เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ : ตอนที่ 2 กระสือ

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนมิได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเอง แต่ผมได้ฟังจากคำพูดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเหตุการณ์นั้นเพียงคนเดียว เชื่อว่าผู้อ่านหลายทุกท่านคงจะเคยได้ยินผีสางที่ชื่อว่า กระสือ มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย บ่อยครั้งที่มักจะมีการตั้งคำถามว่า ตามหลักสรีระวิทยาแล้ว มนุษย์จะสามารถถอดหัวและใส้ออกจากร่างก่ายโดยไม่ตายได้อย่างไร นั่นสิครับตัวผมเองก็สงสัยมานานว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เรื่องเล่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าจากคุณย่าของผมผู้ซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว


ขออุทิศเรื่องนี้ให้แก่คุณย่าของผมครับ

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

เมื่อประมาณปี 2549 เช้าวันเสาร์เดือนสิงหาคม เก๊าะขอนอนตื่นสายพักผ่อนหลังจากตรากตร่ำกับการเล่น ไม่ใช่สิการเรียนมาทั้งอาทิตย์ ในขณะที่ผมงัวเงียจวนจะเคลิ้มหลับต่อไปอีกซักหนึ่งหรือสองชั่วโมง ก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อผม ซึ่งผมก็จำได้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคุณย่าของผมเอง

“แมนเอ้ย ไปส่งย่าไปวัดหน่อย” ย่าผมตะโกนเรียกมาอีกครั้ง

แม้จะงัวเงียเพียงใดผมเองก็ต้องขานรับเสียก่อน เพราะคุณย่าผมนั้นเป็นสปอนเซอร์หลักในการซื้อขนมของผมเชียวล่ะ ขืนเงียบสปอนเซอร์ไม่สนับสนุนก็คงอดกินขนมเป็นแน่ ไม่นานนักคุณย่าก็เปิดประตูห้องผมพร้อมกับพูดว่า “ไปส่งย่าหน่อย ย่าจะไปปฎิบัติธรรมที่วัด” ผมค่อยๆชันตัวลุกนั่งพร้อมกับพูดกับย่าอย่างล้อเลียนว่า “โอเคซิ๊กกาแร็ต” ย่าผมก็ขำไปตามเรื่องตามราว

อ้อกระผมลืมแนะนำประเพณีอย่างหนึ่งของหมู่บ้านผมคือทุกวันพระ ผู้เฒ่าผู้แก่จะรวมตัวไปปฎิบัติธรรมที่วัด และค้างคืนร่วมกันที่ศาลาวัด แยกชาย แยกหญิงไปแต่ละศาลา เป็นประเพณีที่ดีนะครับ แต่ปัจจุบันเริ่มจางหายไปเสียแล้ว

ผมขยี้ตาด้วยความงัวเงีย เดินไปควบมอเซอร์ไซค์ปุโรทั่งที่จอดอยู่ใต้ต้นลำไยหลังบ้าน ปุเลงปุเลงไปส่งย่าผมไปที่วัด ทางไปวัดนั้นห่างจากบ้านผมพอสมควรเหมือนกัน เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ผู้เฒ่าผู้แก่เริ่มทยอยกันมาวัด บ้างก็พาลูกหลานมา บ้างก็รวมกลุ่มกันมา ต่างคุยจ้อแจ้เสียงดังไปหมด ผมเลี้ยวเข้าไปจอดใต้ต้นโพธิ์ใหญ่หน้าวัด วัดแห่งนั้นว่ากันว่าเป็นวัดเก่า บริเวณด้านหลังเจดีย์เคยเป็นเมรุมาก่อน แต่ได้มีการรื้อถอนออกไปนานแล้ว บริเวณรอบด้านของวัดจะเป็นทุ่งนาเขียวชะอุ่มสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว เว้นแต่ทางด้านหน้านี่แหละที่จะติดกับถนนลูกรัง ด้านหน้าวัดก็จะมีต้นตาลใหญ่ ต้นโพธิ์ตามเค้าเรื่องของวัดบ้านนอกนั่นแหละครับท่านผู้อ่าน หลังจากร่ำลากับคุณย่าเสร็จ ผมก็รีบแจ้นกลับไปนอนต่อ โดยหารู้ไหมว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามมา

ช่วงสายๆของวันอาทิตย์ ผมก็นั่งเล่นใต้ถุนบ้านของคุณย่ารอเพื่อนมาเล่นด้วยอันเป็นปกติ แต่ผมสังเกตเห็นคุณย่าของผมมีสีหน้าผิดปกติ ราวกับว่าพบเจอเรื่องประหลาดมากับตัวฉะนั้น ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากถามคุณย่าของผมว่าท่านเป็นอะไร ป้าพรรณขาเม้าส์ประจำหมู่บ้านก็รีบปรี่เข้ามาหาคุณย่าพร้อมกับยิงคำถามชนิดที่คุณย่าผมได้ยินแล้วต้องสะดุ้ง “เมื่อคือเจอผีกระสือหรอ เรื่องเป็นยังไง แล้วมันเป็นใคร” หลังจากได้ยินคำถามประโยคนี้ พลันผมก็คิดถึงเรื่องที่คุณพ่อของผม เคยเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว “เรื่องกระสือน่ะ”


ครั้งหนึ่งเมื่อผมยังเด็กผมเป็นคนที่กลัวผีจนขี้ขึ้นขมองเลยล่ะ แต่ขณะเดียวกันผมก็ชอบฟังเรื่องผี ซึ่งพ่อผมเองก็ไม่ปฎิเสธที่จะเมตตาเล่าให้กระผมฟัง จนมีเรื่องกระสือนี่แหละเป็นหนึ่งเรื่องที่ผมจำมาจนถึงทุกวันนี้ พ่อผมเล่าว่า กระสือนั้นต้องเป็นผู้หญิง กระสือผู้ชายนั้นไม่มี๊ กระสือจะชอบกินของเของเสีย รกเด็ก กินใส้กบใส้เขียด โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตก หรือช่วงที่ฝนหยุดแล้วจะพบเห็นได้ง่าย กระสือนั้นกลัวหนามเนื่องจากจะไปเกี่ยวใส้ของพวกหล่อนเอา พอกินนู่นกินนี่เสร็จในเมื่อพวกหล่อนไม่มีมือก็ต้องอาศัยผ้าชาวบ้านที่ตากไว้นี่แหละเช็ดปากแหน่ะผู้ดีเสียด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบมาแล้วตามตำนาน แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่พ่อผมได้เล่าต่างออกไป

โดยพ่อผมได้บอกกับผมว่า “อย่าให้เขาเห็นตัวถ้าเอ็งอยากมีชีวิตรอด!! เพราะถ้าเขาเห็นตัวเอ็งแล้ว เอ็งจะเหมือนได้รับลาภก้อนใหญ่แต่ว่าลาภนั้นจะนำมาซึ่งเงื่อนไขบางประการ” ราวกับสมบัติต้องสาปอย่างนั้นแหละยังไม่ทันที่ผมจะถามพ่อผมก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังบ่งบอกว่านี่ไม่ใชเรื่องล้อเล่นว่า “ถ้าเอ็งเห็นหน้าเขา รู้จักเขา แล้วเขาเห็นเอ็ง เอ็งจงทักชื่อเขา แล้วเขาจะให้เอ็งขออะไรก็ได้ที่เขาสามารถหาให้เอ็งได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สิน ที่ดิน แม้แต่ร่างกายของเขาก็ตาม แต่เอ็งห้ามนำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ มิเช่นนั้นเอ็งจะต้องตายตามคำสาปของเขา” เดี๋ยวนะเดี๋ยว ขุ่นพ่อขา ใครจะกล้าขอชมเรือนร่างอันงามชะม้อยของหล่อนกันล่ะเจ้าคะ ผมคิดอย่างติดตลก ส่วนเวริส์เคส หรือกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ “ถ้าเอ็งไม่รู้จักชื่อเขา แล้วเขาเห็นเอ็ง เขาจะขอให้เอ็งไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ถ้าวันไหนเอ็งรู้ว่าเขาเป็นใครแล้วเล่าให้คนอื่นฟังล่ะก็ เอ็งก็จะตาย” ตายโดยที่ไม่ได้ชมแม้แต่เรือนร่างอันงามชะม้อยของพวกหล่อน ซึ่งผมคงรู้สึกเป็นบุญตาพิลึกหากผมจะได้ชมเรือนร่างของพวกหล่อน

กลับมาเรื่องปัจจุบันทันด่วนหลังจากที่ป้าพรรณตั้งคำถามกับย่าผมอย่างที่ท่านไม่ทันตั้งตัวนั้น

คุณย่าผมก็ตอบได้เพียงแค่ “ใช่ ส่วนรายละเอียดยังไง ก็เหมือนกับที่เอ็งได้ยินมานั่นแหละ”  คุณย่าผมพูดตัดบท ราวกับว่าคุณย่าผมไม่อยากเล่าซักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ยังไม่ผ่านยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ แล้วป้าพรรณก็หันหลังเดินกลับไปอย่างเข้าใจ

คุณย่าหันมายิ้มน้อยๆให้กับผมพร้อมกับถามผมว่า “เอ็งอยากฟังมั้ยล่ะ” ด้วยความที่ผมยังเด็กอีกทั้งยังชอบฟังเรื่องลี้ลับ ผมรีบพยักหน้าพร้อมกับมีแววตาที่ตื่นเต้น สนใจอยากรู้อยากฟัง ย่าเริ่มขมวดคิ้วราวกับว่าพยายามนึกเหตุการณ์ ความรู้สึก บรรยากาศทุกอย่างที่อยู่ในเหตุการณ์ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด หลังจากทำวัตรเย็น นั่งสมาธิเสร็จแล้ว ก็ต่างแยกย้ายเข้านอน ผู้ชายก็อยู่ศาลาชาย ผู้หญิงก็อยู่ศาลาหญิง ศาลาหญิงนั้นอยู่ติดกับบริเวณด้านของวัดติดกับกำแพง ขณะนั้นอากาศเย็นชื้น พื้นวัดที่ปูด้วยซีเม้นต์ต่างมีน้ำขังเป็นจุดๆไป เสียงกบเขียดร้องระงมแซ่ซึงระคนกับเสียงพูดคุยกันของผู้ที่มาปฎิบัติธรรมที่วัด ขณะนั้นฝนซาเม็ดลงจวนใกล้จะหยุด ย่าผมรีบสาวเท้าไปยังที่พักผ่อนเอนกายภายใต้ชายคาของศาลาหลังใหญ่อายุราวๆสามสิบปีเห็นจะได้ เป็นศาลากึ่งไม้กึ่งปูนโดยมีเสาและคานเป็นไม้ ส่วนพื้นนั้นเป็นปูนยกสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณครึ่งเมตรได้ รอบด้านของศาลามีไม้กั้นเตี้ยๆเพื่อป้องกันมิให้คนหนึ่งคนใดพลัดตกจากศาลา ภายหลังจากเอนกายลงบนเสื่อเก่าๆที่ทางวัดได้จัดเตรียมไว้ให้ ย่าผมก็พลันระลึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ทำธุรส่วนตัวก่อนเข้านอน ครั้นจะลุกไปอีกก็คร้านที่จะเดิน จึงนอนฟังเสียงกบเขียดบรรเลงเพลงที่ไม่สามารถจะแกะตัวโน๊ตออกมาได้จนกระทั้งจอภาพนั้นวูบดับไป

อนุสติเริ่มทำงานอีกครั้งหลังจากความหนาวเย็นจากละอองฝนที่เพิ่งจะหยุดไปได้ไม่นาน เสียงกบเขียดยังร้องระงมอยู่เช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามาคืออาการจุกบริเวณท้องน้อยอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ควรจะไปขับน้ำออกจากร่างกายเสียนะ ย่าผมนอนคิดอยู่นานว่าจะไปดีหรือจะอั้นไว้ดี จึงหันรีหันขวางมองหานาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังของศาลาแห่งนั้น เพื่อจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร แต่นาฬิกาจำกรรมดันถ่านหมดไม่กระดิกกระเดียเสียอย่างนั้น ย่าผมจึงตัดสินใจปลุก ยายแม้น และยายจันทร์ที่นอนขนาบทั้งสองข้าง ทว่าไม่มีใครตื่นแม้เพียงคนเดียว บรรยากาศดึกสงัดไม่สามารถบ่งบอกเวลาใดๆได้ เอาวะ! ยังไงก็ต้องไปแล้วล่ะปวดเยี่ยวจะแย่ ย่าผมค่อยๆเดินลัดผ่านผู้คนที่นอนเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบบนศาลา บ้างก็นอนตะแคง บ้างก็นอนหงายต่างท่าต่างทางกันออกไป เมื่อพ้นจากบันใดศาลา คุณย่าผมก็มองหาของเท้าแตะคู่ของท่านที่ปะปนปกับรองเท้าแตะของผู้มีจิตศรัทธาในวันนี้ หลังจากสวมรองเท้าแตะแล้วคุณย่าก็รีบสาวเท้าก้าวเดินราวกับจะวิ่งก็มิปาน เมื่อมาถึงห้องน้ำกลับมีกระดาษสีขาวพร้อมกับตัวหนังสือที่เขียนว่า “ขออภัยห้องน้ำเสีย” ติดอยู่เกือบทุกห้อง แต่ที่สำคัญไปกว่าห้องน้ำเสียคือทุกห้องนั้นถูกล็อค!!! จะปล่อยลงตรงนั้นก็เขตวัดอายพระอายเจ้า คุณย่าผมจึงตัดสินใจว่าไปปลดทุกข์ด้านข้างวัด

แสงจันทร์คืนนี้ช่วงสว่างจ้าเหลือเกิน แต่ทำไมเหตุการณ์จึงเป็นใจให้ได้พบเจออะไรบ้างอย่างเช่นนี้คุณย่าเปรยกับตัวเอง ขณะเดียวกันมือคุณย่าได้สัมผัสประตูเหล็กอันเย็นเฉียบพลักออกไปเพื่อที่จะเดินไปด้านนอกบริเวณทุ่งนา ต้นข้าวสูงประมาณศอกหนึ่งได้ และเริ่มออกดอกออกรวงแล้วบ้าง เสียงร้องของกบเขียดยิ่งระงมชัดชนิดที่ว่าเสียงนั้นออกมาจากลำโพงสเตอร์รีโอชั้นดีก็ว่าได้ คุณย่าผมก็เหลียวซ้ายแลขวาหามุมที่เหมาะสมสำหรับการปลดทุกข์ ภายหลังจากปลดทุกข์เสร็จกำลังจะเดินกลับไปยังประตูที่ผ่านมายังทุ่งนาแห่งนี้ ทันใดนั้นคุณย่าผมพลันได้ยินเสียง “แอ๊บ!!!” อันเป็นเสียงกบหรือเขียดซึ่งร้อด้วยความตกใจ หรืออะไรบางอย่าง คุณย่าผมหันไปหาต้นทางของเสียง กลับเห็นแสงไฟสีเขียวสว่างวาบ วาบ วาบ แสงนั้นมาจากใส้!! ใส้ของใครคนหนึ่งที่ลอยอยู่พร้อมกับศรีษะของหญิงสาวผมยาวสยายลงมา เพียงเท่านี้แหละครับที่คุณย่าผมเล่าให้ฟัง ท่านไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังต่อ ผมเองก็ไม่ประสงค์ที่จะถาม เพราะคุณย่าผมท่านคงไม่สะดวกใจที่จะเล่าต่อ ผ่านมาไม่ช้าไม่นานคุณย่าผมท่านก็เริ่มไม่สบายเจ็บปวดอ๊อดๆแอ๊ดๆ และก็จากไปอย่างสงบในอีกประมาณสองเดือนถัดมา ปริศนาเรื่องนี้ยังค้างคาใจกระผมอยู่ไม่น้อยว่าเหตุการณืต่อไปเป็นยังไง หรือคำสาปที่พ่อผมเคยเล่าให้ฟังจะเป็นความจริง และที่สำคัญใครเป็นผีกระสือกันแน่

จบตอนที่ 2---------------------------------------------------

จากใจผู้เขียน : ภายหลังจากชาปณกิจคุณย่าผมผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ผมได้ลองสอบถามพ่อผมอย่างไม่ต้องการคำตอบนัก “พ่อรู้มั้ยครับว่าใครเป็นผีกระสือ” พ่อผมนั่งคิดชั่วขณะหนึ่งพร้อมกับตอบคำถามมาว่า “ก็พอจะรู้นะ แต่จะไปยุ่งกับมันทำไมล่ะ ก็ต่างคนต่างอยู่ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันเลย” หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้พบเจอ ”กระสือ” ในหมู่บ้านผมอีกเลย
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เรื่องเล่าสยองขวัญ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่