คือเรื่องนี้เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆเมื่อเช้าวันศุกร์ที่แล้ว อันนี้เราเขียนไว้ตั้งแต่วันนั้นนะคะ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ถึงเพิ่งเอามาลง
ศุกร์ที่แล้วคือเราก็นัดเพื่อนมาทำสแตนปกติ แต่เพราะเป็นวันหยุดเลยต้องไปขอกุญแจกับยามมาเปิดอาคาร แล้วก็ไปทำงานกันที่ห้องที่ชั้นสองกันค่ะ สักพักเพื่อนก็ทยอยกันมาทำงานเรื่อยๆ ทุกอย่างก็ปกติ
แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า เคยเห็นรอยเท้าสีดำเล็กๆอยู่ตรงบันไดด้วย เพื่อนคนนี้เขาจะมาเช้ามากน่ะค่ะ เราก็ตอบไปว่า ลูกอาจารย์ป๊ะ คือ ไม่ได้คิดอะไรทางนั้นเลยอ่ะค่ะ ซึ่งห้องเราก็อยู่ติดกับบันได คือเดินจากห้องไปทางด้านซ้ายก็เป็นบันไดอ่ะค่ะ แล้วเยื้องๆนั้นก็จะเป็นห้องน้ำหญิง
แล้วจู่ๆเราก็ปวดท้องถ่ายค่ะ ก็เรื่องปกติเพราะเรากินนาบำรุงเลือด(เป็นเลือดจาง)อยู่แล้ว เพื่อนก็เลยฝากขยะไปทิ้งด้วย เพราะหน้าห้องน้ำมีถังขยะเล็กๆอยู่ เราก็รับมาแล้วก็ทิ้ง คือจริงๆก่อนหน้านี้กะเอาไปทิ้งเองข้างนอกแหล่ะค่ะ เพราะมันวันหยุดไม่มีคนมาทำงาน แต่เราเป็นพวกลืมง่ายค่ะ ไม่กี่วิก็ลืมแล้ว(อันนี้พูดจริง) คือเวลาหนึ่งนาทีนี่ครบทุกอารมณ์ค่ะ 555
เราก็เดินเข้าห้องน้ำมา ก็เลือกเข้าห้องทางขวาที่มันถัดจากห้องที่ตรงประตูมาหน่อย เพราะรู้สึกว่าห้องที่อยู่ตรงประตูมันจะแบบเหมือนมีไรไม่ดีน่ะค่ะ ก็เข้าไปคิดไรเรื่อยเปื่อย คิดถึงเรื่องรอยเท้าที่เพื่อนพูดแล้วก็คิดเรื่องอื่นไป
สักพัก ได้ยินเสียง “ก็อกๆ”จากตรงประตู เราก็เลยคิดว่าเพื่อนแกล้ง เพราะเราเป็นพวกเฉื่อยน่ะค่ะ ยังไม่มีใครจาดเราสำเร็จเลย เลยนึกว่าเพื่อน เราก็มองไปที่ช่องใต้ประตู ตรงนั้นแสงจากข้างนอกจะส่องเข้ามาตลอด ถ้ามีคนยืนหน้าห้องจะเห็นเป็นเงามืดอ่ะค่ะ แต่นี่ไม่มี เราก็เลยคิดว่า อ๋อ สงสัยอยู่ห้องข้างๆแล้วยื่นมือมาเคาะ ก็ทำเป็นเฉยค่ะ
สักพักก็ “ก็อกๆ” เราก็แน่ แกล้งกรู “ก็อกๆ” แน่ แกล้งกรูอีกแล้ว “ก็อกๆ” คือ คราวนี้ ฟีลลิ่งมันแบบ ไม่ใช่แล้วอ่ะค่ะ ต่อให้แกล้งกันเราก็กลัวอยู่ดี ก็เลยนั่งทำใจสักพัก เพราะกลัวว่าถ้าออกไปตอนนี้โดนจาดมานี่ กรี๊ดแน่ๆค่ะ อุตส่าห์สั่งสมสถิติมา 5555
สักพักเราก็เดินออกไปค่ะ ไม่ได้แวะล้างมือ(ซกมกค่ะ อย่าทำตาม) ก้าวเร็วๆไปที่ห้องเพราะกลัวหน่อยๆ ก็คิดไปตามทางว่า ถ้าพวกนั้นยังทำงานอยู่ที่ห้องนี่อาจไม่ได้เป็นคนเคาะก็ได้ เพราะระยะเวลากว่าเราจะออกมาก็มากพอทีจะเนียนกลับมาทำงานต่ออยู่
เข้าห้องปุ๊บเราก็ถามเพื่อนเลยว่า มีคนไปห้องน้ำไหม เพื่อนเราก็ตอบว่าไม่ค่ะ คือเราเริ่มหน้าชามาก เลยถามซ้ำอีกรอบ ไม่มีใครไปเลยหรอ เพื่อนเราก็บอก ที่อยู่นี่ยังไม่มีใครไปไหนสักคน แล้วก็ยิ้มไปด้วยค่ะ(คือคนตอบคนนี้เขาเป็นคนอารมณ์ดีค่ะ ยิ้มบ่อย นิสัยดี น่ารัก

)
เราก็เลยแน่ โกหกกันใช่ไหม บอกตามตรงว่าใจชื้นขึ้นมากค่ะ เพื่อนก็บอก เอ๊า ไม่ได้ไปจริงๆ (ชื่อเรา)ไปเจอไรงั้นหรอ เราก็แบบ หน้าชาอีกรอบค่ะ ก็ตอบเพื่อนไปว่า ได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สามครั้ง เพื่อนก็เริ่มหุบยิ้มค่ะ ตอบกลับมาว่า แต่ไม่มีใครไปจริงๆนะ เตงก็รู้ถ้าเค้าโกหก เค้าก็สารภาพไปแล้ว
คือตอนนั้นเราแบบ ใจตกวูบ แล้วก็เลยพูดเปลี่ยนเรื่องไปค่ะ เพราะไม่อยากให้เพื่อนกลัว แต่เพื่อนก็ถามว่าเสียงยังไง เราก็บอก ก็อกๆ (คือ การที่เจออะไรแบบนี้แล้วมีที่ระบายนี่มันสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยอ่ะค่ะ) แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่อง ก็แยกย้ายไปทำงานต่อ
ทีแรก เราก็นั่งทำส่วนของแผ่นเราคนเดียวค่ะ แต่มือขยับสมองก็โลดแล่นไปด้วยจินตนาการมากค่ะ แหม่ เราเลยย้ายไปนั่งกับเพื่อนคนนั้น แต่จินตนาการก็ยังโลดแล่นต่อไปค่ะ เราเลยบ่นๆไปว่า เราจะร้องเพลง จินตนาการจะได้ไม่โลดแล่น(คือ ถ้าเราได้พูดอะไรเราจะไม่เก็บเรื่องนั้นมาคิดอีกน่ะค่ะ) ทำไปได้สักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า (ชื่อเรา) เตงจำเรื่องรอยเท้าที่(ชื่อเพื่อนอีกคน)เล่าได้ไหม
เราก็เลยเผลอตะโกนไปเลยค่ะ ว่า โอ๊ย(ชื่อเพื่อน) เค้าก็กำลังคิดอยู่เนี่ย คือตอนเช้านี่ ไม่มีใครไปแกล้งเค้าจริงๆใช่ไหม คือเราจะโกรธมากอ่ะค่ะ ถ้าเพื่อนแบบมาเล่นกับความรู้สึกเรา แต่ก็แอบคิดว่าคงดีกว่าคำตอบในประโยคถัดไปของเพื่อนเราอ่ะค่ะ
“ไม่มีจริงๆ”
แล้วคือแบบ เราก็เงียบ ส่วนคนที่เล่าเรื่องเมื่อเช้านี่เริ่มสนุกปาก พูดขึ้นมาทันทีค่ะ (ชื่อเรา) เค้ามีเรื่องเกี่ยวกับห้องเตงมาเล่าด้วย เราเลยรีบขัดเลยว่า โอ๊ย ไม่ คือที่ปฏิกริยาเรารุยแรงขนาดนั้นคือก่อนหน้านั้นเราเคยเจอมาแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ที่อาคารเรียน แต่เป็นที่หอที่เราอยู่ แล้วแบบฟีลลิ่งตอนนั้นคือเรากลัวมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ อยู่แต่ในห้องทั้งวัน ข้าวปลาไม่ไปหากิน เราก็เลยไม่อยากทำให้ตัวเองหวาดระแวงและจิตตกไปมากกว่านั้นอีก เพราะไม่ว่าเราจะเห็นจริงหรือแค่หลอนไปเอง เราก็กลัวค่ะ
แล้วยิ่งเวลาจิตตก ก็จะแบบ หลอนเห็นนู่นนี่ คือหลังจากที่ผ่านช่วงเช้าช่วงบ่ายไปอย่างไม่มีปัญหาไร บอกแล้วว่าเราขี้ลืมค่ะ คือข้อดีที่ทำให้คนคิดเยอะแบบเราไม่คิดมาก เราก็เริ่มกลับมาเป็นปกติค่ะ แล้วตอนเย็นที่ปิดห้อง ก็เดินออกมา หางตาก็เห็นเงาดำๆในห้องน้ำ ก็พยายามคิดว่า มันคือที่ที่แสงส่องไม่ถึงแน่เลย เพราะตอนนั้นอาคารไม่ได้มืดมากขนาดไม่เห็นอะไรเลยอ่ะค่ะ
แล้วพอปิดอาคารอะไรเรียบร้อย โดยมีเพื่อนคนที่คุยกับเราตอนเช้า เดินถือโปรเจ็กเตอร์ที่เอาไว้ฉายภาพตอนทำงานไปส่งเราก็นึกขึ้นได้ค่ะ ว่าวันที่เราเข้าหอวันแรกน่ะ เราเปิดห้องเข้าไปแล้วแบบ มันหวิวมากค่ะ ชั้นเรานี่มีเราคนเดียวด้วยซ้ำมั้ง ซึ่งเราอยู่ชั้นสี่ ที่ขึ้นชื่อฤาชามากค่ะ เราก็คิด เออ หนูขออยู่ทำงานหน่อยนะคะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยแวะซื้อพวงมาลัยมาสักหน่อยดีกว่า คือ ให้พออุ่นใจนิดนึงอ่ะค่ะ
แล้วเราก็ลืมไปจากวันจันทร์จนถึงวันศุกร์เลย ก็เลยแอบคิดว่าเจ้าที่หรือเปล่า เพราะเราก็มาอยู่โดยไม่ได้ทำเรื่องขออาจารย์ไว้ค่ะ(คือเลวมาก) พอดีหอที่อยู่เป็นหอใน แล้วช่วงนี้ปิดเทอมแต่นักกีฬาที่จะแข่งกีฬาสาธิตมายู่ซ้อม เราเลยโทรบอกเพื่อนอีกคนที่ไปกินข้าวกับแฟนว่าให้ซื้อพวงมาลัยมาด้วย เพื่อนก็ถามมีไร เราก็เออ ไม่มีไรหรอก คือมันเป็นแค่ความคิดเราอ่ะค่ะ ไม่อยากพูดไรมาก
ส่วนเพื่อนที่มากับเรานี่ ถามเลยค่ะ เตงไม่เป็นไรนะ หน้าเตงดูซีดมาก เราก็ตอบไม่เป็นไรๆ แล้วก็ลาเพื่อนคนนั้นค่ะ เพราะเขาเป็นเด็กบ้าน ก็ฝากคืนกุญแจอาคารไปด้วย แต่ตอนที่พูดกับเพื่อนยอมรับว่าน้ำตาคลอเบ้าค่ะ คือเราเป็นพวกถ้าพูดเรื่องน่ากลัวจะเป็นงี้อยู่แล้ว
แล้วพอเดินไปจะเข้าหอก็ ล็อคค่ะ เราก็ลืมเลยว่ามันเป็นวันปิยะฯ ซึ่งวันหยุดชนกับเสาร์อาทิตย์อย่างนี้อาจารย์จะไม่ให้อยู่ๆแล้วค่ะ เราก็เชี้ยมมม เลยรีบโทรบอกพ่อกับแม่ให้มารับ ก็โชคดีที่บ้านไม่ไกลมากค่ะ แต่เพื่อนอีกคนที่เพิ่งมาทำงานวันพุธและมานอนกับเรา บ้านเขาอยู่ไกล เราก็เลยโทรไปบอกว่าอาจารย์ปิดหอแล้วคืนนี้นอนบ้านเรา
เพื่อนก็น่ารักมากค่ะ จากที่ไปกินข้าวกับแฟนหลังเสร็จงานก็รีบวิ่งมาหาเรา (คือแฟนมันก็มานั่งทำสแตนด้วยกันค่ะ) ก็คุยกัน เพื่อนก็บอก เห็นเงาคนตรงหน้าประตู แหม่ คือแบบ ถ้าคืนนี้เรานอนหอที่เราว่าก็คงไม่มีโอกาสเล่าเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ คือคงจะกลัวมากแล้วนอนแบบไม่อาบน้ำ แต่นี่อยู่บ้านเลยอุ่นใจ มีเพื่อนมานอนเบียดข้างๆด้วย แต่เพราะเพื่อนรีบเลยไม่ได้ซื้อพวงมาลัยมาค่ะ เราก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรแล้ว แล้ววันอาทิตย์ที่เข้าหอก็จะซื้อไปไหว้แทน
พอลองคุยกับเพื่อนอีกที ก็พูดกันว่า เขาอาจจะมาบอกก็ได้ว่าหอจะปิดน่ะค่ะ แต่จะอะไรก็ภาวนาให้ตัวเองไม่เจออะไรอีกอยู่ดี พวงมาลัยก็ซื้อมาไหว้แล้ว ช่วงนี้แค่จะทำอะไรตอนดึกๆไม่ได้ค่ะ เพราะยังหลอนอยู่ แต่ทำในห้องได้นะ เราว่ามันพื้นที่แคบแล้วอุ่นใจดี
เสียงเคาะ
ศุกร์ที่แล้วคือเราก็นัดเพื่อนมาทำสแตนปกติ แต่เพราะเป็นวันหยุดเลยต้องไปขอกุญแจกับยามมาเปิดอาคาร แล้วก็ไปทำงานกันที่ห้องที่ชั้นสองกันค่ะ สักพักเพื่อนก็ทยอยกันมาทำงานเรื่อยๆ ทุกอย่างก็ปกติ
แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า เคยเห็นรอยเท้าสีดำเล็กๆอยู่ตรงบันไดด้วย เพื่อนคนนี้เขาจะมาเช้ามากน่ะค่ะ เราก็ตอบไปว่า ลูกอาจารย์ป๊ะ คือ ไม่ได้คิดอะไรทางนั้นเลยอ่ะค่ะ ซึ่งห้องเราก็อยู่ติดกับบันได คือเดินจากห้องไปทางด้านซ้ายก็เป็นบันไดอ่ะค่ะ แล้วเยื้องๆนั้นก็จะเป็นห้องน้ำหญิง
แล้วจู่ๆเราก็ปวดท้องถ่ายค่ะ ก็เรื่องปกติเพราะเรากินนาบำรุงเลือด(เป็นเลือดจาง)อยู่แล้ว เพื่อนก็เลยฝากขยะไปทิ้งด้วย เพราะหน้าห้องน้ำมีถังขยะเล็กๆอยู่ เราก็รับมาแล้วก็ทิ้ง คือจริงๆก่อนหน้านี้กะเอาไปทิ้งเองข้างนอกแหล่ะค่ะ เพราะมันวันหยุดไม่มีคนมาทำงาน แต่เราเป็นพวกลืมง่ายค่ะ ไม่กี่วิก็ลืมแล้ว(อันนี้พูดจริง) คือเวลาหนึ่งนาทีนี่ครบทุกอารมณ์ค่ะ 555
เราก็เดินเข้าห้องน้ำมา ก็เลือกเข้าห้องทางขวาที่มันถัดจากห้องที่ตรงประตูมาหน่อย เพราะรู้สึกว่าห้องที่อยู่ตรงประตูมันจะแบบเหมือนมีไรไม่ดีน่ะค่ะ ก็เข้าไปคิดไรเรื่อยเปื่อย คิดถึงเรื่องรอยเท้าที่เพื่อนพูดแล้วก็คิดเรื่องอื่นไป
สักพัก ได้ยินเสียง “ก็อกๆ”จากตรงประตู เราก็เลยคิดว่าเพื่อนแกล้ง เพราะเราเป็นพวกเฉื่อยน่ะค่ะ ยังไม่มีใครจาดเราสำเร็จเลย เลยนึกว่าเพื่อน เราก็มองไปที่ช่องใต้ประตู ตรงนั้นแสงจากข้างนอกจะส่องเข้ามาตลอด ถ้ามีคนยืนหน้าห้องจะเห็นเป็นเงามืดอ่ะค่ะ แต่นี่ไม่มี เราก็เลยคิดว่า อ๋อ สงสัยอยู่ห้องข้างๆแล้วยื่นมือมาเคาะ ก็ทำเป็นเฉยค่ะ
สักพักก็ “ก็อกๆ” เราก็แน่ แกล้งกรู “ก็อกๆ” แน่ แกล้งกรูอีกแล้ว “ก็อกๆ” คือ คราวนี้ ฟีลลิ่งมันแบบ ไม่ใช่แล้วอ่ะค่ะ ต่อให้แกล้งกันเราก็กลัวอยู่ดี ก็เลยนั่งทำใจสักพัก เพราะกลัวว่าถ้าออกไปตอนนี้โดนจาดมานี่ กรี๊ดแน่ๆค่ะ อุตส่าห์สั่งสมสถิติมา 5555
สักพักเราก็เดินออกไปค่ะ ไม่ได้แวะล้างมือ(ซกมกค่ะ อย่าทำตาม) ก้าวเร็วๆไปที่ห้องเพราะกลัวหน่อยๆ ก็คิดไปตามทางว่า ถ้าพวกนั้นยังทำงานอยู่ที่ห้องนี่อาจไม่ได้เป็นคนเคาะก็ได้ เพราะระยะเวลากว่าเราจะออกมาก็มากพอทีจะเนียนกลับมาทำงานต่ออยู่
เข้าห้องปุ๊บเราก็ถามเพื่อนเลยว่า มีคนไปห้องน้ำไหม เพื่อนเราก็ตอบว่าไม่ค่ะ คือเราเริ่มหน้าชามาก เลยถามซ้ำอีกรอบ ไม่มีใครไปเลยหรอ เพื่อนเราก็บอก ที่อยู่นี่ยังไม่มีใครไปไหนสักคน แล้วก็ยิ้มไปด้วยค่ะ(คือคนตอบคนนี้เขาเป็นคนอารมณ์ดีค่ะ ยิ้มบ่อย นิสัยดี น่ารัก
เราก็เลยแน่ โกหกกันใช่ไหม บอกตามตรงว่าใจชื้นขึ้นมากค่ะ เพื่อนก็บอก เอ๊า ไม่ได้ไปจริงๆ (ชื่อเรา)ไปเจอไรงั้นหรอ เราก็แบบ หน้าชาอีกรอบค่ะ ก็ตอบเพื่อนไปว่า ได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สามครั้ง เพื่อนก็เริ่มหุบยิ้มค่ะ ตอบกลับมาว่า แต่ไม่มีใครไปจริงๆนะ เตงก็รู้ถ้าเค้าโกหก เค้าก็สารภาพไปแล้ว
คือตอนนั้นเราแบบ ใจตกวูบ แล้วก็เลยพูดเปลี่ยนเรื่องไปค่ะ เพราะไม่อยากให้เพื่อนกลัว แต่เพื่อนก็ถามว่าเสียงยังไง เราก็บอก ก็อกๆ (คือ การที่เจออะไรแบบนี้แล้วมีที่ระบายนี่มันสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยอ่ะค่ะ) แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่อง ก็แยกย้ายไปทำงานต่อ
ทีแรก เราก็นั่งทำส่วนของแผ่นเราคนเดียวค่ะ แต่มือขยับสมองก็โลดแล่นไปด้วยจินตนาการมากค่ะ แหม่ เราเลยย้ายไปนั่งกับเพื่อนคนนั้น แต่จินตนาการก็ยังโลดแล่นต่อไปค่ะ เราเลยบ่นๆไปว่า เราจะร้องเพลง จินตนาการจะได้ไม่โลดแล่น(คือ ถ้าเราได้พูดอะไรเราจะไม่เก็บเรื่องนั้นมาคิดอีกน่ะค่ะ) ทำไปได้สักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า (ชื่อเรา) เตงจำเรื่องรอยเท้าที่(ชื่อเพื่อนอีกคน)เล่าได้ไหม
เราก็เลยเผลอตะโกนไปเลยค่ะ ว่า โอ๊ย(ชื่อเพื่อน) เค้าก็กำลังคิดอยู่เนี่ย คือตอนเช้านี่ ไม่มีใครไปแกล้งเค้าจริงๆใช่ไหม คือเราจะโกรธมากอ่ะค่ะ ถ้าเพื่อนแบบมาเล่นกับความรู้สึกเรา แต่ก็แอบคิดว่าคงดีกว่าคำตอบในประโยคถัดไปของเพื่อนเราอ่ะค่ะ
“ไม่มีจริงๆ”
แล้วคือแบบ เราก็เงียบ ส่วนคนที่เล่าเรื่องเมื่อเช้านี่เริ่มสนุกปาก พูดขึ้นมาทันทีค่ะ (ชื่อเรา) เค้ามีเรื่องเกี่ยวกับห้องเตงมาเล่าด้วย เราเลยรีบขัดเลยว่า โอ๊ย ไม่ คือที่ปฏิกริยาเรารุยแรงขนาดนั้นคือก่อนหน้านั้นเราเคยเจอมาแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ที่อาคารเรียน แต่เป็นที่หอที่เราอยู่ แล้วแบบฟีลลิ่งตอนนั้นคือเรากลัวมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ อยู่แต่ในห้องทั้งวัน ข้าวปลาไม่ไปหากิน เราก็เลยไม่อยากทำให้ตัวเองหวาดระแวงและจิตตกไปมากกว่านั้นอีก เพราะไม่ว่าเราจะเห็นจริงหรือแค่หลอนไปเอง เราก็กลัวค่ะ
แล้วยิ่งเวลาจิตตก ก็จะแบบ หลอนเห็นนู่นนี่ คือหลังจากที่ผ่านช่วงเช้าช่วงบ่ายไปอย่างไม่มีปัญหาไร บอกแล้วว่าเราขี้ลืมค่ะ คือข้อดีที่ทำให้คนคิดเยอะแบบเราไม่คิดมาก เราก็เริ่มกลับมาเป็นปกติค่ะ แล้วตอนเย็นที่ปิดห้อง ก็เดินออกมา หางตาก็เห็นเงาดำๆในห้องน้ำ ก็พยายามคิดว่า มันคือที่ที่แสงส่องไม่ถึงแน่เลย เพราะตอนนั้นอาคารไม่ได้มืดมากขนาดไม่เห็นอะไรเลยอ่ะค่ะ
แล้วพอปิดอาคารอะไรเรียบร้อย โดยมีเพื่อนคนที่คุยกับเราตอนเช้า เดินถือโปรเจ็กเตอร์ที่เอาไว้ฉายภาพตอนทำงานไปส่งเราก็นึกขึ้นได้ค่ะ ว่าวันที่เราเข้าหอวันแรกน่ะ เราเปิดห้องเข้าไปแล้วแบบ มันหวิวมากค่ะ ชั้นเรานี่มีเราคนเดียวด้วยซ้ำมั้ง ซึ่งเราอยู่ชั้นสี่ ที่ขึ้นชื่อฤาชามากค่ะ เราก็คิด เออ หนูขออยู่ทำงานหน่อยนะคะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยแวะซื้อพวงมาลัยมาสักหน่อยดีกว่า คือ ให้พออุ่นใจนิดนึงอ่ะค่ะ
แล้วเราก็ลืมไปจากวันจันทร์จนถึงวันศุกร์เลย ก็เลยแอบคิดว่าเจ้าที่หรือเปล่า เพราะเราก็มาอยู่โดยไม่ได้ทำเรื่องขออาจารย์ไว้ค่ะ(คือเลวมาก) พอดีหอที่อยู่เป็นหอใน แล้วช่วงนี้ปิดเทอมแต่นักกีฬาที่จะแข่งกีฬาสาธิตมายู่ซ้อม เราเลยโทรบอกเพื่อนอีกคนที่ไปกินข้าวกับแฟนว่าให้ซื้อพวงมาลัยมาด้วย เพื่อนก็ถามมีไร เราก็เออ ไม่มีไรหรอก คือมันเป็นแค่ความคิดเราอ่ะค่ะ ไม่อยากพูดไรมาก
ส่วนเพื่อนที่มากับเรานี่ ถามเลยค่ะ เตงไม่เป็นไรนะ หน้าเตงดูซีดมาก เราก็ตอบไม่เป็นไรๆ แล้วก็ลาเพื่อนคนนั้นค่ะ เพราะเขาเป็นเด็กบ้าน ก็ฝากคืนกุญแจอาคารไปด้วย แต่ตอนที่พูดกับเพื่อนยอมรับว่าน้ำตาคลอเบ้าค่ะ คือเราเป็นพวกถ้าพูดเรื่องน่ากลัวจะเป็นงี้อยู่แล้ว
แล้วพอเดินไปจะเข้าหอก็ ล็อคค่ะ เราก็ลืมเลยว่ามันเป็นวันปิยะฯ ซึ่งวันหยุดชนกับเสาร์อาทิตย์อย่างนี้อาจารย์จะไม่ให้อยู่ๆแล้วค่ะ เราก็เชี้ยมมม เลยรีบโทรบอกพ่อกับแม่ให้มารับ ก็โชคดีที่บ้านไม่ไกลมากค่ะ แต่เพื่อนอีกคนที่เพิ่งมาทำงานวันพุธและมานอนกับเรา บ้านเขาอยู่ไกล เราก็เลยโทรไปบอกว่าอาจารย์ปิดหอแล้วคืนนี้นอนบ้านเรา
เพื่อนก็น่ารักมากค่ะ จากที่ไปกินข้าวกับแฟนหลังเสร็จงานก็รีบวิ่งมาหาเรา (คือแฟนมันก็มานั่งทำสแตนด้วยกันค่ะ) ก็คุยกัน เพื่อนก็บอก เห็นเงาคนตรงหน้าประตู แหม่ คือแบบ ถ้าคืนนี้เรานอนหอที่เราว่าก็คงไม่มีโอกาสเล่าเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ คือคงจะกลัวมากแล้วนอนแบบไม่อาบน้ำ แต่นี่อยู่บ้านเลยอุ่นใจ มีเพื่อนมานอนเบียดข้างๆด้วย แต่เพราะเพื่อนรีบเลยไม่ได้ซื้อพวงมาลัยมาค่ะ เราก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรแล้ว แล้ววันอาทิตย์ที่เข้าหอก็จะซื้อไปไหว้แทน
พอลองคุยกับเพื่อนอีกที ก็พูดกันว่า เขาอาจจะมาบอกก็ได้ว่าหอจะปิดน่ะค่ะ แต่จะอะไรก็ภาวนาให้ตัวเองไม่เจออะไรอีกอยู่ดี พวงมาลัยก็ซื้อมาไหว้แล้ว ช่วงนี้แค่จะทำอะไรตอนดึกๆไม่ได้ค่ะ เพราะยังหลอนอยู่ แต่ทำในห้องได้นะ เราว่ามันพื้นที่แคบแล้วอุ่นใจดี