นักรบไร้ชื่อ ๒๙ ต.ค.๕๘

กระทู้สนทนา
บันทึกจากสามก๊ก

นักรบไร้ชื่อ

“ เทพารักษ์ “

ทหารเอกที่มีชื่อเสียงในสงครามสามก๊กนั้น มีอยู่มากมายก่ายกอง แต่มีอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของลิโป้ ลูกเลี้ยงของตั๋งโต๊ะมหาอุปราชคนแรก ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีชื่อเสียว่าเป็นคนหยาบช้าสามาลย์ จนเป็นต้นเหตุให้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวรวบรวมทหารบ้านนอก ยกมาตีลกเอี๋ยงเมืองหลวง เพื่อล้มล้างอำนาจการปกครองของตั๋งโต๊ะ โดยมีซุนเกี๋ยนเป็นทัพหน้า และนักรบผู้นี้ก็ได้ออกไปต่อสู้เป็นคนแรก

สามก๊กฉบับท่าน เจ้าพระยาพระคลัง(หน) บรรยายถึงตอนนี้ไว้ว่า

ตั๋งโต๊ะตกใจจึงปรึกษาลิยูว่า ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไปจับซุนเกี๋ยนมา
ฆ่าเสียได้ ลิโป้จึงว่า ซึ่งหัวเมืองยกมาทั้งนี้ เปรียบเหมือนแมลงเม่า ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสีย ท่านอย่าวิตกเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจขึ้น จึงว่าทุกวันนี้เราได้ลิโป้ไว้เป็นบุตร ถึงมาตรว่าจะได้ทหารอื่นมาไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่าลิโป้

ขณะนั้นมีทหารคนหนึ่ง กิริยาดังเสือ สูงหกศอกเศษ คุกเข่าลงคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่า ซึ่งจะฆ่าไก่แลจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาศรีษะหัวเมืองทั้งปวงมาให้จงได้ และตั๋งโต๊ะกับลิโป้ก็ไม่ผิดหวัง เพราะนายทหารผู้นี้ได้ฆ่าทหารเอกของอ้วนเสี้ยว ติดต่อกันไปถึงสองคน คือเปาต๋ง และโจเมา แต่ละคนเขาใช้เวลารบไม่เกินสามเพลง ยกเว้นแต่ซุนเกี๋ยน ตัวแม่ทัพหน้า ซึ่งยืนสู้อยู่ได้ถึงแปดเพลง ก็ต้องแตกหนีเตลิดไป ทิ้งหมวกเอาไว้ให้เขาดูต่างหน้า ทหารผู้นั้นชื่อ ฮัวหยง

วรรณไว พัธโนทัย ได้เล่าไว้ใน สามก๊กฉบับแปลใหม่ ต่อไปว่า

ทันใดนั้น กองสอดแนมเข้ามารายงานว่า

“ ฮัวหยงนำกองทหารม้าออกจากด่าน ใช้ไม้ยาวเสียบหมวกแดงของซุนเกี๋ยน มาตะโกนด่าท้ารบอยู่หน้าค่าย “

อ้วนเสี้ยวจึงถามว่า “ ผู้ใดจะอาสาออกศึก “

ยูสิดซึ่งยืนอยู่หลังอ้วนสุด รีบลุกออกมาบอกว่า “ ข้าพเจ้าพยัคฆ์น้อยขออาสา “

อ้วนเสี้ยวดีใจ สั่งให้ยูสิดออกม้านำทหารไป สักครู่ก็ได้รับแจ้งว่า

“ ยูสิดรบกับฮัวหยงได้ไม่ถึงสามเพลง ถูกฮัวหยงฆ่าตาย “

หัวเมืองทั้งปวงต่างตกตลึง ฮันฮกผู้ว่าราชการแคว้นกิจิ๋วกล่าวว่า

“ ข้าพเจ้ามีขุนพลคนหนึ่งชื่อพัวหอง สามารถจะปราบฮัวหยงได้แน่ “

อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้พัวหองนำทหารออกรบโดยด่วน พัวหองขึ้นม้าถือขวานใหญ่เป็นอาวุธ ออกรบได้ไม่นานม้าเร็วควบม้าราวกับบิน กลับมารายงานว่า

“ พัวหองถูกฮัวหยงฟันคอขาดอีกคนหนึ่งแล้ว “

หัวเมืองทั้งปวงใบหน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน

ฮัวหยงคงจะมีชื่อเสียงโด่งดังต่อไป ถ้าเขาไม่ได้พบกับทหารเลวคนหนึ่ง ในการรบครั้งต่อมา ซึ่งท่าน ยาขอบ ได้บรรเลงสำนวนอันลือชื่อไว้ใน สามก๊กฉบับวนิพก ตอน โจโฉ..ผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ ว่า

บัดนี้ในค่ายของฝ่ายปฏิวัติกำลังปรึกษากัน กองทัพของเรากำลังปราชัยต่อเหตุการณ์ในสนามรบ เดี๋ยวนี้เราก็เสียหัวของทหารที่นับกันว่าเป็นเอก ๆ ไปทุกวันแก่ฮัวหยง อ้วนเสี้ยวท่านผู้เป็นประมุข ปรารภกับที่ประชุมใหญ่ว่า พลาดเหลือเกินจอมประจัญบานของข้าพเจ้า งันเหลียง และบุนทิว ก็ใช้ให้ไปเกณฑ์ทหาร เพื่อส่งมาสมทบข้าพเจ้า ถ้าได้บุนทิวหรือ งันเหลียงคนใดคนหนึ่งมา เราจะวิตกอันใดกับฮัวหยง

ถ้าท่านงันเหลียงและบุนทิวยังไม่มา ข้าพเจ้าขอรับหน้าที่ไปเอาศรีษะฮัวหยงมาเอง เสียงของเขาทุ้มซึ้ง แต่มีสนั่นกังวาลเหมือนเสียงระฆัง

นี่เป็นใคร จึงบังอาจออกเสียงในที่ประชุมอันสูงสุดนี้ ออกเสียงเรื่องงานซึ่งเหมาะแก่คนมีฝีมือ อย่างงันเหลียงหรือบุนทิว อ้วน-กังลู-เสี้ยว พิโรธโกรธเกรี้ยวแก่ผู้อาสาสมัครนั้น

กอง-หลอดแห่งปักกิ่ง-ซุนจ้าน ลุกขึ้นชี้แจงอีก คนที่เกียรติอันสูงของท่านยังไม่รู้จักนี้ ชื่อ กวนอู เป็นญาติร่วมสาบานกันด้วยใจชายกับ เจ้ายวนเต้-ปี่ คนเมืองเดียวกับข้าพเจ้า เขาเป็นทหารเกาทัณฑ์ระวังหน้าม้าของปรินส์ปี่

สังข์ พัธโนทัย บันทึกรายละเอียดตอนนี้ไว้ใน พิชัยสงครามสามก๊ก ว่า

อ้วนเสี้ยวถามอีกว่า เจ้ามีตำแหน่งเป็นอะไร

กองซุนจ้านตอบว่า เป็นพลทหารม้าถือเกาทัณฑ์

อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดว่า เจ้าเป็นแต่ทหารเลว ไฉนมาดูหมิ่นแม่ทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวง คล้ายไม่มีใครจะออกไปสู้กับข้าศึกแล้วกระนั้นหรือ จึงให้ขับกวนอูออกไป

โจโฉห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านอย่าเพิ่งโกรธก่อน ท่วงทีกวนอูผู้นี้จะมีฝีมือดีอยู่ จึงกล้าขันอาสา ถ้ามันไปเอาศรีษะฮัวหยงมาไม่ได้ เราจึงค่อยลงโทษมันอย่างหนัก มิดีกว่าหรือ

อ้วนเสี้ยวตอบว่า กวนอูเป็นแต่ทหารเลว ฮัวหยงรู้เข้าจะเยาะเย้ยเราได้ว่าสิ้นฝีมือ

ท่าน ยาขอบ จึงให้โจโฉตอบโต้ด้วยสำนวนอันหาผู้เสมอมิได้ ว่า

ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว สงครามและสนามรบตัดสินทหารกล้าหน้าศึก ด้วยฝีมือประจัญบานของเขา ในค่ายบัญชาการนี่ต่างหากเล่า เรามานั่งคิดฆ่าข้าศึกด้วยสมอง

โจโฉใส่ท่านแม่ทัพใหญ่อย่างไม่ยอมถอยหลัง

ใคร่ครวญเถิด เราให้คนผู้นี้ออกรบ กองทัพเราได้เสียอะไรไปบ้าง เขาสิหากพลาดพลั้ง เขาก็เสียหัวซึ่งมีปากอันโว แก่ง้าวของฮัวหยง ถ้าเขาปราชัยพ่ายแพ้ แต่เอาชีวิตหนีรอดเข้าค่ายได้ เขาก็เสียหัวอีกแก่อาชญาสิทธิ์ของท่าน เขาไม่มีหัวสำหรับจะดิ้นรนให้พ้นไปรอด เว้นแต่จะได้หัวฮัวหยงมา

เป็นสิ่งอันเล็กน้อย แต่ในสิ่งเล็กน้อยนั่นแหละ แสดงชัดถึงความเป็นหัวหน้าคน คือโจโฉรินเหล้าถ้วยหนึ่งส่งให้กวนอู ข้าเสียเหล้าถ้วยหนึ่ง แต่เจ้าจะเสียหัวให้ฮัวหยง ซึ่งตัดหัวพวกทหารเอก ๆ ฝ่ายเราอยู่ทุก ๆ วัน จะเสียดายอาไร้ กับเหล้าเพียงถ้วยเดียว กับการต่อรองที่ยอมเอาคอไปรอคมอาวุธ ตรงนี้แหละคนมีเกียรติทั้งคู่ได้เริ่มเจรจาต่อกันครั้งแรก ซึ่งเป็นเครื่องกระสันมั่นจำไว้ในใจของกันแลกัน

แต่เมื่อโจโฉยื่นจอกสุราให้กวนอู ก็ได้รับคำปฏิเสธ ด้วยสำนานเก่าของท่าน เจ้าพระยาพระคลัง ว่า

กวนอูคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารเลว ซึ่งท่านจะให้สุรากินนั้น ขอให้ท่านงดไว้ก่อน เมื่อใดข้าพเจ้าออกไปได้ศรีษะฮัวหยงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับเอาสุราของท่านกิน แล้วกวนอูก็ขี่ม้าถือง้าวออกไปรบกับฮัวหยง

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองแลม้าล่ออื้ออึง ก็ชวนกันออกไปดูกวนอูรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่าย ก็เห็นกวนอูหิ้วศรีษะฮัวหยง กลับมาทิ้งไว้ตรงหน้าค่าย นายทัพนายกองเห็นก็ดีใจ จึงพากวนอูเข้าไปในค่าย

โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับ แล้วส่งให้กวนอู กวนอูคำนับตอบแล้วรับเอาจอกสุรานั้นมากิน สุรานั้นยังอุ่นอยู่

ซึ่งท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้วิพากย์วิจารณ์เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไว้ใน โจโฉ…นายก ฯ ตลอดกาล อย่างเข้าข้างโจโฉสุดตัวว่า

พิเคราะห์ดูหนังสือสามก๊กตอนนี้จะเห็นว่า ผู้แต่งตั้งใจจะเขียนยกย่องกวนอูเป็นสำคัญ ให้เห็นว่ากวนอูนั้นมีความสามารถในการรบ เป็นเลิศยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น ขนาดออกไปรบกับฮัวหยงซึ่งมีฝีมือ ฆ่าทหารเอกตายลงไปสองคนในเวลาติด ๆ กัน ยังกินเวลาเพียงสุราในจอกยังไม่ทันเย็น แต่เราจะพิจารณาความตอนนี้ให้ดี จะเห็นได้ว่าเหลือเชื่อ เพราะจอกสุราที่คนจีนใช้นั้น มีขนาดประมาณปลอกนิ้วมือเย็บผ้า และเวลานั้นก็จะต้องเป็นหน้าหนาว ถึงต้องอุ่นสุรากินกัน การที่กวนอูไปได้หัวฮัวหยงในเวลาที่สุรายังไม่เย็นนั้น เห็นจะสุดวิสัย

ฉะนั้นเนื้อความที่ว่า สุรานั้นยังอุ่นอยู่ แทนที่จะให้เกียรติแก่กวนอู กลับกลายเป็นสิ่งที่แสดงน้ำใจอันกว้างขวางของโจโฉ เพราะถ้าสุรานั้นยังอุ่นอยู่จริง ก็จะอุ่นอยู่ด้วยมือของโจโฉเป็นแน่แท้ หาใช่เพราะความสามารถรวดเร็วของกวนอูไม่ ด้วยโจโฉนั้นใคร่สนับสนุนกวนอู ให้ได้ดีมีเกียรติ ถึงกวนอูจะปฏิเสธไม่ยอมรับสุราจากโจโฉ จนกว่าจะชนะฮัวหยงแล้ว โจโฉก็เฝ้าอุ่นสุราไว้คอยท่า ถึงแม้ว่ากวนอูจะไปรบกับฮัวหยงทั้งคืน กลับมาสุรานั้นก็ยังอุ่นอยู่ ด้วยน้ำใจอันเมตตาอารีของโจโฉนั่นเอง

ในเรื่องนี้ สามก๊กฉบับคลาสสิก ของ วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์ ได้สรุปลงท้ายเอาไว้ว่า

ชนรุ่นหลังมีบทกวีสรรเสริญว่า

วีรกรรมอันดับหนึ่งทึ่งฟ้าดิน
นอกประตูยลยินเสียงกลองสนั่น
กวนอูมิรับจอกออกฟาดฟัน
หัวข้าศึกสบั้นบ่าสุราไม่เย็น

แต่ทุกท่านที่กล่าวมาแล้ว ต่างก็ยกย่องฝีมืออันยอดเยี่ยมของกวนอู และน้ำใจอันประเสริฐของโจโฉเท่านั้น หามีท่านใดจะสมเพทเวทนาแก่ฮัวหยง ผู้ที่ได้สังหารนายทหารเอก ของกองทัพประชาชนที่มีอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำ มาแล้วถึงสี่คนติดต่อกัน แต่กลับต้องมาเสียหัวของตนเอง ให้แก่คมง้าวของพลทหารกวนอู ภายในเวลาอันสั้นเพียงสามสี่บรรทัดบ้างเลย

และนับแต่บัดนั้น ต่อมาอีกสามสิบกว่าปี กวนอูทหารถือเกาทัณฑ์หน้าม้าผู้นี้ ก็ได้กลายเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงเด่นดัง เล่าลือระบือไกลในสามก๊ก จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง เมื่ออายุได้ห้าสิบแปดปี และได้ชื่อว่า เทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ เป็นอมตะมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ต่างกับฮัวหยง ซึ่งตายแล้วก็หายลับดับชื่อไปจากสามก๊ก ตั้งแต่ตอนที่สี่ ดุจเดียวกับพลทหารเลว ที่ไม่ปรากฎชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก อีกนับแสน นับล้าน ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับร้อยปีของสามก๊ก เช่นกัน

############.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่