อ่านเจอเรื่อง "กูรู หรือ ผู้ร้าย" ใน Forbes Thailand Magazine Facebook เราว่าให้ข้อคิดดีมากๆ เลย
ยิ่งในยุคที่ "โค้ช" ในบ้านเมืองเราผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จริงๆ ก็นับเป็นกระแสตื่นการเรียนรู้ที่ดีมากๆ นะเราว่า
แต่ถ้าต้องเสียเงิน เสียเวลา เพื่อไปเข้าเรียนอะไรสักอย่าง ก็น่าจะได้เรียนกับผู้รู้จริงๆ มีประสบการณ์จริงๆ
คำถาม?
เพื่อนๆ มาช่วยกันแชร์หน่อยจ้ะ ว่าคุณมีวิธีการคัดกรองงานสัมมนาที่สนใจ หรือเรียนเสริมในเรื่องต่างๆ อย่างไร?
ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน เผื่อเป็นแนวทางให้อีกหลายๆ คนได้รู้ด้วย ป้องกันการต้องตกเป็น "เหยื่อ" ของกูรูปลอมๆ
ซึ่งต่อให้เข้าคอร์สฟรีๆ เราว่าก็ต้องสละเวลาอันมีค่าไปนะ สำหรับเรา "เวลา" มีความสำคัญมากๆ เลย
ส่วนเรา ...คอร์สที่เราเรียนต้องเอามาใช้ในงานได้จริง ส่วนเรื่องราคาเรามักคิดเป็นอันดับสุดท้ายเลย
มันแล้วแต่ว่าเรียนเรื่องอะไร ใครสอน ถูกสุดที่เราจ่ายคือ "ฟรี ไม่เสียเงิน" แพงสุด คือ 35,000 บาท
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ บัญชี/ ภาษี สำหรับเจ้าของกิจการ 10 วัน
เน้นว่าคนสอนต้องมีผลงานที่เรารู้และจับต้องได้ คือ ไปเรียนแล้วไม่รู้สึกเสียดายแน่ๆ
อันไหนหาได้ฟรีจากอินเตอร์เน็ต หรือถามผู้รู้ได้ฟรีๆ ก็ไม่ไปเรียนให้เสียเวลา
ถ้าต้องเสียตังค์นี่ เราเช็คประวัติคนสอนกันก่อนเรียนกันเลยอ้ะ
อ่านบทความ + สเตตัสของพี่บอย วิสูตร ที่เราเอามาฝากเลยจ้า ^^
==================================
"กูรู หรือ ผู้ร้าย"
เรื่อง: Nathan Vardi เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา
ตอนที่ Rhonda Byrne เขียนหนังสือขายดีเรื่อง The Secret ซึ่งเป็นหนังสือประเภทที่ช่วยให้คนพัฒนาตัวเอง และเน้นในเรื่องข้อดีของการคิดบวกนั้น ปรากฏว่ามันทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีย่อมๆ ไปเลย เพราะนับจากปี 2006 เป็นต้นมาหนังสือของเธอตีพิมพ์ไปแล้วกว่า 20 ล้านเล่ม ซึ่งการที่หนังสือของเธอขายดีขนาดนั้น ก็ส่งผลดีต่อบรรดาโค้ชด้านการใช้ชีวิต 24 คนที่เธอกล่าวถึงในหนังสือไปด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Lee Brower อดีตตัวแทนขายประกันซึ่งพูดถึงเรื่องของการพก “หินสำนึกคุณ” ในเวลาที่ชีวิตไม่เป็นไปดังที่วาดหวังเอาไว้
ทุกวันนี้ Brower ขายหินที่สลักคำว่า “Gratitude” (โดยตั้งราคาไว้ที่สามก้อน 34.99 เหรียญ) โดยกำไรจากการขายจะบริจาคให้กับการกุศล ซึ่งถือเป็นส่วนที่เล็กมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา ที่บริษัท Empowered Wealth เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำกับลูกค้าเกี่ยวกับวิธีที่จะถ่ายทอด “สินทรัพย์หลักในลักษณะเดียวกันกับการถ่ายทอดค่านิยมของครอบครัว” รวมถึงการมอบเงินให้แก่ทายาทโดยผ่านการวางแผนมรดกด้วย เขาได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งและพิมพ์ขายด้วยตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า The Brower Quadrant ซึ่งพูดถึงความเชื่อของเขาว่า “ตัวเราสามารถสร้างผลกระทบให้เกิดกับสังคมทุกด้านได้ด้วยการสร้างครอบครัวให้แข็งแรง” นักวางแผนการเงินต้องจ่ายเงินถึง 2,495 เหรียญในเข้าร่วมใน workshop ของ Brower เพื่อที่จะได้สิทธิ์ในการเรียกตัวเองว่าเป็น “ทูต” ของ Empowered Wealth
“เขา มีอิทธิพลอย่างมากกับชีวิตของผม เพราะวิธีของเขามันเป็นวิธีที่เป็นระบบในการที่จะนำความร่ำรวยที่แท้จริงใน ชีวิตมาใช้ – นั่นก็คือประสบการณ์และค่านิยมหลักของคุณ – เช่นเดียวกับเงิน” Chris Doughty นักวางแผนทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาต พูดถึง Brower อย่างชื่นชม แต่คนอีกประมาณ 150 คนซึ่งร่วมใส่เงินลงทุนรวม 60 ล้านเหรียญกับ Brower โดยผ่านกองทุนที่เขาตั้งขึ้นที่ใช้ชื่อว่า Secured Lending Fund เพื่อปล่อยเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบของ bridge loan ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะว่าไปแล้วเงินเกือบทั้งก้อนนั้นสูญไปหมดแล้ว
“ผมตกหลุมนี้ได้ยังไงกันนะเนี่ย?” Ralph Dorsten อายุ 70 ปีโอดครวญ เขาเป็นอดีตผู้จัดการฝ่ายบัญชีของ IBM ซึ่งเกษียณอายุแล้ว ถอนเงินก้อนใหญ่จากบัญชีเงินสะสมเพื่อการเกษียณอายุ (IRA) ของเขาไปลงทุนใน Secured Lending Fund ซึ่งทำให้เขากลายมาเป็นหนึ่งใน 33 นักลงทุนที่เป็นโจทก์ฟ้อง Brower ในข้อหาฉ้อโกง
ในส่วนนี้ Brower ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด โดยให้สัมภาษณ์กับ Forbes ว่า “ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่เข้าข่ายของการฉ้อโกงเลย” เขาบอกว่าเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้สินเชื่อที่เขาดูแลอยู่กลายเป็นสินเชื่อที่ มีปัญหา และการกระทำของเรานับตั้งแต่ที่สินเชื่อเริ่มมีปัญหาก็แสดงชัดเจนถึงความ มุ่งมั่นของเขาในการพยายามที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่า Brower มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่ แต่ในขณะนี้บทเรียนจากชายวัย 67 ปีคนนี้ก็กำลังสอนเราอยู่ ผ่านปัญหาของ Secured Lending Fund ซึ่งทำให้มีผู้ถูกตัดสินจำคุกแล้วไม่น้อยกว่าสามคน และให้บทเรียนที่เจ็บปวดของการไว้วางใจคนที่ตั้งตัวเป็นกูรูที่จะช่วยคุณ แก้ไขปัญหาทางการเงินให้กับคุณ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การโค้ชเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ชาวอเมริกันและเป็นธุรกิจที่ทำเงินปีละหลายพันล้านเหรียญ คนที่จะเข้ามาเป็นโค้ชไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะอะไร โค้ชชื่อดังส่วนใหญ่มักจะเขียนหนังสือสักเล่ม แล้วก็เดินสายพูดบนเวทีเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ฟัง
Brower เริ่มทำงานให้กับบริษัทที่ดูแลเรื่องการวางแผนทางการเงินและการจัดการมรดก แห่งหนึ่งในรัฐ California และต่อมาก็ได้ใบอนุญาตขายประกัน และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ Brower บอกว่าการที่เขามีโอกาสได้ทำงานกับเจ้าของธุรกิจครอบครัว และได้เห็นว่าการที่ธุรกิจจะรักษาความร่ำรวยให้ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นได้ นั้นเป็นเรื่องที่ยาก ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะเข้ามาเป็นโค้ชในด้านนี้ “เราได้พัฒนาระบบที่จะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน” เขาบอก
อย่าง ไรก็ตามความพยายามส่งเสริมการสร้างความแข็งแรงให้กับครอบครัวได้นำไปสู่การ ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ฟองสบู่ในตลาดสินเชื่อเริ่มโตขึ้นในทศวรรษที่แล้ว Brower และ Robert Keys หุ้นส่วนตั้งกองทุน Secured Lending Fund ขึ้นมาในปี 2004 ทางบริษัทได้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อนำเงินไปปล่อยกู้ระยะสั้นแบบ bridge loans ให้กับการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าสูง โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 12%-18%
Keys เป็นคนที่มีสีสันน่าสนใจ เขาเป็นผู้บริหารของ Private Consulting Group ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจนายหน้าอยู่ที่รัฐ Oregon มุ่งเน้นดูแลลูกค้าส่วนบุคคลที่มีรายได้สูง แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำธุรกิจต่อแล้ว จากข้อมูลในการเสนอขายกองทุน Secured Lending Fund ครั้งแรกระบุไว้ว่า Brower เป็นเจ้าของร่วมของ Private Consulting แม้จะดูเหมือนว่า Brower อาจจะทำหน้าที่เพียงแค่เป็นนายหน้าคนหนึ่งของบริษัทเท่านั้นโดยไม่ได้มีการถือหุ้นอย่างเป็นทางการ
อย่าง ไรก็ตาม บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจปล่อยกู้ของพวก เขาไปแล้ว โดยพวกเขาสามารถระดมทุนได้มากถึง 60 ล้านเหรียญ ซึ่งทั้ง Brower และ Keys กระจายเงินออกไปยังกิจการอื่นๆ อย่างน้อยแปดแห่งเพื่อปล่อยเงินกู้ต่อไปให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การทำอย่างนี้เป็นประโยชน์กับพวกเขาอย่างมากเพราะสามารถทำเงินได้จากทั้งสอง ขา กล่าวคือ กิจการนายหน้าของ Keys และ Brower คิดค่าคอมมิชชั่นจากนักลงทุน 6% ในทุกๆ ดีล ซึ่งครึ่งหนึ่งของค่าคอมมิชชั่นนั้นจะเก็บไว้ในบัญชีสำรองจนกว่าตั๋วสัญญา ใช้เงินที่ออกจะมีการชำระคืนครบแล้ว
ต่อจากนั้น ในการปล่อยกู้พวกเขาจะคิดค่าธรรมเนียมในการจัดการเงินกู้ 2% ซึ่งในคำฟ้องของนักลงทุนกล่าวหาว่า Secured Lending Fund อาจจะคิดค่าธรรมเนียมและค่าปรับในกรณีผิดนัดชำระในอัตราที่สูงซึ่งไม่ได้มีการเปิดเผยต่อผู้ลงทุนด้วย “ในปีแรกๆ ที่มีเงินไหลเข้ามา และเราก็นำเงินมาตั้งสำรองกันเผื่อไว้ แต่สำรองก้อนนั้นมันหมดไปตั้งนานแล้ว” Brower บอกแต่เขาปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่าเขา และ Keys ได้ค่าธรรมเนียมไปเท่าไหร่ Brower ยืนยันว่ามีการเปิดเผยค่าธรรมเนียมทั้งหมดอย่างถูกต้อง
ปี 2011 หน่วยงานภายใต้ secured lending ก็ยึดกรรมสิทธิ์ของอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ถูกใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำ ประกันสินเชื่อ ซึ่งในช่วงนั้น Brower บอกกับนักลงทุนรายบุคคลซึ่งซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไปว่าเขาอยากให้พวกเขาได้มีสิทธิ์ในการออกเสียงในหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ Secured Lending Fund
Robert Keys ซึ่งในตอนแรกเป็นคนที่ทำการตลาดให้กับ Secured Lending Fund และเป็นผู้ควบคุมกิจการร่วมกับ Brower ก็ยอมรับสารภาพในคดีฉ้อโกงล้มละลายในปีนี้แล้วและถูกตัดสินลงโทษจำคุกเกือบ หกเดือน ความผิดกระทงหนึ่งก็คือ โกงเงินหญิงชราคนหนึ่งเป็นมูลค่า 1.1 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ Keys ได้ยกหุ้นของเขาใน Secured Lending Fund ให้กับ Brower และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันอีกต่อไป
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนนี้? “ผมรู้สึกสงสารพวกเขาทุกคน” Brower บอก “ผมรู้สึกแย่มากๆ เลยทีเดียว”
แต่มันก็ยังสามารถแย่ได้กว่านี้อีก เพราะเมื่อปี 2011 โค้ชด้านการใช้ชีวิตอีกคนที่หนังสือ The Secret พูดถึงคือ James Arthur Ray ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาทหลังจากที่เขานำออกกำลัง กายอย่างหักโหมและทำให้มีผู้เสียชีวิตสามคน บทเรียนจากเรื่องนี้
ก็คือ: คนที่ยืนยันหนักแน่นว่ามีคำตอบสำหรับทุกปัญหาทางการเงินของคุณมักจะไม่สามารถทำได้อย่างที่โม้
และถ้าสามารถทำได้จริง พวกเขาก็จะไม่มัวกระตือรือร้นหาคนที่จะมาให้พวกเขา “ช่วย” หรอก
Cr.
http://forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=615
=================================
อีกสเตตัสของพี่บอย วิสูตร ที่เราว่าให้ข้อคิดเตือนใจดีมากๆ เช่นกันค่ะ
Boy's Thought
เรากำลังอยู่ในยุคที่กูรูเต็มบ้านเต็มเมือง
จนเกิดอาการ #กูงง
บางคนเรียนมาก เรียนมันทุกอย่าง
ถามเมื่อไหร่เป็นบอกว่าฉันกำลังเรียนนู่นนั่นนี่อยู่
ภาษาอังกฤษ เรียกคนกลุ่มนี้ว่า Seminar Junkie
แปลว่า ผู้เสพติดสัมมนา
การเรียนไม่ใช่ไม่ดี ดีแน่นอน
แต่ถ้าอะไรที่มากไป ย่อมไม่ดี
บางคนเรียนจนลมปราณแตกซ่าน
เคล็ดวิชาไหมฟ้าตีกัน
ไม่รู้จะเชื่อกูรูไหนดี เพราะ #กูงง
นอกจากอาการ #กูงง แล้ว
บางคนยังเกิดอาการ #กูจน
เนื่องจากจ่ายค่าสัมมนาหนักมาก
เพราะบรรยากาศมันพาไป กลัวพลาดโอกาส
กลัวเพื่อนว่าไม่รู้จักลงทุนในตัวเอง
วิธีแก้ คือ หยุดเรียนบ้างก็ได้ เราไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอกครับ
ให้เอาไอ้ที่เคยไปเรียน ๆ มา เอามาลงมือทำสักอย่าง
ไปให้มันสุดสักทาง เชื่อตำราสักเล่ม
ถ้าทำแล้วไม่ถูกจริตกับเรา ก็ลองอีกตำรา
แต่อย่าลองพร้อมกัน 10 ตำรา 10 กูรู
สำคัญคือ จงลงมือทำในสิ่งที่เรียนมา
ไม่ใช่อยู่ในพื้นที่ปลอบใจว่า
อย่างน้อยฉันก็ตั้งใจกับชีวิตด้วยการมาเรียนแล้วนะ
จะเอาอะไรกับฉันอีก
ใครที่มาเรียนกับผมในยุคหลัง ๆ
ผมจะบอกเสมอว่าผมมีกฎอยู่ 2 ข้อ
กฎข้อแรก "กฎ 1 สิ่ง"
คุณไม่ต้องจดเป็นเลคเชอร์เตรียมสอบ
เพราะถึงจด กลับไปคุณก็ไม่ได้อ่าน เพราะมันไม่มีสอบ
เพราะฉะนั้นขอให้ถามตัวเองว่า
"หนึ่งสิ่ง" ที่ฉันเรียนรู้และจะเก็บกลับไปจากสัมมนาครั้งนี้คืออะไร?
วิธีนี้จะทำให้คุณตั้งใจจับประเด็นให้ได้ ไม่ใช่ฟังและจดไปเรื่อย
เพื่อหวังว่าจะได้อ่านอีกที
มันอาจจะเป็นแค่ประโยคเดียวก็ยังได้ แต่จุดประกายบางอย่างให้เรา
เท่านั้นก็พอครับ
กฎข้อสอง "กฎ 72 ชั่วโมง"
กฎนี้มีอยู่ว่า ถ้าเรียนจบแล้วไม่นำไปลงมือทำภายใน 72 ชั่วโมง
เวทย์มนต์นั้นจะเสื่อมสลายหายไป
สิ่งที่คุณเรียนไปจะไม่มีประโยชน์
เพราะคุณไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เรียนอีกต่อไปแล้ว
ถ้าเรียนเขียนหนังสือ อย่างน้อยขอให้กลับไปเขียนอะไรบางอย่าง
ถ้าเรียนหุ้น อย่างน้อยต้องเปิดพอร์ต ลองเล่นจริง
ถ้าเรียนคอนโด อย่างน้อยต้องออกสำรวจพื้นที่หาคอนโด
สรุปว่า รู้ แต่ไม่ลงมือทำ มันก็คือไม่รู้นั่นแหละ
เรากำลังอยู่ในยุคที่กูรูเต็มบ้านเต็มเมือง
จนเกิดอาการ #กูงง
และโปรดจงจำไว้ว่าไม่มีอะไรน่าเศร้าที่สุดเท่ากับ
#กูงง และ #กูจน ไปพร้อม ๆ กัน
ลงมือทำได้แล้วครับ
Cr.
https://www.facebook.com/thisisboysthought/posts/427026324173972?fref=nf
"กูรู หรือ ผู้ร้าย!" โปรดแวะอ่านสักนิด สำหรับคนชอบเรียนรู้และลงทุนเข้าสัมมนาเป็นว่าเล่น!
ยิ่งในยุคที่ "โค้ช" ในบ้านเมืองเราผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จริงๆ ก็นับเป็นกระแสตื่นการเรียนรู้ที่ดีมากๆ นะเราว่า
แต่ถ้าต้องเสียเงิน เสียเวลา เพื่อไปเข้าเรียนอะไรสักอย่าง ก็น่าจะได้เรียนกับผู้รู้จริงๆ มีประสบการณ์จริงๆ
คำถาม?
เพื่อนๆ มาช่วยกันแชร์หน่อยจ้ะ ว่าคุณมีวิธีการคัดกรองงานสัมมนาที่สนใจ หรือเรียนเสริมในเรื่องต่างๆ อย่างไร?
ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน เผื่อเป็นแนวทางให้อีกหลายๆ คนได้รู้ด้วย ป้องกันการต้องตกเป็น "เหยื่อ" ของกูรูปลอมๆ
ซึ่งต่อให้เข้าคอร์สฟรีๆ เราว่าก็ต้องสละเวลาอันมีค่าไปนะ สำหรับเรา "เวลา" มีความสำคัญมากๆ เลย
ส่วนเรา ...คอร์สที่เราเรียนต้องเอามาใช้ในงานได้จริง ส่วนเรื่องราคาเรามักคิดเป็นอันดับสุดท้ายเลย
มันแล้วแต่ว่าเรียนเรื่องอะไร ใครสอน ถูกสุดที่เราจ่ายคือ "ฟรี ไม่เสียเงิน" แพงสุด คือ 35,000 บาท
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ บัญชี/ ภาษี สำหรับเจ้าของกิจการ 10 วัน
เน้นว่าคนสอนต้องมีผลงานที่เรารู้และจับต้องได้ คือ ไปเรียนแล้วไม่รู้สึกเสียดายแน่ๆ
อันไหนหาได้ฟรีจากอินเตอร์เน็ต หรือถามผู้รู้ได้ฟรีๆ ก็ไม่ไปเรียนให้เสียเวลา
ถ้าต้องเสียตังค์นี่ เราเช็คประวัติคนสอนกันก่อนเรียนกันเลยอ้ะ
อ่านบทความ + สเตตัสของพี่บอย วิสูตร ที่เราเอามาฝากเลยจ้า ^^
==================================
"กูรู หรือ ผู้ร้าย"
เรื่อง: Nathan Vardi เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา
ตอนที่ Rhonda Byrne เขียนหนังสือขายดีเรื่อง The Secret ซึ่งเป็นหนังสือประเภทที่ช่วยให้คนพัฒนาตัวเอง และเน้นในเรื่องข้อดีของการคิดบวกนั้น ปรากฏว่ามันทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีย่อมๆ ไปเลย เพราะนับจากปี 2006 เป็นต้นมาหนังสือของเธอตีพิมพ์ไปแล้วกว่า 20 ล้านเล่ม ซึ่งการที่หนังสือของเธอขายดีขนาดนั้น ก็ส่งผลดีต่อบรรดาโค้ชด้านการใช้ชีวิต 24 คนที่เธอกล่าวถึงในหนังสือไปด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Lee Brower อดีตตัวแทนขายประกันซึ่งพูดถึงเรื่องของการพก “หินสำนึกคุณ” ในเวลาที่ชีวิตไม่เป็นไปดังที่วาดหวังเอาไว้
ทุกวันนี้ Brower ขายหินที่สลักคำว่า “Gratitude” (โดยตั้งราคาไว้ที่สามก้อน 34.99 เหรียญ) โดยกำไรจากการขายจะบริจาคให้กับการกุศล ซึ่งถือเป็นส่วนที่เล็กมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา ที่บริษัท Empowered Wealth เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำกับลูกค้าเกี่ยวกับวิธีที่จะถ่ายทอด “สินทรัพย์หลักในลักษณะเดียวกันกับการถ่ายทอดค่านิยมของครอบครัว” รวมถึงการมอบเงินให้แก่ทายาทโดยผ่านการวางแผนมรดกด้วย เขาได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งและพิมพ์ขายด้วยตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า The Brower Quadrant ซึ่งพูดถึงความเชื่อของเขาว่า “ตัวเราสามารถสร้างผลกระทบให้เกิดกับสังคมทุกด้านได้ด้วยการสร้างครอบครัวให้แข็งแรง” นักวางแผนการเงินต้องจ่ายเงินถึง 2,495 เหรียญในเข้าร่วมใน workshop ของ Brower เพื่อที่จะได้สิทธิ์ในการเรียกตัวเองว่าเป็น “ทูต” ของ Empowered Wealth
“เขา มีอิทธิพลอย่างมากกับชีวิตของผม เพราะวิธีของเขามันเป็นวิธีที่เป็นระบบในการที่จะนำความร่ำรวยที่แท้จริงใน ชีวิตมาใช้ – นั่นก็คือประสบการณ์และค่านิยมหลักของคุณ – เช่นเดียวกับเงิน” Chris Doughty นักวางแผนทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาต พูดถึง Brower อย่างชื่นชม แต่คนอีกประมาณ 150 คนซึ่งร่วมใส่เงินลงทุนรวม 60 ล้านเหรียญกับ Brower โดยผ่านกองทุนที่เขาตั้งขึ้นที่ใช้ชื่อว่า Secured Lending Fund เพื่อปล่อยเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบของ bridge loan ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะว่าไปแล้วเงินเกือบทั้งก้อนนั้นสูญไปหมดแล้ว
“ผมตกหลุมนี้ได้ยังไงกันนะเนี่ย?” Ralph Dorsten อายุ 70 ปีโอดครวญ เขาเป็นอดีตผู้จัดการฝ่ายบัญชีของ IBM ซึ่งเกษียณอายุแล้ว ถอนเงินก้อนใหญ่จากบัญชีเงินสะสมเพื่อการเกษียณอายุ (IRA) ของเขาไปลงทุนใน Secured Lending Fund ซึ่งทำให้เขากลายมาเป็นหนึ่งใน 33 นักลงทุนที่เป็นโจทก์ฟ้อง Brower ในข้อหาฉ้อโกง
ในส่วนนี้ Brower ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด โดยให้สัมภาษณ์กับ Forbes ว่า “ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่เข้าข่ายของการฉ้อโกงเลย” เขาบอกว่าเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้สินเชื่อที่เขาดูแลอยู่กลายเป็นสินเชื่อที่ มีปัญหา และการกระทำของเรานับตั้งแต่ที่สินเชื่อเริ่มมีปัญหาก็แสดงชัดเจนถึงความ มุ่งมั่นของเขาในการพยายามที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่า Brower มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่ แต่ในขณะนี้บทเรียนจากชายวัย 67 ปีคนนี้ก็กำลังสอนเราอยู่ ผ่านปัญหาของ Secured Lending Fund ซึ่งทำให้มีผู้ถูกตัดสินจำคุกแล้วไม่น้อยกว่าสามคน และให้บทเรียนที่เจ็บปวดของการไว้วางใจคนที่ตั้งตัวเป็นกูรูที่จะช่วยคุณ แก้ไขปัญหาทางการเงินให้กับคุณ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การโค้ชเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ชาวอเมริกันและเป็นธุรกิจที่ทำเงินปีละหลายพันล้านเหรียญ คนที่จะเข้ามาเป็นโค้ชไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะอะไร โค้ชชื่อดังส่วนใหญ่มักจะเขียนหนังสือสักเล่ม แล้วก็เดินสายพูดบนเวทีเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ฟัง
Brower เริ่มทำงานให้กับบริษัทที่ดูแลเรื่องการวางแผนทางการเงินและการจัดการมรดก แห่งหนึ่งในรัฐ California และต่อมาก็ได้ใบอนุญาตขายประกัน และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ Brower บอกว่าการที่เขามีโอกาสได้ทำงานกับเจ้าของธุรกิจครอบครัว และได้เห็นว่าการที่ธุรกิจจะรักษาความร่ำรวยให้ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นได้ นั้นเป็นเรื่องที่ยาก ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะเข้ามาเป็นโค้ชในด้านนี้ “เราได้พัฒนาระบบที่จะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน” เขาบอก
อย่าง ไรก็ตามความพยายามส่งเสริมการสร้างความแข็งแรงให้กับครอบครัวได้นำไปสู่การ ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ฟองสบู่ในตลาดสินเชื่อเริ่มโตขึ้นในทศวรรษที่แล้ว Brower และ Robert Keys หุ้นส่วนตั้งกองทุน Secured Lending Fund ขึ้นมาในปี 2004 ทางบริษัทได้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อนำเงินไปปล่อยกู้ระยะสั้นแบบ bridge loans ให้กับการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าสูง โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 12%-18%
Keys เป็นคนที่มีสีสันน่าสนใจ เขาเป็นผู้บริหารของ Private Consulting Group ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจนายหน้าอยู่ที่รัฐ Oregon มุ่งเน้นดูแลลูกค้าส่วนบุคคลที่มีรายได้สูง แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำธุรกิจต่อแล้ว จากข้อมูลในการเสนอขายกองทุน Secured Lending Fund ครั้งแรกระบุไว้ว่า Brower เป็นเจ้าของร่วมของ Private Consulting แม้จะดูเหมือนว่า Brower อาจจะทำหน้าที่เพียงแค่เป็นนายหน้าคนหนึ่งของบริษัทเท่านั้นโดยไม่ได้มีการถือหุ้นอย่างเป็นทางการ
อย่าง ไรก็ตาม บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจปล่อยกู้ของพวก เขาไปแล้ว โดยพวกเขาสามารถระดมทุนได้มากถึง 60 ล้านเหรียญ ซึ่งทั้ง Brower และ Keys กระจายเงินออกไปยังกิจการอื่นๆ อย่างน้อยแปดแห่งเพื่อปล่อยเงินกู้ต่อไปให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การทำอย่างนี้เป็นประโยชน์กับพวกเขาอย่างมากเพราะสามารถทำเงินได้จากทั้งสอง ขา กล่าวคือ กิจการนายหน้าของ Keys และ Brower คิดค่าคอมมิชชั่นจากนักลงทุน 6% ในทุกๆ ดีล ซึ่งครึ่งหนึ่งของค่าคอมมิชชั่นนั้นจะเก็บไว้ในบัญชีสำรองจนกว่าตั๋วสัญญา ใช้เงินที่ออกจะมีการชำระคืนครบแล้ว
ต่อจากนั้น ในการปล่อยกู้พวกเขาจะคิดค่าธรรมเนียมในการจัดการเงินกู้ 2% ซึ่งในคำฟ้องของนักลงทุนกล่าวหาว่า Secured Lending Fund อาจจะคิดค่าธรรมเนียมและค่าปรับในกรณีผิดนัดชำระในอัตราที่สูงซึ่งไม่ได้มีการเปิดเผยต่อผู้ลงทุนด้วย “ในปีแรกๆ ที่มีเงินไหลเข้ามา และเราก็นำเงินมาตั้งสำรองกันเผื่อไว้ แต่สำรองก้อนนั้นมันหมดไปตั้งนานแล้ว” Brower บอกแต่เขาปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่าเขา และ Keys ได้ค่าธรรมเนียมไปเท่าไหร่ Brower ยืนยันว่ามีการเปิดเผยค่าธรรมเนียมทั้งหมดอย่างถูกต้อง
ปี 2011 หน่วยงานภายใต้ secured lending ก็ยึดกรรมสิทธิ์ของอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ถูกใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำ ประกันสินเชื่อ ซึ่งในช่วงนั้น Brower บอกกับนักลงทุนรายบุคคลซึ่งซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไปว่าเขาอยากให้พวกเขาได้มีสิทธิ์ในการออกเสียงในหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ Secured Lending Fund
Robert Keys ซึ่งในตอนแรกเป็นคนที่ทำการตลาดให้กับ Secured Lending Fund และเป็นผู้ควบคุมกิจการร่วมกับ Brower ก็ยอมรับสารภาพในคดีฉ้อโกงล้มละลายในปีนี้แล้วและถูกตัดสินลงโทษจำคุกเกือบ หกเดือน ความผิดกระทงหนึ่งก็คือ โกงเงินหญิงชราคนหนึ่งเป็นมูลค่า 1.1 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ Keys ได้ยกหุ้นของเขาใน Secured Lending Fund ให้กับ Brower และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันอีกต่อไป
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนนี้? “ผมรู้สึกสงสารพวกเขาทุกคน” Brower บอก “ผมรู้สึกแย่มากๆ เลยทีเดียว”
แต่มันก็ยังสามารถแย่ได้กว่านี้อีก เพราะเมื่อปี 2011 โค้ชด้านการใช้ชีวิตอีกคนที่หนังสือ The Secret พูดถึงคือ James Arthur Ray ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาทหลังจากที่เขานำออกกำลัง กายอย่างหักโหมและทำให้มีผู้เสียชีวิตสามคน บทเรียนจากเรื่องนี้
ก็คือ: คนที่ยืนยันหนักแน่นว่ามีคำตอบสำหรับทุกปัญหาทางการเงินของคุณมักจะไม่สามารถทำได้อย่างที่โม้
และถ้าสามารถทำได้จริง พวกเขาก็จะไม่มัวกระตือรือร้นหาคนที่จะมาให้พวกเขา “ช่วย” หรอก
Cr. http://forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=615
=================================
อีกสเตตัสของพี่บอย วิสูตร ที่เราว่าให้ข้อคิดเตือนใจดีมากๆ เช่นกันค่ะ
Boy's Thought
เรากำลังอยู่ในยุคที่กูรูเต็มบ้านเต็มเมือง
จนเกิดอาการ #กูงง
บางคนเรียนมาก เรียนมันทุกอย่าง
ถามเมื่อไหร่เป็นบอกว่าฉันกำลังเรียนนู่นนั่นนี่อยู่
ภาษาอังกฤษ เรียกคนกลุ่มนี้ว่า Seminar Junkie
แปลว่า ผู้เสพติดสัมมนา
การเรียนไม่ใช่ไม่ดี ดีแน่นอน
แต่ถ้าอะไรที่มากไป ย่อมไม่ดี
บางคนเรียนจนลมปราณแตกซ่าน
เคล็ดวิชาไหมฟ้าตีกัน
ไม่รู้จะเชื่อกูรูไหนดี เพราะ #กูงง
นอกจากอาการ #กูงง แล้ว
บางคนยังเกิดอาการ #กูจน
เนื่องจากจ่ายค่าสัมมนาหนักมาก
เพราะบรรยากาศมันพาไป กลัวพลาดโอกาส
กลัวเพื่อนว่าไม่รู้จักลงทุนในตัวเอง
วิธีแก้ คือ หยุดเรียนบ้างก็ได้ เราไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอกครับ
ให้เอาไอ้ที่เคยไปเรียน ๆ มา เอามาลงมือทำสักอย่าง
ไปให้มันสุดสักทาง เชื่อตำราสักเล่ม
ถ้าทำแล้วไม่ถูกจริตกับเรา ก็ลองอีกตำรา
แต่อย่าลองพร้อมกัน 10 ตำรา 10 กูรู
สำคัญคือ จงลงมือทำในสิ่งที่เรียนมา
ไม่ใช่อยู่ในพื้นที่ปลอบใจว่า
อย่างน้อยฉันก็ตั้งใจกับชีวิตด้วยการมาเรียนแล้วนะ
จะเอาอะไรกับฉันอีก
ใครที่มาเรียนกับผมในยุคหลัง ๆ
ผมจะบอกเสมอว่าผมมีกฎอยู่ 2 ข้อ
กฎข้อแรก "กฎ 1 สิ่ง"
คุณไม่ต้องจดเป็นเลคเชอร์เตรียมสอบ
เพราะถึงจด กลับไปคุณก็ไม่ได้อ่าน เพราะมันไม่มีสอบ
เพราะฉะนั้นขอให้ถามตัวเองว่า
"หนึ่งสิ่ง" ที่ฉันเรียนรู้และจะเก็บกลับไปจากสัมมนาครั้งนี้คืออะไร?
วิธีนี้จะทำให้คุณตั้งใจจับประเด็นให้ได้ ไม่ใช่ฟังและจดไปเรื่อย
เพื่อหวังว่าจะได้อ่านอีกที
มันอาจจะเป็นแค่ประโยคเดียวก็ยังได้ แต่จุดประกายบางอย่างให้เรา
เท่านั้นก็พอครับ
กฎข้อสอง "กฎ 72 ชั่วโมง"
กฎนี้มีอยู่ว่า ถ้าเรียนจบแล้วไม่นำไปลงมือทำภายใน 72 ชั่วโมง
เวทย์มนต์นั้นจะเสื่อมสลายหายไป
สิ่งที่คุณเรียนไปจะไม่มีประโยชน์
เพราะคุณไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เรียนอีกต่อไปแล้ว
ถ้าเรียนเขียนหนังสือ อย่างน้อยขอให้กลับไปเขียนอะไรบางอย่าง
ถ้าเรียนหุ้น อย่างน้อยต้องเปิดพอร์ต ลองเล่นจริง
ถ้าเรียนคอนโด อย่างน้อยต้องออกสำรวจพื้นที่หาคอนโด
สรุปว่า รู้ แต่ไม่ลงมือทำ มันก็คือไม่รู้นั่นแหละ
เรากำลังอยู่ในยุคที่กูรูเต็มบ้านเต็มเมือง
จนเกิดอาการ #กูงง
และโปรดจงจำไว้ว่าไม่มีอะไรน่าเศร้าที่สุดเท่ากับ
#กูงง และ #กูจน ไปพร้อม ๆ กัน
ลงมือทำได้แล้วครับ
Cr. https://www.facebook.com/thisisboysthought/posts/427026324173972?fref=nf