[CR] ทริปภูสอยดาว...มิตรภาพความรักและเสียงหัวเราะ

กระทู้รีวิว
ทริปนี้เป็นการรีวิวการเดินทางขึ้นไปภูสอยดาว ซึ่งภูสอยดาวตั้งอยู่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นที่กล่าวขานกันว่าเป็นทางขึ้นเขาที่โหดอันดับต้นๆของประเทศไทยด้วยระยะทาง 6.5 กิโลเมตร เราเดินทางกันในวันที่ 23-24 ตุลาคม 2558 กำหนดการว่าจะนอนหนึ่งคืน ซึ่งบอกเลยว่าที่จริงแล้วควรจะไป 3 วัน 2 คืนมากกว่า จะได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติและเป็นการฟื้นร่างกายด้วย ทริปนี้เรามีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 9 คน มีผู้หญิง 6 ผู้ชาย 2 และกระเทยตัวแม่อีกหนึ่ง ยิ้ม
                                            

             ทริปนี้เราเริ่มวางแผนการเดินทางเมื่อเดือนที่แล้ว แต่มาคุยกันจริงจังสองอาทิตย์ก่อนไป เราออกเดินทางจากอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์โดยรถส่วนตัวสองคัน นัดกันตอน 7 โมงครึ่งแต่กว่าจะรวมพลก็เกือบ 8 โมง ระยะทางจากที่พักไปอุทยานฯประมาณ 30 กว่าโล ไปถึงเราก็เอารถไปจอดไว้ที่อุทยานฯ เสียค่ายานพาหนะคันละ 30 บาท และค่าเข้าอุทยานฯคนละ 40 บาท


จากนั้นเราก็มาลงทะเบียนเพื่อขึ้นไปบนภูสอยดาว โดยจะมีเอกสารให้กรองพร้อมกับแนบบัตรประชาชนไปด้วย 1 บัตรต่อกลุ่ม จากนั้นก็รอหมายเลขเพื่อไปชั่งของ เสียค่าขยะ 100 บาท ดังนั้นต้องเก็บขยะลงมาด้วยเพื่อเอาเงินมัดจำคืน ได้เลขแล้วเตรียมตัวไปชั่งของที่จะจ้างลูกหาบแบกขึ้นไป กิโลละ 35 บาท ปล.ขอบอกเลยว่าไม่ต้องงกนะจ้างไปเถอะแค่แบกตัวเองไปก็ลำบากล่ะ ชั่งของเสร็จก็ไปรอขึ้นรถไปน้ำตกภูสอยดาวได้เลย

โดยทางขึ้นจะอยู่ที่น้ำตกภูสอยดาว มีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีชื่อไว้อย่างไพเราะว่า ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ มีน้ำไหลตลอดปี


มาถึงน้ำตกแล้วเราก็มาที่ป้อมเจ้าหน้าเพื่อตรวจสอบการขอขึ้นภูสอยดาว ลืมบอกเลยว่าสัมภาระติดตัวที่จะขึ้นภูสอยดาว แนะนำควรจะเป็นกระเป๋าเป้เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการเดิน ในเป้มีข้าวกลางวันซึ่งเราเอาง่ายๆเป็นข้าวเหนียวหมูทอดปลาทอดไข่ต้มน้ำพริกแห้งๆ น้ำ 2 ขวด ลูกอม ยาดมด้วย การแต่งตัวก็ควรเป็นเสื้อแขนยาวหรือสามส่วน กางเกงยาขาว ใส่ถุงเท้าด้วย รองเท้าผ้าใบหรือว่ารองเท้ารัดส้นก็ได้ เอาที่ใส่แล้วสบาย จากนั้นก็เริ่มเดินทางกันได้เลย


เมื่อมาถึงน้ำตกแล้ว อย่าลืมก่อนขึ้นภูสอยดาวไหว้ศาลเจ้าที่ทางด้านซ้ายมือเพื่อให้ท่านคุ้มครองให้เราเที่ยวได้อย่างมีความสุข กลับไปอย่างประทับใจ
    

เราเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ซึ่งนานอยู่สักพักใหญ่ๆกว่าจะเจอเนินแรก ก็คือ "เนินส่งญาติ" มีเรื่องเล่ากันว่า เคยมีคนเดินขึ้นมาถึงที่นี่แล้ว หมดแรงไปต่อไม่ไหว เลยต้องส่งให้ญาติไปต่อ ส่วนเขาเดินกลับ บอกเลยว่ากว่าจะหาเจอ เอาสักเหนื่อยเลย
                                              

จากนั้นก็เดินๆๆๆกันไปต่อที่เนินที่สอง คือ “เนินปราบเซียน” เนินนี้ไม่ว่าเซียนหรือเทพเดินป่าก็โดนปราบหมดแหละด้วยความชันของเนินนั้นเอง เนินนี้บอกเลยต้องมีการเติมน้ำกันบ้างไม่งั้นมีแย่เลยหัวเราะ
                                              

แล้วเราก็เดินต่อกันมาทีเนินที่ 3 คือ “เนินป่าก่อ” ตั้งชื่อตามสภาพภูมิประเทศที่มีต้นก่อหรือต้นโอ๊กขึ้นอยู่มาก เนินนี้จะมีป้ายบอกชื่ออยู่ 3 ป้ายด้วยกัน เดินไปเรื่อยๆ หิวข้าวก็แวะกินกันก่อนได้จะมีที่ให้แวะพักตลอดทาง ที่สำคัญอย่าขาดน้ำเด็ดขาด
                                                

เนินที่ 4 คือ “เนินเสือโคร่ง” มาจากชื่อต้นกำลังเสือโคร่งที่มีอยู่แถวนั้นหลายต้น
                                                

และเราก็มีถึงเนินสุดท้าย คือ “เนินมรณะ” ที่มีสภาพต่างไปจากเนินอื่นๆ คือเป็นเนินโล่งชันมีแต่ทุ่งหญ้าและไม้พุ่มเล็กๆ ไร้ต้นไม้ใหญ่อีกทั้งยังมีลมพัดแรง ในวันที่แดดแรงๆช่วงที่กำลังเดินขึ้นเนินนี้มันช่างโหดสุด บรรยากาศมันช่างน่ากลัวสมชื่อเนินมรณะเสียจริงๆ
                                                  

เมื่อขึ้นมาถึงก่อนจะจุดขึ้นสุดของเนินมรณะ เราก็จะพบกับวิวสวยๆ สายลมเย็นๆ และแสงแดดอ่อน
                                                  

เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอกับป้ายผู้พิชิต แต่ก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางของเราก็คือ ลานสน แต่มองไปจากป้ายผู้พิชิต เราก็จะเห็นลานสนอยู่ไม่ใกล้แล้ว อมยิ้ม16อมยิ้ม16อมยิ้ม16
                                                  

         เมื่อมาถึงลานสน เราก็ต้องไปติดต่อที่สำนักงานของเจ้าหน้าที่ก่อน เพื่อรายงานตัวและรอรับของจากลูกหาบ ซึ่งลูกหาบจะขนข้าวของเราขึ้นมาช้าเร็วแตกต่างกันไป ระหว่างรอเราก็ไปพักที่เต้นท์รอ เนื่องจากเราได้ติดต่อเรื่องที่พักกับอุทยานไว้ล่างหน้าก่อนแล้ว เราเดินตั้งแต่ 10.10 น. เดินบ้างพักบ้างถ่ายรูปไปเรื่อยๆมาถึงลานสนเกือบบ่าย 2 โมงกว่า เมื่อมาที่เต้นท์แล้วเราแบ่งกันเป็นสองชุด ชุดแรกไปหากิ่งไม้มาทำเฟือน ชุดสองไปเอาที่รองนอน ถุงนอน แล้วก็รอถามลูกหาบที่เดินผ่านเต้นท์ไปว่าข้าวของกลุ่มเราขึ้นมาถึงหรือยัง กว่าของจะมาถึงก็ประมาณ 6 โมงกว่าแล้ว ดีที่เรามีข้าวเหลือจากมื้อกลางวันกินรอท้องกันไปก่อน

          ระหว่างรอข้าวของก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นกับคนที่เดินขึ้นเขามา ซึ่งเค้าเป็นโรคหอบจากอารมณ์ (Hyperventilation Syndrome) ซึ่งใครก็สามารถเป็นได้ จะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจหอบเร็วและลึกนานๆ เนื่องจากการเดินขึ้นภูสอยดาวเส้นทางลำบาก และเค้าเคยเป็นหอบเวลาที่เหนื่อยบวกกับเป็นวันนั้นของเดือนด้วยทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น และก็ขาดน้ำร่วมด้วยเพราะเอาน้ำมาน้อยไม่กล้าของน้ำจากใคร ที่จริงแล้วเราได้คุยกับลูกหาบสามารถของน้ำมาก่อนได้แล้วพอถึงลานสนเราก็ค่อยเอาน้ำของเรากลับไปคืนก็ได้ ดังนั้นขอเตือนสำหรับคนที่จะขึ้นเลยว่าต้องฟิตร่างกายให้พร้อม เตรียมน้ำให้เพียงพอ เป็นอะไรต้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ กลุ่มเราเองก็มีแต่ยาดมกะยาหมองเท่านั้น ได้ประกาศหายาพ่นจมูกจากคนโรคหอบหืด ประกาศหาแพทย์ พยาบาลกันวุ่นวายนิดหนึ่ง แต่พวกเรายินดีนะที่ได้ช่วยเหลือน้องเค้า เช้าเห็นเค้าโอเคมาเดินดูดอกไม้ได้เราเองก็สบายใจ น้องขอบคุณที่เราช่วยเหลือเราไว้อมยิ้ม01อมยิ้ม01อมยิ้ม01

อาหารเย็นของเราในค่ำคืนนี้ก็คือลูกชิ้น ฮอทดอกปิ้ง หมูปิ้ง ข้างบนมีเตาให้เช่าได้นะ แต่ต้องกองไฟเป็นด้วยอ่ะ กินเสร็จดึกๆก็พากันไปดูดาว ราตรีสวัสดิ์


เช้าวันรุ่งนี้เราก็ตื่นกันประมาณ 6 โมงเช้า มากินข้าวเช้า เป็นพวกโจ๊กมาม่า มียำปลากระป๋อง หมูปิ้ง อากาศหนาวอยู่เหมือนกันแต่ไม่มีหมอก หลังจากนั้นก็ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน
                                         

จากนั้นก็เตรียมตัวเก็บของ เตรียมเดินทางไปดูดอกไม้ แวะไปน้ำตกสายทิพย์ และค่อยลงภูสอยดาวกัน โดยเอาลงเขาสายๆ เพื่อต้องการรอดอกไม้บานเมื่อไรแสงอาทิตย์ โดยเอาข้าวของมาให้ลูกหาบลงเขาไปก่อน
                                         


ได้เวลาตามหาดอกหงอนนาค มีชื่อเรียกอื่นๆเช่น หญ้าหงอนเงือก น้ำค้างกลางเที่ยง ถือเป็นนางเอกแห่งวสันตฤดูบนภูสอยดาว เพราะเป็นพืชล้มลุกที่แม้มีดอกออกทั้งปี แต่มันจะออกดอกมากในช่วงหน้าฝน มีทั้งดอกสีชมพูอมม่วง สีม่วงน้ำเงิน และสีขาว ซึ่งบนภูสอยดาวจะเป็นดอกหงอนนาคสีชมพูอมม่วง และมีหงอนนาคดอกสีขาวขึ้นแซมบ้างอยู่นิดหน่อยชนิดนับต้นได้ เพียงแต่ว่าต้องสอดส่ายสายตาหาดูให้ดี
                                             
       หงอนนาคเป็นดอกไม้ที่หุบยามเช้า แต่จะบานในเมื่อมีแสงแดด และส่วนล่างของดอกมักจะมีน้ำค้างเกาะติดอยู่เป็นหยดใสสวยงาม จนได้ชื่อว่า “น้ำค้างกลางเที่ยง”

        ต้องบอกก่อนเลยว่าดอกหงอนนาคเริ่มจะโรยแล้วตอนที่เราไปทำให้มีน้อยไม่มากเท่าที่ควร ถ้าอยากดูดอกไม้สวยๆต้องมาสิงหา-กันยา แต่ก็ยังพอมีให้เราได้ดูแต่ต้องเดินไปไกลนิดหนึ่ง เดินไปก็สังเกตสิ่งรอบๆตัวไปด้วย
                                              

          เดินไปถ่ายรูปกับหลักกิโลไทย-ลาว
                                              
จากนั้นเราก็ไปน้ำตกสายทิพย์ ทางขึ้นลงชันมากเลย แต่น้ำตกสวยนะบอกเลย ยิ่งเดินลงไปชั้นล่างๆยิ่งสวย ถึงน้ำจะไม่ได้เยอะก็ตาม


จากนั้นก็มาร่วมพลกันที่ป้ายผู้พิชิตเพื่อถ่ายรูปหมู่
                                              
จากนั้นก็พากันเดินลงมา เก็บไว้กับความทรงจำที่งดงาม ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกคนเลยสำหรับมิตรภาพดีๆที่เรามีร่วมกันบนภูสอยดาวแห่งนี้
สรุปค่าใช้จ่ายทริปภูสอยดาว
- ค่าเดินทาง ไม่ได้ขึ้น เนื่องจากเอารถส่วนตัวไปเอง เจ้าของรถใจดีไม่คิดเดินทาง
-ค่าอาหาร                    911         บาท
- ค่าลูกหาบขาขึ้น          2300        บาท
               ขาลง           1225        บาท
-ค่าธรรมเนียมเข้า             420       บาท
-ค่าที่พัก                       ฟรี (มีผู้ใหญ่ใจดีออกให้)
รวมแล้วทั้งทริปจ่ายไปคนละ 650 บาท 2 วัน 1 คืน อาหารทุกมื้อ วันกลับมีไปกินหมูกระทะตอนเย็นกันต่อด้วย อิอิเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม
         ลืมบอกอีกหนึ่งอย่างซึ่งสำคัญและเป็นของใหม่สำหรับปี 2558 คือ ผู้ที่ไปพิชิตภูสอยดาวจะได้ใบประกาศนียบัตรด้วย ฟรีค่ะ สามารถแจ้งชื่อและรอรับได้เลยตอนลงมาแล้วที่อุทยานค่ะ
                                       
ชื่อสินค้า:   ภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่