สวัสดี คนคุ้นเคยที่เคยและไม่เคยอ่านที่เราเขียนรีวิว แต่ก็เอาเป็นว่าสวัสดีนะสืบเนื่องจากป่าเรียกหาในฤดูการขึ้นเขา แต่เสียดายที่เราพลาดไปสองเดือนคือ กันยา และ ตุลา ช่วงต้นเดือน เหตุด้วยภารกิจหลายอย่าง จึงทำให้ปีนี้เราพลาดไปหลายทริปที่คิดไว้ว่าจะไป โดยอ้างอิงจากทริปจุดกำเนิดของเราที่เริ่มเข้าป่า
ก็ต้องกระทู้นี้เลย รีวิว "เขาช้างเผือก" อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
http://pantip.com/topic/31461144
เมื่อประมาณต้นปี 2557 ซึ่งตอนนั้น เขาช้างเผือกยังไม่บูมขนาดนี้ ถือว่าเราโชคดีมาก และตั้งแต่นั้นมาเราก็รู้ตัวว่า
“ป่าเลือกเรา” ซึ่งหลังจากไปเขาช้างเผือกมาก็ทำให้เราพัฒนาตัวอีกหลายอย่าง
ทั้งในเรื่องสังขาร โดยได้พาตัวเราไปที่ กระทู้นี้เลย ม่อนทูเลม่อนคลุย เมื่อประมาณ 7-9 พ.ย. 2557
http://pantip.com/topic/32839532

และเมื่อเวลาผ่านไปแล้วกลับมานั่งย้อนอ่านดูพร้อมกับช่วงฤดูการขึ้นเขามาถึง เราจึงเลือกเปิดป่าด้วยทริปนี้เลย
“ตามหาหัวใจแห่งขุนเขา น้ำตกปิตุ๊โกร หรือเปรโต๊ะลอซู”
ซึ่งทริปนี้เราเลือกไปพี่ๆ กลุ่ม TKT เหมือนเดิม เพราะติดใจความน่ารักและความเป็นกันเอง แต่ทริปนี้ที่เพิ่มระดับเวลให้กับตัวเองก็คือ การเลือกที่จะไม่มีลูกหาบเหมือนสองทริปแรก เพราะเราแข็งแรงขึ้น 55+
และทริปนี้เราเปลี่ยนกล้องใหม่เริ่มใช้งานนี้งานแรก คือ OLYMPUS OMD E-M 10 mark I เดิมใช้ Nikon D3100 แต่พอดีกว่าเลนซ์มีปัญหานิดหน่อย และด้วยขนาดที่ใหญ่เลยตัดสินใจลองถอย mirrorless ตัวนี้มาลองใช้ดู น้ำหนักสวยงามใช้ง่ายดีเหมือนกันนะ ยังไงลองไปดูรูปกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่จริงก่อนหน้านี้เราได้มีโอกาสได้พัฒนาตัวเองในด้านกีฬาหลายอย่าง เพื่อให้สามารถมีแรงในการไปขึ้นเขาที่ยากขึ้น
ก็อาทิเช่น
มีไปฉายเดียวที่สังขระมานะ อันนี้ไม่ได้รีวิวอะไร เป็นการเที่ยวปลอดปล่อยอารมณ์ https://www.youtube.com/watch?v=YCfO2XbEbk8
มีไปทุ่งดอกกระเจียวที่ชัยภูมิ แต่ดั้นไปช่วงต้นฤดู ทั้งทุ่งมีอยู่ 7 ดอก โอ้วแม่เจ้า
https://www.facebook.com/suwanee.tasanason/videos/10205951554602470/
มีไปปั่นจักรยาน Audax 100 ที่สัตหีบ,
ไปงาน หัวหินไตรกีฬา ระยะ spin distant,
https://youtu.be/iwndaoRvU38
งานวิ่ง humanrun แล้วก็มีคิวงานวิ่งอีกหลายงานเลย เพราะติดใจ ทริปนี้เลยจัดได้ว่า ไม่ยากมากสำหรับยุ้ย กับผู้หญิงที่อายุปาเข้าไป 35 แล้ว
เราเริ่มต้นเดินทางจากสำนักงาน TKT เวลา 19.00 น. ในวันพฤหัสบดีที่ 22 แต่ตามคาดเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 3 วันเราจึงมีเพื่อนร่วมทริปจำนวนมากถึง 2 รถตู้ (ปกติจะไปแค่รถตู้เดียว)
เมื่อเริ่มออกเดินทาง ยุ้ยเริ่มจากการสตาร์ทกินยาแก้เมารถ และยาแก้ปวดหัวก่อนเลย เพื่อช่วยให้เราหลับได้ เพราะส่วนตัวเคยขับรถไปทีลอซูเองแล้วเจอโค้ง เป็นพัน มีอาการเวียนหัวเหมือนกัน แต่นี่คือนั่งรถตู้ อาจมีอวกได้ เลยต้องกันเอาไว้ก่อน และก็เป็นผลสำเร็จ เราสามารถผ่านโค้งต่างๆ มาได้ด้วยการหลับเป็นตาย จนถึงเวลา ประมาณ 7 โมงเช้า เราได้มาถึง แคมป์สุขเสถียร์ อ.อุ้มผาง เพื่ออาบน้ำแปรงฟันจัดเตรียมของเพื่อขึ้นไปตามหาหัวใจของเรา
เมื่อจัดของเรียบร้อยเราจึงแยกย้ายขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังบริเวณที่เริ่มเดิน โดยจากจุดขึ้นรถ (แคมป์สุขเสถียร์) ไปยังจุดทีเดิน ใช้เวลาในการขับรถขึ้นเขาและเลี้ยวไปมา ประมาณ 2 ชั่วโมง
อันนี้ภาพจากกล้องอีกท่านในทริปคะ เป็นภาพรถที่เราใช้ในการขนเป้ อุปกรณ์ต่าง ๆ และตัวพวกเราเองไปยังจุดเริ่มเดิน โดยทีมเราใช้รถสองแถวจำนวน 2 คันกับลูกหาบประมาณ 5 คน อันนี้เป็นช่วงระหว่างทางที่แวะซื้อรองเท้าและเข้าห้องน้ำกันคะ
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็มาถึง เมื่อข้าพเจ้าดันอ่านคำแนะนำในกระทู้ผิด คือเข้าใจว่าไปเดินน้ำตกน่าจะเป็นรองเท้าที่แห้งง่าย และใส่สบายจึงเลือกที่จะไปถอยรองเท้ารัดส้น มาใส่ (ซึ่งบอกก่อนเลยว่าปกติเป็นคนไม่ใส่รองเท้าประเภทนี้) แต่เมื่อพี่ไท พี่คนที่ดูแลทริปแจ้งว่ารองเท้าแบบนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่ง จึงต้องหาที่ซื้อรองเท้าใหม่
และนี่เองที่ทำให้ยุ้ยรู้จักกับ สตั๊ดดอย... เพื่อนคู่ใจนักเดินทาง เฮ้ยยยยยย !!! คือจะบอกว่ามันดีอ่ะ 60 บาท กับถุงเท้าหนา ๆ หน่อยนะ อยากจะเปิดกระทู้รีวิวเฉพาะรองเท้านี้เลยอ่ะ ว่าเอาไปเลย 10/10 คุ้มค่า มีประโยชน์มาก ๆ ๆ และนี่คือโฉมหน้า สตั๊ดดอย ที่ท่านสามารถเลือกหาซื้อได้ 55+

เอาล่ะเริ่มต้นการเดินทางประมาณ 10 โมง กว่า ๆ เกือบ 11 โมงล่ะค่ะ พวกเรามาถึงจุดเริ่มเดินทาง โดยพักทานข้าวเที่ยงกันข้างถนนเลย เอาแรงไว้ก่อน จากนั้นเริ่มเดินตัดเข้าไปผ่านทางร่องน้ำข้างทุ่งนา เข้าไปเพียงไม่ถึง 100 เมตร สตั๊ดดอยของเราก็เริ่มทำงาน ด้วยการลุยโคลน ก่อนเลย พื้นแหยะ ๆ นิดหน่อยก็ประมาณว่าฝนเพ่งตกแหละคะ สักพักเดินมาเริ่มเจอทางที่เป็นลำธารเล็ก ๆ ซึ่งพี่ผู้นำทางแนะนำว่าเดินในลำธารจะดีกว่าค่ะเพราะว่าเดินข้างบนเป็นดินโคลนจะเดินค่อนข้างลำบาก ดังนั้นเตรียมใจไว้เลยคะสำหรับใครที่จะไป เปียกแน่นอน
รอบนี้เนื่องจากเราจะหิ้วกระเป๋าเองจึงเลือกเสื้อผ้าที่ชิ้นเล็ก บาง เบา ที่สุดเท่าที่จะทำได้ หิ้วครีมทางหน้าทาตัวแบบว่าบีบใส่ถุงไปกันเลย เพราะว่าอะไรเล็กได้ต้องเล็กไว้ก่อน และมันก็ส่งผลดีกับเรานะ เพราะว่ารอบนี้กระเป๋าประมาณ 5 โล ไม่ได้สร้างภาระอะไรสำหรับเราเท่าไหร่ เราเลือกเสื้อผ้าสไตล์กีฬาไปเพราะว่าแห้งไว้ เนื้อผ้าบางเบา ก็ถือว่าผ่านนะ
อันนี้เพื่อนที่ไปด้วยกันถ่ายให้
ในรอบนี้เจอหลาย ๆ คนในทริปที่ใส่รองเท้า Trekking ไป ซึ่งก็น่าจะเหมาะ แต่ส่วนตัวเราว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะว่าเห็นหลายคนเจอปัญหาเรื่องความหนัก และ ลื่น แต่คิดว่าช่วยได้เยอะในเรื่องการเซฟข้อเท่าเวลาเดิน ตอนแรกเราก็กะจะเอารองเท้าวิ่งไปใส่เหมือนกัน แต่เห็นทางเละ ๆเลยเลือกใส่พวกรัดส้น ซึ่งก็ไม่สมควรอยู่ดี สรุปลงตัวที่ สตั๊ดดอยคะ
กลับเข้าสู่ทริป หลังจากเดินในลำธารได้สักพักจะพบจุดที่คนระดับความสูง 167 เซนติเมตรอย่างเรา มีน้ำขึ้นมาถึงประมาณเกินเข่า ก็เย็นดีนะ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่บริเวณเดินชิว ๆ สักพัก แต่ด้วยความที่ทีมเราออกเดินสายทำให้แดดกลายเป็นอุปสรรคในการเดิน และน้ำสำคัญมาก เพื่อเดินมาถึงจุดที่เป็นทุ่งนา ตามด้วย ทุ่งข้าวโพด และทุ่งถั่วลิสง จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าป่า ซึ่งก็จะได้ร่มไม้มาช่วยได้เยอะคะ
ลักษณะการเดินด้วยระยะทางไม่ยาวแค่ประมาณ 3-4 กม. เราใช้ระยะเวลาเดินกันประมาณ 2-3 ชั่วโมงน่าจะได้ ตลอดเส้นทางจะเป็นเนินขึ้นสลับทางเรียบ อันนี้เรียกได้ว่าระดับปานกลางนะคะ (คหสต.) ในช่วงที่เดินในป่า ทางจะเป็นป่าโล่งๆ ในบางจุดเดินตัดลำธารเล็ก ๆ ซึ่งทางแบบนี้สำหรับยุ้ยแล้วเดินสนุกมาก เดินเพลิน ๆ คะ เลยเก็บบรรยากาศระหว่างเดินมาให้ชมกัน
จากนั้นเราก็มาถึงจุดที่จะกางเต็นท์ ซึ่งได้ยินมาว่าวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์ ณ จุดนี้ราว ๆ 100 คนเลยทีเดียว อืม...ไม่น่าเชื่อว่าจะเยอะขนาดนี้แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าเป็นช่วงวันหยุดยาว ใคร ๆ ก็อยากพักผ่อนจริงไหมค่ะ
ที่จริงหลังจากอีกวันเดินกลับมาแล้วก็พบว่าไม่ได้มีจุดกางเต็นท์ตรงนี้เพียงจุดเดียว ยังมีอีกหลายจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถแบกสัมภาระขึ้นไปกางได้ แต่ในแต่ละจุดก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน
เช่น
1. จุดที่ยุ้ยและคนส่วนใหญ่เลือกกางเต็นท์บริเวณนี้คือ จะมีเพิงไม้เล็ก ๆ ไว้สำหรับให้ลูกหาบพักพิง หรือจับจองสำหรับทีมที่มาก่อน รวมถึงมีห้องน้ำให้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือปัสสาวะถ่ายหนัก ได้ตามสบาย แค่ไม่มีกลอนเฉย ๆ 55+ และที่สำคัญใกล้แหล่งน้ำ เป็นส่วนกลางๆ ของน้ำตกปิตุ๊โกรนะ (คิดว่า) มีแอ่งให้เล่นน้ำได้ ดังนั้นถ้าอยู่จุดนี้คุณจะอาบน้ำได้ตลอดเวลา แต่อย่างหนึ่งทีอยากฝากคือ ไม่อยากให้ใช้พวกสารเคมีเลย เพราะน้ำตกที่นี่ใหม่มาก ส่วนตัวยุ้ยเองไม่ใช้แน่นอน และเห็นคนที่ใช้ก็พยายามบอก แต่บางครั้งก็มีบ้างที่ไม่สามารถห้ามได้ แต่ถ้าบังเอิญใครอ่านเจอแล้วเห็นด้วยก็ช่วยๆ กันเนอะ
อันนี้คือรอบ ๆ จุดที่ยุ้ยกางเต็นท์กับทีมค่ะ
อันนี้ภาพจากกล้องของเพื่อน ๆ ท่านอื่นในทริปค่ะ ขออนุญาตมา ณ โอกาสนี้เลยจร้า ฮี่ ๆๆ
และนี่คือห้องน้ำที่กล่าวถึง ถ่ายได้นะ มีน้ำตลอด อย่างเดียวที่ไม่มีคือ กลอน 55+ แต่ก็นะ ช่วยได้ในเวลาขับขัน
ส่วนอีกสองจุดที่เหลือไม่มีภาพอ่ะ น่าเสียดาย ลืมถ่ายจริง ๆ มัวแต่ถ่ายต้นไม้ใบหญ้าอยู่
2. อีกจุดที่ตอนแรกคิดว่าน่าสนใจคือบริเวณจุดชมวิวที่จะขึ้นไปทางยอดดอยมะม่วงสามหมื่น ซึ่งเป็นลานกว้าง ลมเย็น ซึ่งต้องเดินขึ้น ไปจากจุดแรกที่กล่าวไปประมาณเยอะ เหมือนกันและเดินขึ้นเขาด้วย ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง นึกถึงภาพการแบกสัมภาระขึ้นไปก็เหนื่อยแล้ว แต่ที่มันไม่เหมาะคือเรื่องของน้ำ บริเวณนั้นจะไม่มีแหล่งน้ำ ซึ่งหากต้องการน้ำดื่มหรืออาบน้ำต้องเดินลงไปในต้นน้ำ ประมาณ 50 เมตร ซึ่งผ่านทางลาดชัน อันตรายสำหรับผู้ไม่ชำนาญคะ
3. อีกจุดที่พบกว่ามีการกางเต็นท์คือบริเวณตีนน้ำตกปิตุ๊โกรเลย ซึ่งหากเดินไปไม่ไกลมากจากจุดชมวิว คือจะแยกไปอีกทาง (ไม่ได้ไปทางยอดมะม่วงสามหมื่น) ตรงจุดนั้นมีแหล่งน้ำ แต่พื้นที่ในการนอนอาจจะไม่สบายหลัง เหตุเพราะว่าเป็นโขดหินซะมาก แต่ก็มีที่ให้กางนะไม่ใช่ไม่มี แต่ถ้าเป็นเราจะไม่ไปกางตรงนี้เพราะแค่เดินตัวเปล่ามาจุดนี้ก็ เพลียล่ะ 555+ ถ้าให้เดินแบกสัมภาระมากางนอนตรงนี้ ต้องนอนอย่างน้อย 2-3 คืนอ่ะถึงจะคุ้มค่ากับการแบกของไป
[CR] ที่ ปิตุ๊โกร มันมีอะไรที่ทำให้คุณนั้นต้องอยากไป !!! หัวใจแห่งผืนป่าอุ้งผาง
ก็ต้องกระทู้นี้เลย รีวิว "เขาช้างเผือก" อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
http://pantip.com/topic/31461144
เมื่อประมาณต้นปี 2557 ซึ่งตอนนั้น เขาช้างเผือกยังไม่บูมขนาดนี้ ถือว่าเราโชคดีมาก และตั้งแต่นั้นมาเราก็รู้ตัวว่า
“ป่าเลือกเรา” ซึ่งหลังจากไปเขาช้างเผือกมาก็ทำให้เราพัฒนาตัวอีกหลายอย่าง
ทั้งในเรื่องสังขาร โดยได้พาตัวเราไปที่ กระทู้นี้เลย ม่อนทูเลม่อนคลุย เมื่อประมาณ 7-9 พ.ย. 2557
http://pantip.com/topic/32839532
และเมื่อเวลาผ่านไปแล้วกลับมานั่งย้อนอ่านดูพร้อมกับช่วงฤดูการขึ้นเขามาถึง เราจึงเลือกเปิดป่าด้วยทริปนี้เลย
“ตามหาหัวใจแห่งขุนเขา น้ำตกปิตุ๊โกร หรือเปรโต๊ะลอซู”
ซึ่งทริปนี้เราเลือกไปพี่ๆ กลุ่ม TKT เหมือนเดิม เพราะติดใจความน่ารักและความเป็นกันเอง แต่ทริปนี้ที่เพิ่มระดับเวลให้กับตัวเองก็คือ การเลือกที่จะไม่มีลูกหาบเหมือนสองทริปแรก เพราะเราแข็งแรงขึ้น 55+
และทริปนี้เราเปลี่ยนกล้องใหม่เริ่มใช้งานนี้งานแรก คือ OLYMPUS OMD E-M 10 mark I เดิมใช้ Nikon D3100 แต่พอดีกว่าเลนซ์มีปัญหานิดหน่อย และด้วยขนาดที่ใหญ่เลยตัดสินใจลองถอย mirrorless ตัวนี้มาลองใช้ดู น้ำหนักสวยงามใช้ง่ายดีเหมือนกันนะ ยังไงลองไปดูรูปกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราเริ่มต้นเดินทางจากสำนักงาน TKT เวลา 19.00 น. ในวันพฤหัสบดีที่ 22 แต่ตามคาดเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 3 วันเราจึงมีเพื่อนร่วมทริปจำนวนมากถึง 2 รถตู้ (ปกติจะไปแค่รถตู้เดียว)
เมื่อเริ่มออกเดินทาง ยุ้ยเริ่มจากการสตาร์ทกินยาแก้เมารถ และยาแก้ปวดหัวก่อนเลย เพื่อช่วยให้เราหลับได้ เพราะส่วนตัวเคยขับรถไปทีลอซูเองแล้วเจอโค้ง เป็นพัน มีอาการเวียนหัวเหมือนกัน แต่นี่คือนั่งรถตู้ อาจมีอวกได้ เลยต้องกันเอาไว้ก่อน และก็เป็นผลสำเร็จ เราสามารถผ่านโค้งต่างๆ มาได้ด้วยการหลับเป็นตาย จนถึงเวลา ประมาณ 7 โมงเช้า เราได้มาถึง แคมป์สุขเสถียร์ อ.อุ้มผาง เพื่ออาบน้ำแปรงฟันจัดเตรียมของเพื่อขึ้นไปตามหาหัวใจของเรา
เมื่อจัดของเรียบร้อยเราจึงแยกย้ายขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังบริเวณที่เริ่มเดิน โดยจากจุดขึ้นรถ (แคมป์สุขเสถียร์) ไปยังจุดทีเดิน ใช้เวลาในการขับรถขึ้นเขาและเลี้ยวไปมา ประมาณ 2 ชั่วโมง
อันนี้ภาพจากกล้องอีกท่านในทริปคะ เป็นภาพรถที่เราใช้ในการขนเป้ อุปกรณ์ต่าง ๆ และตัวพวกเราเองไปยังจุดเริ่มเดิน โดยทีมเราใช้รถสองแถวจำนวน 2 คันกับลูกหาบประมาณ 5 คน อันนี้เป็นช่วงระหว่างทางที่แวะซื้อรองเท้าและเข้าห้องน้ำกันคะ
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็มาถึง เมื่อข้าพเจ้าดันอ่านคำแนะนำในกระทู้ผิด คือเข้าใจว่าไปเดินน้ำตกน่าจะเป็นรองเท้าที่แห้งง่าย และใส่สบายจึงเลือกที่จะไปถอยรองเท้ารัดส้น มาใส่ (ซึ่งบอกก่อนเลยว่าปกติเป็นคนไม่ใส่รองเท้าประเภทนี้) แต่เมื่อพี่ไท พี่คนที่ดูแลทริปแจ้งว่ารองเท้าแบบนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่ง จึงต้องหาที่ซื้อรองเท้าใหม่
และนี่เองที่ทำให้ยุ้ยรู้จักกับ สตั๊ดดอย... เพื่อนคู่ใจนักเดินทาง เฮ้ยยยยยย !!! คือจะบอกว่ามันดีอ่ะ 60 บาท กับถุงเท้าหนา ๆ หน่อยนะ อยากจะเปิดกระทู้รีวิวเฉพาะรองเท้านี้เลยอ่ะ ว่าเอาไปเลย 10/10 คุ้มค่า มีประโยชน์มาก ๆ ๆ และนี่คือโฉมหน้า สตั๊ดดอย ที่ท่านสามารถเลือกหาซื้อได้ 55+
เอาล่ะเริ่มต้นการเดินทางประมาณ 10 โมง กว่า ๆ เกือบ 11 โมงล่ะค่ะ พวกเรามาถึงจุดเริ่มเดินทาง โดยพักทานข้าวเที่ยงกันข้างถนนเลย เอาแรงไว้ก่อน จากนั้นเริ่มเดินตัดเข้าไปผ่านทางร่องน้ำข้างทุ่งนา เข้าไปเพียงไม่ถึง 100 เมตร สตั๊ดดอยของเราก็เริ่มทำงาน ด้วยการลุยโคลน ก่อนเลย พื้นแหยะ ๆ นิดหน่อยก็ประมาณว่าฝนเพ่งตกแหละคะ สักพักเดินมาเริ่มเจอทางที่เป็นลำธารเล็ก ๆ ซึ่งพี่ผู้นำทางแนะนำว่าเดินในลำธารจะดีกว่าค่ะเพราะว่าเดินข้างบนเป็นดินโคลนจะเดินค่อนข้างลำบาก ดังนั้นเตรียมใจไว้เลยคะสำหรับใครที่จะไป เปียกแน่นอน
รอบนี้เนื่องจากเราจะหิ้วกระเป๋าเองจึงเลือกเสื้อผ้าที่ชิ้นเล็ก บาง เบา ที่สุดเท่าที่จะทำได้ หิ้วครีมทางหน้าทาตัวแบบว่าบีบใส่ถุงไปกันเลย เพราะว่าอะไรเล็กได้ต้องเล็กไว้ก่อน และมันก็ส่งผลดีกับเรานะ เพราะว่ารอบนี้กระเป๋าประมาณ 5 โล ไม่ได้สร้างภาระอะไรสำหรับเราเท่าไหร่ เราเลือกเสื้อผ้าสไตล์กีฬาไปเพราะว่าแห้งไว้ เนื้อผ้าบางเบา ก็ถือว่าผ่านนะ
อันนี้เพื่อนที่ไปด้วยกันถ่ายให้
ในรอบนี้เจอหลาย ๆ คนในทริปที่ใส่รองเท้า Trekking ไป ซึ่งก็น่าจะเหมาะ แต่ส่วนตัวเราว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะว่าเห็นหลายคนเจอปัญหาเรื่องความหนัก และ ลื่น แต่คิดว่าช่วยได้เยอะในเรื่องการเซฟข้อเท่าเวลาเดิน ตอนแรกเราก็กะจะเอารองเท้าวิ่งไปใส่เหมือนกัน แต่เห็นทางเละ ๆเลยเลือกใส่พวกรัดส้น ซึ่งก็ไม่สมควรอยู่ดี สรุปลงตัวที่ สตั๊ดดอยคะ
กลับเข้าสู่ทริป หลังจากเดินในลำธารได้สักพักจะพบจุดที่คนระดับความสูง 167 เซนติเมตรอย่างเรา มีน้ำขึ้นมาถึงประมาณเกินเข่า ก็เย็นดีนะ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่บริเวณเดินชิว ๆ สักพัก แต่ด้วยความที่ทีมเราออกเดินสายทำให้แดดกลายเป็นอุปสรรคในการเดิน และน้ำสำคัญมาก เพื่อเดินมาถึงจุดที่เป็นทุ่งนา ตามด้วย ทุ่งข้าวโพด และทุ่งถั่วลิสง จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าป่า ซึ่งก็จะได้ร่มไม้มาช่วยได้เยอะคะ
ลักษณะการเดินด้วยระยะทางไม่ยาวแค่ประมาณ 3-4 กม. เราใช้ระยะเวลาเดินกันประมาณ 2-3 ชั่วโมงน่าจะได้ ตลอดเส้นทางจะเป็นเนินขึ้นสลับทางเรียบ อันนี้เรียกได้ว่าระดับปานกลางนะคะ (คหสต.) ในช่วงที่เดินในป่า ทางจะเป็นป่าโล่งๆ ในบางจุดเดินตัดลำธารเล็ก ๆ ซึ่งทางแบบนี้สำหรับยุ้ยแล้วเดินสนุกมาก เดินเพลิน ๆ คะ เลยเก็บบรรยากาศระหว่างเดินมาให้ชมกัน
จากนั้นเราก็มาถึงจุดที่จะกางเต็นท์ ซึ่งได้ยินมาว่าวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์ ณ จุดนี้ราว ๆ 100 คนเลยทีเดียว อืม...ไม่น่าเชื่อว่าจะเยอะขนาดนี้แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าเป็นช่วงวันหยุดยาว ใคร ๆ ก็อยากพักผ่อนจริงไหมค่ะ
ที่จริงหลังจากอีกวันเดินกลับมาแล้วก็พบว่าไม่ได้มีจุดกางเต็นท์ตรงนี้เพียงจุดเดียว ยังมีอีกหลายจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถแบกสัมภาระขึ้นไปกางได้ แต่ในแต่ละจุดก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน
เช่น
1. จุดที่ยุ้ยและคนส่วนใหญ่เลือกกางเต็นท์บริเวณนี้คือ จะมีเพิงไม้เล็ก ๆ ไว้สำหรับให้ลูกหาบพักพิง หรือจับจองสำหรับทีมที่มาก่อน รวมถึงมีห้องน้ำให้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือปัสสาวะถ่ายหนัก ได้ตามสบาย แค่ไม่มีกลอนเฉย ๆ 55+ และที่สำคัญใกล้แหล่งน้ำ เป็นส่วนกลางๆ ของน้ำตกปิตุ๊โกรนะ (คิดว่า) มีแอ่งให้เล่นน้ำได้ ดังนั้นถ้าอยู่จุดนี้คุณจะอาบน้ำได้ตลอดเวลา แต่อย่างหนึ่งทีอยากฝากคือ ไม่อยากให้ใช้พวกสารเคมีเลย เพราะน้ำตกที่นี่ใหม่มาก ส่วนตัวยุ้ยเองไม่ใช้แน่นอน และเห็นคนที่ใช้ก็พยายามบอก แต่บางครั้งก็มีบ้างที่ไม่สามารถห้ามได้ แต่ถ้าบังเอิญใครอ่านเจอแล้วเห็นด้วยก็ช่วยๆ กันเนอะ
อันนี้คือรอบ ๆ จุดที่ยุ้ยกางเต็นท์กับทีมค่ะ
อันนี้ภาพจากกล้องของเพื่อน ๆ ท่านอื่นในทริปค่ะ ขออนุญาตมา ณ โอกาสนี้เลยจร้า ฮี่ ๆๆ
และนี่คือห้องน้ำที่กล่าวถึง ถ่ายได้นะ มีน้ำตลอด อย่างเดียวที่ไม่มีคือ กลอน 55+ แต่ก็นะ ช่วยได้ในเวลาขับขัน
ส่วนอีกสองจุดที่เหลือไม่มีภาพอ่ะ น่าเสียดาย ลืมถ่ายจริง ๆ มัวแต่ถ่ายต้นไม้ใบหญ้าอยู่
2. อีกจุดที่ตอนแรกคิดว่าน่าสนใจคือบริเวณจุดชมวิวที่จะขึ้นไปทางยอดดอยมะม่วงสามหมื่น ซึ่งเป็นลานกว้าง ลมเย็น ซึ่งต้องเดินขึ้น ไปจากจุดแรกที่กล่าวไปประมาณเยอะ เหมือนกันและเดินขึ้นเขาด้วย ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง นึกถึงภาพการแบกสัมภาระขึ้นไปก็เหนื่อยแล้ว แต่ที่มันไม่เหมาะคือเรื่องของน้ำ บริเวณนั้นจะไม่มีแหล่งน้ำ ซึ่งหากต้องการน้ำดื่มหรืออาบน้ำต้องเดินลงไปในต้นน้ำ ประมาณ 50 เมตร ซึ่งผ่านทางลาดชัน อันตรายสำหรับผู้ไม่ชำนาญคะ
3. อีกจุดที่พบกว่ามีการกางเต็นท์คือบริเวณตีนน้ำตกปิตุ๊โกรเลย ซึ่งหากเดินไปไม่ไกลมากจากจุดชมวิว คือจะแยกไปอีกทาง (ไม่ได้ไปทางยอดมะม่วงสามหมื่น) ตรงจุดนั้นมีแหล่งน้ำ แต่พื้นที่ในการนอนอาจจะไม่สบายหลัง เหตุเพราะว่าเป็นโขดหินซะมาก แต่ก็มีที่ให้กางนะไม่ใช่ไม่มี แต่ถ้าเป็นเราจะไม่ไปกางตรงนี้เพราะแค่เดินตัวเปล่ามาจุดนี้ก็ เพลียล่ะ 555+ ถ้าให้เดินแบกสัมภาระมากางนอนตรงนี้ ต้องนอนอย่างน้อย 2-3 คืนอ่ะถึงจะคุ้มค่ากับการแบกของไป
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น