สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมลังเลอยู่มาระยะหนึ่งแล้วว่าผมจะมาเล่าประสบการณ์ของตัวผมเองดีมั้ย เพราะเนื้อเรื่องของผมเองนั้นไม่ค่อยจะหลอนซักเท่าไหร่เนื่องจากเป็นประสบการณ์จริง และตัวผมเองก็มิได้มีสัมผัสที่หกที่สามารถจะมองเห็นสิ่งลี้ลับได้ เอาวะฮาโลวีนทั้งทีจึงขอโอกาสนี้ในการเปิดม่านประสบการณ์หลอนทั้งเรื่องที่ได้ฟังมา และเรื่องที่ประสบพบเจอด้วยตัวเอง บางเรื่องอาจจะยาว บางเรื่องอาจจะสั้นตามแต่ที่ได้พบมาครับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
สวัสดีครับผมชื่อแมนครับพื้นเพเดิมเป็นคนเชียงใหม่ ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน
“พรุ่งนี้ 6 โมงเช้าอย่าสายนะโว้ย” เสียงของนุตะโกนบอกผมขณะที่ผมกำลังทำเวรอยู่ ผมขานรับโดยที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาทำเวรเพื่อรีบกลับไปจัดเตรียมของสำหรับไปเข้าค่าย ใช่ครับเข้าค่ายเป็นค่ายที่ทางชมรมวิทย์ฯ จัดขึ้นมาเองโดยมีครูศิลาชายร่างเล็กอายุราวห้าสิบกว่าเป็นครูผู้ดูแลชมรมเป็นผู้สนับสนุนการจัดงาน “ค่ายวิทย์ฯ” ในครั้งนี้ ตามแผนนั้นเราจะไปกัน 4 วัน 3 คืน และที่พักนั้นคือการกางเต้นท์นอน
เช้าวันพฤหัสบดีหลายๆคนที่มาถึงก่อนเวลานัดต่างจับกลุ่มนั่งจ้อถึงความตื่นเต้นก่อนจะเริ่มเดินทาง จนกระทั่งมากันครบคน ครูศิลาก็ดำเนินรายการแนะนำความเป็นมาและความสำคัญของค่ายวิทย์ฯ พร้อมกับให้สมาชิกแนะนำตัวตามประสาเด็กมัธยมต้น โดยสมาชิกมีประมาณ 24 คน หกโมงครึ่ง ล้อเริ่มหมุนออกจากโรงเรียนเล็กในตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่จุดชมวิวแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อาศัยรถสองแถว (รถแดง) เป็นพาหนะในการเดินทาง การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น บ้างชมวิว บ้างถ่ายรูป ร้องรำทำเพลงตามประสาเด็ก การเดินทางใช้เวลาไปมากพอสมควร กว่าจะถึงจุดชมวิวก็ช่วงบ่ายเข้าไปแล้ว หลังจากอิ่มหนำสำราญทั้งอาหาร ทั้งชมวิวก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ที่พักในคืนนี้ โดยที่พักในคืนนี้ก็คือในเขตสำนักงานอุทยานใกล้ๆ จุดชมวิวนั่นแหละ ทันทีที่ไปถึงอุทยานที่ครูศิลาได้ติดต่อประสานงาน เจ้าหน้าที่ต่างมาต้อนรับราวกับว่าไม่ค่อยมีคนมาฉะนั้น…
หลังจากทยอยนำสัมภาระลงจากรถสองแถวก็มีเจ้าหน้าที่พาไปยังบริเวณพื้นที่กางเต้นท์ โดยต้องข้ามลำธารสายเล็กๆซึ่งใส และเย็นมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงเบื้องหน้าเป็นลานกว้าง พื้นปูด้วยหญ้าราวกับว่ามีใครซักคนเอาพรมสีเขียวมาปูไว้ก็มิปาน มีต้นไม้สูงเป็นระยะๆ ด้านขวามือริมชายป่ามีบริเวณที่เป็นแค้มป์ไฟสำหรับกิจกรรมช่วงกลางคืน จะอุทานให้เป็นภาษาสมัยนี้ก็คงอุทานว่า “ชีวิตดี้ดีย์” สายลมอ่อนๆโชยมาพร้อมกับอากาศที่เย็นยะเยือก เสมือนถูกเตือนว่า ใกล้ค่ำแล้วนะกางเต้นท์ได้แล้ว บริเวณที่กางเต้นท์นั้น ทางชมรมได้เลือกบริเวณที่ใกล้กับแค้มป์ไฟ เพื่อที่จะยึดแค้มป์ไฟให้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของชมรมนั่นเอง ก่อนจะเริ่มกางเต้นท์ครูศิลาได้บอกให้นักเรียนทุกคนว่า หลังจากกางเต้นท์เสร็จแล้วให้ทุกคนมาประชุมกันเพื่อแจ้งกิจกรรมช่วงค่ำกัน หลังจากกางเต้นท์เสร็จก็เป็นเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ครูศิลาก็เริ่มบรรยายถึงกิจกรรมช่วงค่ำโดยกำหนดการก็คือ หลังจากแยกย้ายกันรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ก็จะเดินทางสำรวจธรรมชาติเวลากลางคืน (สำรวจอะไรล่ะครับช่วงกลางคืน) โดยจะแยกกันเป็นขบวนๆไปมีทั้งหมดประมาณ 5 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มผมอันประกอบด้วย ผม นุ ภัทร กัน สี่หน่อเป็นขบวนที่สาม (อ้อ..ผมลืมเล่าไปว่าอุทยานนั้นมีบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งผมมาทราบเอาภายหลังจากที่เดินไปนั่นแหละว่ามีบ่อน้ำพุร้อนอยู่บริเวณนี้ )
หลังจากจัดการกับอาหารที่เหลือจากช่วงเที่ยงแก๊งสี่หน่อของผมก็เตรียมตัวกันอย่างทะมัดทะแมงเตรียมตัวอย่างดี เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ทุกคนก็เดินออกมาจากเต้นท์ อากาศเย็นยะเยือกของหน้าหนาวพัดมากระทบกับท้ายทอย รู้สึกขนลุกพิลึกเหมือนกัน
“เอ้าอย่าลืมไฟฉายนะ” ผมพูดกับเพื่อนแก๊งสี่หน่อ ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กหลั่ก เยียดเปียด ลืมเอาไฟฉายมากันแน่ๆผมคิดในใจ ถามไปถามมาทุกคนก็ลืมเาไฟฉายมากันจริงๆเสียด้วยผมก็เลยบอกไปว่า “เดี๋ยวกุเอาไฟฉายของกุมาก็ได้” พูดเสร็จผมก็มุดตัวกลับเข้าไปในเต้นท์ แล้วทำการรื้อกระเป๋ามือผมก็ควานไปเจอถุงถุงหนึ่งเลยหยิบออกมาดูว่าพ่อกับแม่เอาอะไรมาใส่ในกระเป๋า ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านเดากันไม่ถูกหรอกครับ มันคือเทียนครับ เทียนเป็นเล่มๆเลยมีอยู่ประมาณ 7 – 8 เล่ม ขนาดประมาณหัวแม่มือ(ของเด็ก) นอกจากนั้นผมก็ไม่เจออะไรที่จะให้แสงสว่างอีกนอกจากไฟเช็ค “โว๊ะ…อิป้ออิแม่” (โธ่เอ้ย…คุณพ่อคุณแม่) ผมอุทานได้แค่นี้แหละครับ ส่วนเพื่อนๆผมก็ฮาไปตามระเบียบ มีแสงดีกว่าไม่มีเทียนก็เถอะเทียนวะ
เมื่อเวลาที่นัดหมายมาถึงประมาณเกือบสองทุ่มครูศิลาก็อธิบายรายละเอียดให้นักเรียนทราบพอเป็นสังเขปว่า เส้นทางการเดินทางชมธรรมชาตินี้จะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที และระหว่างทางจะมีบ่อน้ำพุร้อนข้างทาง โดยแต่ละกลุ่มจะเว้นช่วงเวลาเพื่อจะให้กลุ่มต่อไป เริ่มเดินสำรวจประมาณ 15 นาที เวลาล่วงเลยมาจนถึงกลุ่มของผม แก๊งสี่หน่อก็เริ่มออกเดินทาง โดยเส้นทางนั้นจะเป็นทางดิน บางช่วงก็จะเป็นสะพานไม้ สองข้างทางก็จะเป็นป่าที่ค่อนข้างทึบ และที่สำคัญ ไม่มีคณะเดินทางอื่นนอกจากคณะของผม การเดินทางในช่วงแรกเราอาศัยแสงจากดวงจันทร์เป็นส่วนมากเนื่องจากไม่มีบนไม้ใหญ่มาบดบัง สุดท้ายเราก็ต้องเริ่มใช้เทียนในการนำทางเนื่องจากต้นไม้เริ่มทึบมากขึ้นทำให้บดบังแสงจันทร์เสียหมด โดยเราต้องชูเทียนไว้เหนือศรีษะเพื่อที่แสงของเทียนจะได้ไม่แยงตา ผมเดินไปได้ประมาณ 15 นาทีและได้ยินเสียงเดือดของน้ำพุร้อนก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาว่าพวกเราไม่ได้หลงทางขณะที่ผมกำลังสดับฟังเสียงน้ำพุร้อนนั้น ผมก็รู้สึกว่าถูกชน แล้วมีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ขนาดตัวพอๆกับพวกผมวิ่งแซงพวกผมไป พวกผมเองก็คิดว่า คงพวกเดียวกันนี่แหละแกล้งกันแน่ๆ แก๊งสี่หน่อของผม เดินไปพลาง เล่นไปพลางจนกระทั่งถึงปลายทาง ครูศิลาก็นั่งรออยู่กับกลุ่มที่เริ่มเดินก่อนหน้าผม ครูศิลาก็เอ่ยปากเชื้อเชิญให้พวกผมไปนั่งล้อมวงด้วย
ผมจึงเดินไปนั่งล้อมวงด้วยพร้อมกับเปรยออกไปว่า “เมื่อกี้เดินๆอยู่ไม่รู้ว่าถูกใครวิ่งชนหัวเกือบทิ่ม…น่าจะวิ่งไปแกล้งกลุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้ามีใครโดนแกล้งมั้ย”
ทุกคนหันมาแล้วถามว่า “ใคร” สุดท้ายซักไซร้ไล่เรียงกันไป ก็สรุปกันไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นใคร…แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้น การเริ่นต้นทักทายจากสถานที่แห่งนี้
หลังจากกิจกรรมเดินสำรวจธรรมชาติยามวิกาลเสร็จ แก๊งสี่หน่อของพวกผมก็ได้แอบไปแช่น้ำพุร้อนแล้วก็เข้านอนพร้อมกับความคิดในหัวผมว่า “เด็กคนนั้นเป็นใคร” แล้วความคิดผมก็ชัตดาวน์ไป “ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ” เสียงนาฬิกาข้อมือของเพื่อนร่วมเต้นท์คนหนึ่งดังขึ้น ผมชำเลืองดูนาฬิกาข้อมือผม ตอนนั้นปรากฎเป็นเวลา 04.32 น. ผมจำเวลานั้นได้แม่นทีเดียว เพราะจุดเริ่มต้นเป็นประสบการณ์ที่แจ่มชัด ชัดเจน ชนิดที่ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็เชื่อว่าโลกนี้มีผี แม้ว่าตัวผมเองจะพิสูจน์ไม่ได้ก็ตาม บางทีผมก็นอกเรื่องไปบ้างท่านผู้อ่านก็อย่าได้ถือสานะครับ กลับเข้ามาสู่เนื้อเรื่อง
นุก็สะกิดผม “แมนเฮ้ย ตื่นยังวะ” ผมก็อื้อๆ อื้มๆไป “เฮ้ยนอนไม่ต่อไม่ได้แล้ววะ หนาวนอนไม่หลับ” นุบ่นเจื้อยแจ้ว ด้วยความรำคาญผมก็ลุกขึ้นมา “หนาวใช่มั้ย ปะไปวิ่งกัน” กันซึ่งนอนอยู่เงียบๆ ผลุดทะลึ่งลุกขึ้นมา ทำเอาผมกับนุตกใจเกือบจะตั้นหน้าเข้าให้ พร้อมกับพูดว่า “กุไปด้วย” ตกลงกันสามคนออกไปวิ่งตอนตีสี่!!!
หลังจากเตรียมชุดกันพร้อมสรรพก็เปิดประตูออกคลานออกไปภายนอกเต้นท์ อากาศภายนอกเย็นยะเยือกยิ่งกว่าในเต้นท์เสียอีกยามลมพัดโชยมา ทำเอาขนลุกกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว กันเดินนำหน้าขบวนไป ขณะนี้ผมขออนุญาตเปลี่ยนชื่อกลุ่มจากสี่หน่อเป็นสามเกลอก็แล้วกันนะครับ แก๊งสามเกลอเริ่มออกวิ่งออกไปด้านหน้าทางเข้าอุทยาน มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่เราวิ่งออกมาจากเขตอุทยานได้ไม่ไกลนัก
แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยจะสู้ดีกับสถานที่นั้น ผมเลยบอกกับสหายแก๊งสามเกลอว่า “ถึงโค้งหน้าเรากลับกันมั้ย” บริเวณโค้งด้านหน้านั้น เป็นทางที่ตัดภูเขา (มีลักษณะเป็นเหมือนหน้าผาเนื่องจากมีการตัดภูเขาเพื่อทำถนน) มีลักษณะเป็นโค้งหักศอก และมีต้นกล้วยราวครึ่งร้อยเห็นจะได้ขึ้นอยู่ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีห้า ซึ่งแสงสว่างยังมีไม่มากนัก จึงเห็นแต่เพียงแสงสลั่วๆลอดผ่านสายหมอกที่ปกคลุมท้องฟ้าอย่างหนาแน่น ในใจผมรู้สึกว่า “ไม่ชอบใจดงกล้วยนั่นเสียจริง” เพียงไม่กี่สิบเมตรแก๊งสามเกลอก็จะวิ่งไปถึงดงกล้วยเจ้ากรรมนั่น แต่อนิจจาสายตาผมเห็น เห็นเงาสตรีนางหนึ่งม้วนผมพร้อมกับคาดสะใบปลิ้วสไหว และในมือถือมีดอีโต้ สไลด์เข้าไปในดงกล้วยนั่นมิใช่การเดินตามปกติของมนุษย์เป็นแน่!! ชิหายแล้ว เนื่องด้วยแสงสว่างที่มีไม่มากนักกรปกับความคิดของเมื่อคืน ทำให้ผมพูดกับตัวเองว่าตาฝาดแน่ๆ
เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ผมเห็นภาพนั้นนุได้ชี้มือไปด้านหน้าพร้อมกับตะโกนว่า “เฮ้ย…มะ” ผมได้ยินเพียงแค่นั้นครับ แค่นั้นจริงๆ ร่างกายผมหันหลังราวกับมีเส้นเชือกมากระตุกให้หันหลังกลับ แล้วใส่เกียร์หมาเปิดแนบก่อนเพื่อนเลย ในใจผมขณะนั้นมันน่ากลัว กลัวว่าเค้าจะวิ่งตามมา กลัวว่าเค้าจะมาดักตรงหน้าแต่ขากระผมเองก็หยุดวิ่งไม่ได้ ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า เชื่องช้าเสียเหลือเกินราวกับเวลาทั้งหมดจะหยุดเสียฉะนั้น
ส่วนนุผู้ซึ่งรู้สถานการณ์ดีอยู่แล้ว ประกอบกับเห็นผมใส่เกียร์หมาไปก่อนแล้ว ก็สับเกียร์ R ถอยกลับลำวิ่งตามผมมา เหลือเพียงภัทร ผู้ซึ่งไม่รู้ ไม่เห็นอะไรซักอย่าง ได้แต่ตะโกนถามว่า วิ่งไปไหนกัน ผมกับนุก็แหกปากไปว่า “เจอผี ผีหลอก หนีเร็ว” ตะโกนโหวกเหวกอยู่อย่างนั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะได้ยินหรือเปล่า ส่วนท่านเจ้าคุณภัทรก็วิ่งจ๊อกกิ้ง ย้ำนะครับ จ๊อกกิ้ง ค่อยๆตามมาอย่างผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
จนกระทั่งกลับเข้ามาในเขตอุทยานก็มานั่งคุยกันว่าเห็นอะไร นุบอกกับผมว่า “กุเห็นผู้หญิงใส่สะใบอยู่ในดงกล้วย” บ๊ะ!! มันช่างตรงกับที่เห็นเสียนี่กระไร ครับเป็นชัดเจนแน่แท้แล้วว่าเห็น แต่คำให้การของภัทรนั้นกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง (สรุปใจความสำคัญเท่าที่ผมจะสามารถระลึกชาติได้) “กุไม่แน่ใจนะว่ามีดงกล้วยรึเปล่า แต่กุไม่เห็นต้นกล้วยซักต้นเห็นแต่รอยตัดภูเขาเพื่อทำถนนแค่นั้น”
เมื่อความเห็นไม่ตรงกันการพนันก็เกิดขึ้นว่าไปนั่น ความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องพิสูจน์สิครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย พิสูจน์โดยการกลับไปดูสถานที่แห่งนั้นว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร แต่จะไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะผมก็เลยบอกไปว่า “เอาแบบนี้ไหมรอออกเดินทางตอนเช้า เราก็ผ่านอยู่แล้วมาดูกันว่าเป็นยังไง” เอาจริงๆก็คือปอดนั่นแหละครับ ใจจริงอย่างจะไปดูให้รู้แล้วรู้รอดเสีย แต่ขามันไม่ไปใจก็ไม่ถึง จนต้องรอกระทั่งถึงเวลาออกเดินทาง ซึ่งต้องผ่านโค้งนั้นอยู่แล้ว ผม นุ และภัทรต่างนั่งมองอย่างใจจด ใจจ่อด้วยความอย่างรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอผ่านโค้งนั้นปรากฎว่า ไม่มีต้นกล้วย เหลือเพียงตอกล้วยที่ถูกตัดสูงประมาณ 1 คืบเท่านั้น และที่สำคัญคือทุกตอแห้ง แห้งจนเป็นสีน้ำตาลราวกับว่าผ่านลมผ่านฝนมาเป็นเวลานานมากแล้ว ให้ตายเถอะ!! แล้วที่เห็นเป็นดงเลยล่ะ
ความในใจผู้เขียน เรื่องนี้ผมนั่งถกเถียงกับเพื่อนอยู่พอสมควรว่าใครกันแน่ที่ตาฝาด แต่จากภาพที่ปรากฎในตอนเช้าสายตาทั้งสามคู่นั้นยืนยันตรงกันว่าเป็นตอกล้วยที่แห้งแล้ว ไม่ใช่ต่อกล้วยที่เพิ่งจะถูกโค่น ถ้าหากสตรีผู้นั้นจะเป็นผู้โค่นดงกล้วยราวครึ่งร้อยนั่นเพียงผู้เดียว ตอกล้วยเหล่านั้นก็ควรจะเป็นสีเขียวอยู่ไม่ใช่แห้งเป็นสีน้ำตาลเสียเช่นนี้
เรื่องราวต่อไปผมจะทยอยเขียน และค่อยๆอัพมาให้อ่านกันนะครับ หลอนบ้างไม่หลอนบ้างตามแต่ประสบการณ์ที่ผมพบเจอมาเอื้ออำนวยจะเอื้อ ติชมเนื้อหาได้นะครับ บางตอนอาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ อ่านแล้วไม่สนุกก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย
เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ : ตอนที่ 1 ใครในดง
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
สวัสดีครับผมชื่อแมนครับพื้นเพเดิมเป็นคนเชียงใหม่ ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน
“พรุ่งนี้ 6 โมงเช้าอย่าสายนะโว้ย” เสียงของนุตะโกนบอกผมขณะที่ผมกำลังทำเวรอยู่ ผมขานรับโดยที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาทำเวรเพื่อรีบกลับไปจัดเตรียมของสำหรับไปเข้าค่าย ใช่ครับเข้าค่ายเป็นค่ายที่ทางชมรมวิทย์ฯ จัดขึ้นมาเองโดยมีครูศิลาชายร่างเล็กอายุราวห้าสิบกว่าเป็นครูผู้ดูแลชมรมเป็นผู้สนับสนุนการจัดงาน “ค่ายวิทย์ฯ” ในครั้งนี้ ตามแผนนั้นเราจะไปกัน 4 วัน 3 คืน และที่พักนั้นคือการกางเต้นท์นอน
เช้าวันพฤหัสบดีหลายๆคนที่มาถึงก่อนเวลานัดต่างจับกลุ่มนั่งจ้อถึงความตื่นเต้นก่อนจะเริ่มเดินทาง จนกระทั่งมากันครบคน ครูศิลาก็ดำเนินรายการแนะนำความเป็นมาและความสำคัญของค่ายวิทย์ฯ พร้อมกับให้สมาชิกแนะนำตัวตามประสาเด็กมัธยมต้น โดยสมาชิกมีประมาณ 24 คน หกโมงครึ่ง ล้อเริ่มหมุนออกจากโรงเรียนเล็กในตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่จุดชมวิวแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อาศัยรถสองแถว (รถแดง) เป็นพาหนะในการเดินทาง การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น บ้างชมวิว บ้างถ่ายรูป ร้องรำทำเพลงตามประสาเด็ก การเดินทางใช้เวลาไปมากพอสมควร กว่าจะถึงจุดชมวิวก็ช่วงบ่ายเข้าไปแล้ว หลังจากอิ่มหนำสำราญทั้งอาหาร ทั้งชมวิวก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ที่พักในคืนนี้ โดยที่พักในคืนนี้ก็คือในเขตสำนักงานอุทยานใกล้ๆ จุดชมวิวนั่นแหละ ทันทีที่ไปถึงอุทยานที่ครูศิลาได้ติดต่อประสานงาน เจ้าหน้าที่ต่างมาต้อนรับราวกับว่าไม่ค่อยมีคนมาฉะนั้น…
หลังจากทยอยนำสัมภาระลงจากรถสองแถวก็มีเจ้าหน้าที่พาไปยังบริเวณพื้นที่กางเต้นท์ โดยต้องข้ามลำธารสายเล็กๆซึ่งใส และเย็นมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงเบื้องหน้าเป็นลานกว้าง พื้นปูด้วยหญ้าราวกับว่ามีใครซักคนเอาพรมสีเขียวมาปูไว้ก็มิปาน มีต้นไม้สูงเป็นระยะๆ ด้านขวามือริมชายป่ามีบริเวณที่เป็นแค้มป์ไฟสำหรับกิจกรรมช่วงกลางคืน จะอุทานให้เป็นภาษาสมัยนี้ก็คงอุทานว่า “ชีวิตดี้ดีย์” สายลมอ่อนๆโชยมาพร้อมกับอากาศที่เย็นยะเยือก เสมือนถูกเตือนว่า ใกล้ค่ำแล้วนะกางเต้นท์ได้แล้ว บริเวณที่กางเต้นท์นั้น ทางชมรมได้เลือกบริเวณที่ใกล้กับแค้มป์ไฟ เพื่อที่จะยึดแค้มป์ไฟให้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของชมรมนั่นเอง ก่อนจะเริ่มกางเต้นท์ครูศิลาได้บอกให้นักเรียนทุกคนว่า หลังจากกางเต้นท์เสร็จแล้วให้ทุกคนมาประชุมกันเพื่อแจ้งกิจกรรมช่วงค่ำกัน หลังจากกางเต้นท์เสร็จก็เป็นเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ครูศิลาก็เริ่มบรรยายถึงกิจกรรมช่วงค่ำโดยกำหนดการก็คือ หลังจากแยกย้ายกันรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ก็จะเดินทางสำรวจธรรมชาติเวลากลางคืน (สำรวจอะไรล่ะครับช่วงกลางคืน) โดยจะแยกกันเป็นขบวนๆไปมีทั้งหมดประมาณ 5 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มผมอันประกอบด้วย ผม นุ ภัทร กัน สี่หน่อเป็นขบวนที่สาม (อ้อ..ผมลืมเล่าไปว่าอุทยานนั้นมีบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งผมมาทราบเอาภายหลังจากที่เดินไปนั่นแหละว่ามีบ่อน้ำพุร้อนอยู่บริเวณนี้ )
หลังจากจัดการกับอาหารที่เหลือจากช่วงเที่ยงแก๊งสี่หน่อของผมก็เตรียมตัวกันอย่างทะมัดทะแมงเตรียมตัวอย่างดี เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ทุกคนก็เดินออกมาจากเต้นท์ อากาศเย็นยะเยือกของหน้าหนาวพัดมากระทบกับท้ายทอย รู้สึกขนลุกพิลึกเหมือนกัน
“เอ้าอย่าลืมไฟฉายนะ” ผมพูดกับเพื่อนแก๊งสี่หน่อ ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กหลั่ก เยียดเปียด ลืมเอาไฟฉายมากันแน่ๆผมคิดในใจ ถามไปถามมาทุกคนก็ลืมเาไฟฉายมากันจริงๆเสียด้วยผมก็เลยบอกไปว่า “เดี๋ยวกุเอาไฟฉายของกุมาก็ได้” พูดเสร็จผมก็มุดตัวกลับเข้าไปในเต้นท์ แล้วทำการรื้อกระเป๋ามือผมก็ควานไปเจอถุงถุงหนึ่งเลยหยิบออกมาดูว่าพ่อกับแม่เอาอะไรมาใส่ในกระเป๋า ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านเดากันไม่ถูกหรอกครับ มันคือเทียนครับ เทียนเป็นเล่มๆเลยมีอยู่ประมาณ 7 – 8 เล่ม ขนาดประมาณหัวแม่มือ(ของเด็ก) นอกจากนั้นผมก็ไม่เจออะไรที่จะให้แสงสว่างอีกนอกจากไฟเช็ค “โว๊ะ…อิป้ออิแม่” (โธ่เอ้ย…คุณพ่อคุณแม่) ผมอุทานได้แค่นี้แหละครับ ส่วนเพื่อนๆผมก็ฮาไปตามระเบียบ มีแสงดีกว่าไม่มีเทียนก็เถอะเทียนวะ
เมื่อเวลาที่นัดหมายมาถึงประมาณเกือบสองทุ่มครูศิลาก็อธิบายรายละเอียดให้นักเรียนทราบพอเป็นสังเขปว่า เส้นทางการเดินทางชมธรรมชาตินี้จะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที และระหว่างทางจะมีบ่อน้ำพุร้อนข้างทาง โดยแต่ละกลุ่มจะเว้นช่วงเวลาเพื่อจะให้กลุ่มต่อไป เริ่มเดินสำรวจประมาณ 15 นาที เวลาล่วงเลยมาจนถึงกลุ่มของผม แก๊งสี่หน่อก็เริ่มออกเดินทาง โดยเส้นทางนั้นจะเป็นทางดิน บางช่วงก็จะเป็นสะพานไม้ สองข้างทางก็จะเป็นป่าที่ค่อนข้างทึบ และที่สำคัญ ไม่มีคณะเดินทางอื่นนอกจากคณะของผม การเดินทางในช่วงแรกเราอาศัยแสงจากดวงจันทร์เป็นส่วนมากเนื่องจากไม่มีบนไม้ใหญ่มาบดบัง สุดท้ายเราก็ต้องเริ่มใช้เทียนในการนำทางเนื่องจากต้นไม้เริ่มทึบมากขึ้นทำให้บดบังแสงจันทร์เสียหมด โดยเราต้องชูเทียนไว้เหนือศรีษะเพื่อที่แสงของเทียนจะได้ไม่แยงตา ผมเดินไปได้ประมาณ 15 นาทีและได้ยินเสียงเดือดของน้ำพุร้อนก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาว่าพวกเราไม่ได้หลงทางขณะที่ผมกำลังสดับฟังเสียงน้ำพุร้อนนั้น ผมก็รู้สึกว่าถูกชน แล้วมีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ขนาดตัวพอๆกับพวกผมวิ่งแซงพวกผมไป พวกผมเองก็คิดว่า คงพวกเดียวกันนี่แหละแกล้งกันแน่ๆ แก๊งสี่หน่อของผม เดินไปพลาง เล่นไปพลางจนกระทั่งถึงปลายทาง ครูศิลาก็นั่งรออยู่กับกลุ่มที่เริ่มเดินก่อนหน้าผม ครูศิลาก็เอ่ยปากเชื้อเชิญให้พวกผมไปนั่งล้อมวงด้วย
ผมจึงเดินไปนั่งล้อมวงด้วยพร้อมกับเปรยออกไปว่า “เมื่อกี้เดินๆอยู่ไม่รู้ว่าถูกใครวิ่งชนหัวเกือบทิ่ม…น่าจะวิ่งไปแกล้งกลุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้ามีใครโดนแกล้งมั้ย”
ทุกคนหันมาแล้วถามว่า “ใคร” สุดท้ายซักไซร้ไล่เรียงกันไป ก็สรุปกันไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นใคร…แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้น การเริ่นต้นทักทายจากสถานที่แห่งนี้
หลังจากกิจกรรมเดินสำรวจธรรมชาติยามวิกาลเสร็จ แก๊งสี่หน่อของพวกผมก็ได้แอบไปแช่น้ำพุร้อนแล้วก็เข้านอนพร้อมกับความคิดในหัวผมว่า “เด็กคนนั้นเป็นใคร” แล้วความคิดผมก็ชัตดาวน์ไป “ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ” เสียงนาฬิกาข้อมือของเพื่อนร่วมเต้นท์คนหนึ่งดังขึ้น ผมชำเลืองดูนาฬิกาข้อมือผม ตอนนั้นปรากฎเป็นเวลา 04.32 น. ผมจำเวลานั้นได้แม่นทีเดียว เพราะจุดเริ่มต้นเป็นประสบการณ์ที่แจ่มชัด ชัดเจน ชนิดที่ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็เชื่อว่าโลกนี้มีผี แม้ว่าตัวผมเองจะพิสูจน์ไม่ได้ก็ตาม บางทีผมก็นอกเรื่องไปบ้างท่านผู้อ่านก็อย่าได้ถือสานะครับ กลับเข้ามาสู่เนื้อเรื่อง
นุก็สะกิดผม “แมนเฮ้ย ตื่นยังวะ” ผมก็อื้อๆ อื้มๆไป “เฮ้ยนอนไม่ต่อไม่ได้แล้ววะ หนาวนอนไม่หลับ” นุบ่นเจื้อยแจ้ว ด้วยความรำคาญผมก็ลุกขึ้นมา “หนาวใช่มั้ย ปะไปวิ่งกัน” กันซึ่งนอนอยู่เงียบๆ ผลุดทะลึ่งลุกขึ้นมา ทำเอาผมกับนุตกใจเกือบจะตั้นหน้าเข้าให้ พร้อมกับพูดว่า “กุไปด้วย” ตกลงกันสามคนออกไปวิ่งตอนตีสี่!!!
หลังจากเตรียมชุดกันพร้อมสรรพก็เปิดประตูออกคลานออกไปภายนอกเต้นท์ อากาศภายนอกเย็นยะเยือกยิ่งกว่าในเต้นท์เสียอีกยามลมพัดโชยมา ทำเอาขนลุกกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว กันเดินนำหน้าขบวนไป ขณะนี้ผมขออนุญาตเปลี่ยนชื่อกลุ่มจากสี่หน่อเป็นสามเกลอก็แล้วกันนะครับ แก๊งสามเกลอเริ่มออกวิ่งออกไปด้านหน้าทางเข้าอุทยาน มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่เราวิ่งออกมาจากเขตอุทยานได้ไม่ไกลนัก
แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยจะสู้ดีกับสถานที่นั้น ผมเลยบอกกับสหายแก๊งสามเกลอว่า “ถึงโค้งหน้าเรากลับกันมั้ย” บริเวณโค้งด้านหน้านั้น เป็นทางที่ตัดภูเขา (มีลักษณะเป็นเหมือนหน้าผาเนื่องจากมีการตัดภูเขาเพื่อทำถนน) มีลักษณะเป็นโค้งหักศอก และมีต้นกล้วยราวครึ่งร้อยเห็นจะได้ขึ้นอยู่ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีห้า ซึ่งแสงสว่างยังมีไม่มากนัก จึงเห็นแต่เพียงแสงสลั่วๆลอดผ่านสายหมอกที่ปกคลุมท้องฟ้าอย่างหนาแน่น ในใจผมรู้สึกว่า “ไม่ชอบใจดงกล้วยนั่นเสียจริง” เพียงไม่กี่สิบเมตรแก๊งสามเกลอก็จะวิ่งไปถึงดงกล้วยเจ้ากรรมนั่น แต่อนิจจาสายตาผมเห็น เห็นเงาสตรีนางหนึ่งม้วนผมพร้อมกับคาดสะใบปลิ้วสไหว และในมือถือมีดอีโต้ สไลด์เข้าไปในดงกล้วยนั่นมิใช่การเดินตามปกติของมนุษย์เป็นแน่!! ชิหายแล้ว เนื่องด้วยแสงสว่างที่มีไม่มากนักกรปกับความคิดของเมื่อคืน ทำให้ผมพูดกับตัวเองว่าตาฝาดแน่ๆ
เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ผมเห็นภาพนั้นนุได้ชี้มือไปด้านหน้าพร้อมกับตะโกนว่า “เฮ้ย…มะ” ผมได้ยินเพียงแค่นั้นครับ แค่นั้นจริงๆ ร่างกายผมหันหลังราวกับมีเส้นเชือกมากระตุกให้หันหลังกลับ แล้วใส่เกียร์หมาเปิดแนบก่อนเพื่อนเลย ในใจผมขณะนั้นมันน่ากลัว กลัวว่าเค้าจะวิ่งตามมา กลัวว่าเค้าจะมาดักตรงหน้าแต่ขากระผมเองก็หยุดวิ่งไม่ได้ ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า เชื่องช้าเสียเหลือเกินราวกับเวลาทั้งหมดจะหยุดเสียฉะนั้น
ส่วนนุผู้ซึ่งรู้สถานการณ์ดีอยู่แล้ว ประกอบกับเห็นผมใส่เกียร์หมาไปก่อนแล้ว ก็สับเกียร์ R ถอยกลับลำวิ่งตามผมมา เหลือเพียงภัทร ผู้ซึ่งไม่รู้ ไม่เห็นอะไรซักอย่าง ได้แต่ตะโกนถามว่า วิ่งไปไหนกัน ผมกับนุก็แหกปากไปว่า “เจอผี ผีหลอก หนีเร็ว” ตะโกนโหวกเหวกอยู่อย่างนั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะได้ยินหรือเปล่า ส่วนท่านเจ้าคุณภัทรก็วิ่งจ๊อกกิ้ง ย้ำนะครับ จ๊อกกิ้ง ค่อยๆตามมาอย่างผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
จนกระทั่งกลับเข้ามาในเขตอุทยานก็มานั่งคุยกันว่าเห็นอะไร นุบอกกับผมว่า “กุเห็นผู้หญิงใส่สะใบอยู่ในดงกล้วย” บ๊ะ!! มันช่างตรงกับที่เห็นเสียนี่กระไร ครับเป็นชัดเจนแน่แท้แล้วว่าเห็น แต่คำให้การของภัทรนั้นกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง (สรุปใจความสำคัญเท่าที่ผมจะสามารถระลึกชาติได้) “กุไม่แน่ใจนะว่ามีดงกล้วยรึเปล่า แต่กุไม่เห็นต้นกล้วยซักต้นเห็นแต่รอยตัดภูเขาเพื่อทำถนนแค่นั้น”
เมื่อความเห็นไม่ตรงกันการพนันก็เกิดขึ้นว่าไปนั่น ความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องพิสูจน์สิครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย พิสูจน์โดยการกลับไปดูสถานที่แห่งนั้นว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร แต่จะไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะผมก็เลยบอกไปว่า “เอาแบบนี้ไหมรอออกเดินทางตอนเช้า เราก็ผ่านอยู่แล้วมาดูกันว่าเป็นยังไง” เอาจริงๆก็คือปอดนั่นแหละครับ ใจจริงอย่างจะไปดูให้รู้แล้วรู้รอดเสีย แต่ขามันไม่ไปใจก็ไม่ถึง จนต้องรอกระทั่งถึงเวลาออกเดินทาง ซึ่งต้องผ่านโค้งนั้นอยู่แล้ว ผม นุ และภัทรต่างนั่งมองอย่างใจจด ใจจ่อด้วยความอย่างรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอผ่านโค้งนั้นปรากฎว่า ไม่มีต้นกล้วย เหลือเพียงตอกล้วยที่ถูกตัดสูงประมาณ 1 คืบเท่านั้น และที่สำคัญคือทุกตอแห้ง แห้งจนเป็นสีน้ำตาลราวกับว่าผ่านลมผ่านฝนมาเป็นเวลานานมากแล้ว ให้ตายเถอะ!! แล้วที่เห็นเป็นดงเลยล่ะ
ความในใจผู้เขียน เรื่องนี้ผมนั่งถกเถียงกับเพื่อนอยู่พอสมควรว่าใครกันแน่ที่ตาฝาด แต่จากภาพที่ปรากฎในตอนเช้าสายตาทั้งสามคู่นั้นยืนยันตรงกันว่าเป็นตอกล้วยที่แห้งแล้ว ไม่ใช่ต่อกล้วยที่เพิ่งจะถูกโค่น ถ้าหากสตรีผู้นั้นจะเป็นผู้โค่นดงกล้วยราวครึ่งร้อยนั่นเพียงผู้เดียว ตอกล้วยเหล่านั้นก็ควรจะเป็นสีเขียวอยู่ไม่ใช่แห้งเป็นสีน้ำตาลเสียเช่นนี้
เรื่องราวต่อไปผมจะทยอยเขียน และค่อยๆอัพมาให้อ่านกันนะครับ หลอนบ้างไม่หลอนบ้างตามแต่ประสบการณ์ที่ผมพบเจอมาเอื้ออำนวยจะเอื้อ ติชมเนื้อหาได้นะครับ บางตอนอาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ อ่านแล้วไม่สนุกก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย