ “รายการเรียลลิตี้” เกือบทุกประเภทที่ไม่ได้เป็นรายการแบบ “ไลฟ์แคมเมร่า” แบบรายการ AF (ACADEMY FANTASIA) ที่ใช้กล้องวงจรปิดถ่ายทำสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆโดยไม่ผ่านการตัดต่อ หรือการ “เร้าอารมณ์” ผู้ชมด้วยการใช้ปัจจัยอื่นๆช่วย เช่น มุมกล้อง ดนตรีประกอบที่ถูกใส่เข้ามาภายหลัง หรือแม้กระทั่งการตัดต่อรายการซึ่งส่งผลอย่างมากกับรูปแบบรายการและอารมณ์ของผู้ชม
THE FACE อาจจะเป็นรายการเรียลลิตี้ประกวดหานางแบบก็จริง แต่รายการก็ถูก “ตีกรอบ” ให้ผู้เล่นเดินไปตามเกมของ “เมนเทอร์” ที่มีการ “เล่นเกม” ประมาณหนึ่งหรืออาจจะถูกปรุงแต่งอะไรบางอย่างก่อนที่ทั้งสามคนอย่าง คริส ลูกเกดหรือบี จะออกมาพูดหรือตัดสินอะไรสักอย่าง มันมีลักษณะของการกำกับอยู่ในถ้วงที อาทิเช่น เวลาเมนเทอร์จะเปิดโมเดลลิ่งบุคส์เพื่อตัดสินเอาใครสักคนออกจากรายการ มุมกล้องก็จะถ่ายอิริยาบถของเมนเทอร์ในการเปิดแฟ้ม ถ่ายสีหน้า แววตา เพื่อให้เห็นความรู้สึกของเมนเทอร์คนนั้นๆ แม้ว่ามันจะเป็นการพิจารณาตัดสินคัดออกจริงๆ แต่การตัดสินดังกล่าวก็ถูกถ่ายทอดให้ผู้ชมเห็นถึงสิ่งที่ผู้กำกับรายการต้องการจะชักจูงผู้ชมให้รู้สึกตามไปกับสิ่งที่ตัวผู้กำกับรู้สึก ดังนั้น The Face จึงเป็นรายการที่ “ไม่ใช่เรียลลิตี้” 100%
จากจุดดังกล่าวนี่แหละที่ “ทีมงาน” เข้าใจว่าผู้ชมอยากเห็นอะไร และ สนุกกับอะไร The Face Season ที่ 2 จึงประโคมซัดสิ่งที่โดนใจและตรงใจผู้ชม และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ช่วยให้รายการกลายเป็น Talk of The Town หรือการเกิดเป็นกระแสปากต่อปาก หรือกระทั่งกลายเป็นมีม meme (อาทิรูปพี่เกิดสั่งนายกประยุทธที่กำลังเอางูพาดคอ)
ทุกอย่างที่กล่าวมายิ่งทวีความสมจริงสมจังเข้าไปอีกเมื่อบรรดาเมนเทอร์ ก็ใช้โซเชียลมีเดียของตัวเองโดยเฉพาะ Instagram อัพเดทสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการ (ทั้งที่ไม่ใช่รายการสด เทปถูกบันทึกเอาไว้ก่อน) แต่บรรดาเมนเทอร์ทั้งคริส ลูกเกด หรือบี เพื่อทำให้รายการถูกอัดเอาไว้ดู “เรียลไทม์” ยิ่งขึ้น ดังนั้นมันยิ่งสอดคล้องกลับแนวคิดที่ว่า The Face นั้นมีการ “ตระเตรียม” วิธีการนำเสนอรูปแบบรายการเอาไว้แล้ว และยิ่งกลายเป็นประเด็น “ดราม่า” ได้อีกเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการไม่ถูกใจผู้ชมบางกลุ่ม หรือแม้กระทั่งคนที่ “อิน” กับรายการมากจนเกินไป แบบกรณีที่เกิดขึ้นกับสัปดาห์ที่ 3 เมื่อเมนเทอร์บีตัดสินใจเอา “น้ำหวาน” ออกแทนที่จะเป็น “ตีญ่า” ที่เข้าห้องคัดออกเป็นครั้งที่ 2 และแน่นอนว่าผลการตัดสินครั้งนี้สร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจให้กับทีมคริสชนิดที่ “อินเนอร์” ของนางถึงกับร้องไห้ออกมา
บางส่วนของรายการแน่นอนว่ามันเป็น “อินเนอร์” ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาที่ถ่ายทำ กล้องที่บันทึกโมเมนต์ในช่วงเวลาดังกล่าวย่อมได้ภาพที่เป็นความรู้สึกจริง ณ ขณะนั้น ทว่าช่วงเวลาในการนำภาพเหล่านั้นมา “ตัดต่อ” ในภาพหลังย่อมสร้างความรู้สึกตามวิธีการ “กำกับ” รายการให้ออกมาในแบบที่จะสร้างความบันเทิง และต้องย้ำตัวเองเสมอว่ารายการ THE FACE นั้นไม่ใช่ “เรียลลิตี้ 100%” แต่มันมีการชี้นำอารมณ์คนดูและสร้าง “อารมณ์ร่วม” ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล
ยิ่งอะไรที่เป็นประเด็นแรง – สุ่มเสี่ยงต่อการดราม่า มันยังกลายเป็นกระแสสังคมแบบปากต่อปากได้ไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ม แล้วยิ่งสัปดาห์ที่ 3 กระแสยังรุนแรงขนาดนี้ อีกกว่า 10 วีคที่เหลือ ไม่ต้องพูดถึงเลย โฆษณาคงเข้ารายการ THE FACE ซีซั่นนี้ชนิดที่คุณเต้คงยิ้มกันแก้มปริ
#ทีมคุณเต้ไหมล่ะคะ
#ดราม่าหมากต่อไปน่าจะเป็นเมนเทอร์เจนนี่
#แน่ใจเหรอว่านี่คือรายการ “เรียลลิตี้จริงๆ”
#GAMEON
รีวิวเรื่องอื่นๆที่เข้าฉาย
มอญซ่อนผี >> https://goo.gl/F5rLWe
Scouts Guide to the Zombie Apocalypse >> https://goo.gl/b0YEJ3
The Intern >> https://goo.gl/qctFsi
Bridge of Spies >> https://goo.gl/7iB8i7
THE VISIT >> https://goo.gl/qaWzBw
อาบัติ >> https://goo.gl/UfJbDua
เมย์ไหน....ไฟแรงเฟร่อ >> https://goo.gl/jtKj05
The Martian>>https://goo.gl/xrgikR
หนังเก่าที่เราคิดถึง
House of Wax >> https://goo.gl/uJifVE