เอามาให้อ่าน เล่น ๆ ครับ

ช่วงนี้เจอใครก็ได้ยินแต่เสียงบ่นว่าข้าวของขายไม่ดี ความเป็นจริงก็คือในช่วงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง กำลังซื้อของลูกค้าจะถดถอย ปัจจัยภายนอกเริ่มควบคุมไม่ได้ การแข่งขันรุนแรงเกิน แถมเงินไม่สะพัด สภาพคล่องทางการเงินไม่มี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการยากจะทำใจ
คำถามคือทำไมบางคนอยู่ได้ แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ถึงอยู่กันไม่รอดที่ลูกค้าหายไป ลูกน้องหายไป คู่แข่งเข้ามา เป็นเพราะเราไม่ดีหรือเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเก่า อย่ามัวแต่ตีอกชกลมโดยไม่หันกลับมามองที่ตัวเรา ว่าเขาหรือเรากันแน่ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
ลองพิจารณาข้อสังเกตทั้ง 3 ข้อนี้ดู บางทีมันอาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่ทำให้คุณร้องอ๋อ...รู้แล้วว่าทำไม
1.ไม่มีที่ยืนสำหรับคนตรงกลาง
เศรษฐกิจไม่ดีแต่ทำไมหลายร้านในห้างดังอย่างเอ็มควอเทียร์ถึงมีลูกค้าแน่นร้าน เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำไมร้านอาหารข้างทาง สินค้า House Brand ถึงได้ขายดิบขายดี คนรายได้สูงเขาไม่เดือดร้อนกับการจับจ่ายใช้สอย เขาเลือกเสพสินค้า/บริการตามไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ส่วนคนรายได้น้อยเขาก็พยายามประหยัด เลือกซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าเงินจริงๆ แต่คนตรงกลางนี่สิ รสนิยมเคยสูงแต่รายได้ดันต่ำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่กลับหายไปดื้อๆ เพราะเงินช็อต เลยทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ที่อยู่ตรงกลางเดือดร้อน หันกลับมาฟาดฟันกันเอง
2.ไข่ทุกใบอย่าใส่ในตะกร้าใบเดียวกัน
ทุกธุรกิจมีวงจรชีวิตไม่เหมือนกัน บางช่วงก็ดีจนน่าตกใจ บางช่วงก็ตกต่ำจนน่าใจหาย ถ้าเราไม่เอาเงินเดิมพันทั้งหมดที่มีไปใส่ในธุรกิจเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะต้องล้มหายตายจากก่อนเวลาอันควรก็จะน้อยลง ในเกมการแข่งขัน ความสำเร็จไมได้วัดกันที่ใครทำกำไรได้มากกว่ากันในช่วงขาขึ้น (ได้มากได้น้อย แต่ละคนก็ยังอยู่รอดได้) หากแต่วัดกันที่ใครอยู่ได้นานกว่า อึดกว่าในช่วงขาลง (คนที่แพ้ คือคนที่เงินหมดหน้าตักก่อน)
3.เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เสียโฟกัส อยากขายให้ได้เยอะๆ กำไรเยอะๆ ส่วนแบ่งการตลาดเยอะๆ ค่าใช้จ่ายน้อยๆ อยากให้ทุกอย่างเป็นได้ดังใจ ในช่วงที่เศรษฐกิจผกผัน คุณต้องกลับมาทบทวนดูใหม่ว่าเรื่องไหนสำคัญที่สุด ระหว่างการรักษาฐานลูกค้า รักษาผลตอบแทนผู้ถือหุ้น รักษาสภาพคล่อง หรือแม้กระทั่งรักษาคนในองค์กร ถ้าเลือกที่จะรักษาลูกค้า จงอย่าปล่อยให้ใครมาช่วงชิงเอาไปด้วยส่วนลดเพียงเล็กน้อย ถ้าอยากได้สภาพคล่องกลับมา จงอย่าปล่อยให้ดอกเบี้ยเดินเร็วกว่าความสามารถในการเก็บหนี้ และถ้าเลือกที่จะรักษาลูกน้อง ลองถามตัวเราว่าเคยลงทุนอะไรในตัวเขามากพอแล้วหรือยัง เรื่องของเรื่องคืออย่าตัดสินใจทำอะไรในวันที่ทุกอย่างสายเกิน เช่น ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานตอนี่เขายื่นใบลาออกแล้ว ปรับมาตรฐานการบริการตอนที่ลูกค้าเดินจากไปแล้ว
เศรษฐกิจไม่ดีเป็นเรื่องของใคร
ช่วงนี้เจอใครก็ได้ยินแต่เสียงบ่นว่าข้าวของขายไม่ดี ความเป็นจริงก็คือในช่วงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง กำลังซื้อของลูกค้าจะถดถอย ปัจจัยภายนอกเริ่มควบคุมไม่ได้ การแข่งขันรุนแรงเกิน แถมเงินไม่สะพัด สภาพคล่องทางการเงินไม่มี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการยากจะทำใจ
คำถามคือทำไมบางคนอยู่ได้ แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ถึงอยู่กันไม่รอดที่ลูกค้าหายไป ลูกน้องหายไป คู่แข่งเข้ามา เป็นเพราะเราไม่ดีหรือเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเก่า อย่ามัวแต่ตีอกชกลมโดยไม่หันกลับมามองที่ตัวเรา ว่าเขาหรือเรากันแน่ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
ลองพิจารณาข้อสังเกตทั้ง 3 ข้อนี้ดู บางทีมันอาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่ทำให้คุณร้องอ๋อ...รู้แล้วว่าทำไม
1.ไม่มีที่ยืนสำหรับคนตรงกลาง
เศรษฐกิจไม่ดีแต่ทำไมหลายร้านในห้างดังอย่างเอ็มควอเทียร์ถึงมีลูกค้าแน่นร้าน เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำไมร้านอาหารข้างทาง สินค้า House Brand ถึงได้ขายดิบขายดี คนรายได้สูงเขาไม่เดือดร้อนกับการจับจ่ายใช้สอย เขาเลือกเสพสินค้า/บริการตามไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ส่วนคนรายได้น้อยเขาก็พยายามประหยัด เลือกซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าเงินจริงๆ แต่คนตรงกลางนี่สิ รสนิยมเคยสูงแต่รายได้ดันต่ำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่กลับหายไปดื้อๆ เพราะเงินช็อต เลยทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ที่อยู่ตรงกลางเดือดร้อน หันกลับมาฟาดฟันกันเอง
2.ไข่ทุกใบอย่าใส่ในตะกร้าใบเดียวกัน
ทุกธุรกิจมีวงจรชีวิตไม่เหมือนกัน บางช่วงก็ดีจนน่าตกใจ บางช่วงก็ตกต่ำจนน่าใจหาย ถ้าเราไม่เอาเงินเดิมพันทั้งหมดที่มีไปใส่ในธุรกิจเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะต้องล้มหายตายจากก่อนเวลาอันควรก็จะน้อยลง ในเกมการแข่งขัน ความสำเร็จไมได้วัดกันที่ใครทำกำไรได้มากกว่ากันในช่วงขาขึ้น (ได้มากได้น้อย แต่ละคนก็ยังอยู่รอดได้) หากแต่วัดกันที่ใครอยู่ได้นานกว่า อึดกว่าในช่วงขาลง (คนที่แพ้ คือคนที่เงินหมดหน้าตักก่อน)
3.เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เสียโฟกัส อยากขายให้ได้เยอะๆ กำไรเยอะๆ ส่วนแบ่งการตลาดเยอะๆ ค่าใช้จ่ายน้อยๆ อยากให้ทุกอย่างเป็นได้ดังใจ ในช่วงที่เศรษฐกิจผกผัน คุณต้องกลับมาทบทวนดูใหม่ว่าเรื่องไหนสำคัญที่สุด ระหว่างการรักษาฐานลูกค้า รักษาผลตอบแทนผู้ถือหุ้น รักษาสภาพคล่อง หรือแม้กระทั่งรักษาคนในองค์กร ถ้าเลือกที่จะรักษาลูกค้า จงอย่าปล่อยให้ใครมาช่วงชิงเอาไปด้วยส่วนลดเพียงเล็กน้อย ถ้าอยากได้สภาพคล่องกลับมา จงอย่าปล่อยให้ดอกเบี้ยเดินเร็วกว่าความสามารถในการเก็บหนี้ และถ้าเลือกที่จะรักษาลูกน้อง ลองถามตัวเราว่าเคยลงทุนอะไรในตัวเขามากพอแล้วหรือยัง เรื่องของเรื่องคืออย่าตัดสินใจทำอะไรในวันที่ทุกอย่างสายเกิน เช่น ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานตอนี่เขายื่นใบลาออกแล้ว ปรับมาตรฐานการบริการตอนที่ลูกค้าเดินจากไปแล้ว