สงครามเย็นคือช่วงเวลาความขัดแย้งของมหาอำนาจของโลก2ฝั่งคือ สหรัฐฯอเมริกาและพันธมิตรกลุ่มสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ(NATO) กับสหภาพโซเวียตและพันธมิตรกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอร์(Warsaw Pact) ต่างฝ่ายต่างเตรียมกำลัง และตั้งท่าสะสมหัวรบนิวเคลียร์ เตรียมพร้อมใช้อาวุธรุนแรงกับอีกฝ่ายนึง โดยมีการใช้การเมืองและกำลังทหารกดดันฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นระยะๆ โดยกินระยะเวลาตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วฝ่ายอเมริกันเข้ายึดครองเยอรมันฝั่งตะวันตก ส่วนโซเวียตเข้ายึดเขตเยอรมันฝั่งตะวันออก แบ่งเยอรมันเป็น 2ประเทศ 2รูปแบบการปกครอง โดยได้มีการสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมากั้นเบอร์ลิน2ฝั่งออกจากกัน จนมาถึงช่วงต้นยุค 90 ที่เยอรมัน 2เยอรมันรวมประเทศกัน กำแพงเบอร์ลินถูกทุบทิ้ง และสหภาพโซเวียตล่มสลายแตกออกเป็นหลายประเทศปกครองกันเองแบบในปัจจุบัน
หลายๆคนที่เกิดและโตทันในยุคสงครามเย็นคงจะเคยชินกับข่าวต่างประเทศที่มีข่าวความขัดแย้งของ 2ขั้วอำนาจตลอดเวลา บางครั้งก็อาจจะคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามนิวเคลียร์อาจจะอยู่ใกล้ๆนี้แล้ว แต่ท้ายสุดโซเวียตและสหรัฐฯเจรจาลดอาวุธกันทั้งคู่ และสิ้นสุดยุคสงครามเย็นลง ทำให้ยุค 90 เป็นยุคที่พ้นความกดดันจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ครั้งนึงในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่สุดท้ายเราก็เห็นความขัดแย้งครั้งใหม่กลับมาอีกครั้งในไม่นาน
Bridge of Spies เป็นการจับเอาเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ในช่วงสงครามเย็น ที่มี James B. Donovan ทนายความชาวอเมริกัน ที่ถูกเรียกเข้าไปเป็นทนายให้กับ Rudolf Ivanovich Abel สายลับ KGB โซเวียตที่ถูก FBI จับกุมได้ที่นิวยอร์ค โดย Donovan เองเคยประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ, เคยเป็นที่ปรึกษาให้ OSS(หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯสมัยสงครามโลก ก่อนที่จะถูกยกระดับเป็น CIA) และเคยมีส่วนร่วมในการดำเนินการตัดสินคดีอาญชากรสงครามนาซีที่ Nuremberg ซึ่งผลตัดสินของศาล Rudolf Ivanovich Abel โดนตัดสิน 3กระทงความผิดคือ ส่งข้อมูลความมั่นคงให้โซเวียต, จารกรรมข้อมูลความมั่นคง และเป็นเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่เข้ามาปฏิบัติงานในแผ่นดินสหรัฐฯโดยไม่ได้แจ้งให้ รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯรับรู้ ได้รับโทษจำคุก 30ปี,10ปี,5ปี และปรับ 3พันดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็ได้ถูกนำเข้าจองจำในเรือนจำที่แอตแลนต้า จอร์เจีย ในหนังพยายามแสดงให้เห็นว่าขณะที่ประชาชนอเมริกันหลายๆคน รวมถึงผู้พิพากษาเอง พยายามที่จะไม่สนใจหลักกฏหมาย หรือรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยต้องการให้สายลับโซเวียตถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ก็มีคนอเมริกันบางส่วนที่เชื่อมั่นในระบบของสหรัฐฯว่า ถึงจะเป็นสายลับต่างชาติ และก็มีสิทธิเท่าเทียมที่จะได้รับการตัดสิน และดำเนินคดี เทียบเท่าประชาชนของสหรัฐฯ ส่วนนึงเป็นเกมการเมืองเพื่อต้องการให้เห็นถึง สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมที่ถูกยึดให้เป็นหลักของประเทศตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา แต่อีกแง่นึงก็เพื่อเก็บสายลับไว้เพื่อทั้งรีดความลับรวมถึงเผื่อใช้ต่อรองกับอีกฝ่ายในอนาคต

Donovan ถ่ายคู่กับ Fidel Castro ผู้นำของคิวบาในช่วงเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษที่โดนจับช่วงเหตุการณ์ที่อ่าวหมู

ภาพของ Rudolf Abel บนแสตมป์สะสมชุดสายลับโซเวียตที่ออกจำหน่ายในปี 1990
วันที่ 1พฤษภาคม 1960 เครื่องบินจารกรรม U-2 ของ CIA สหรัฐฯถูกโซเวียตยิงตกขณะที่แอบบินขึ้นไปถ่ายรูปเก็บข้อมูลเหนือน่านฟ้าโซเวียต โดย U-2เป็นเครื่องบินเจ็ต 1เครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Lockheed Martin บริษัทที่พัฒนาไอเท็มลับให้กองทัพสหรัฐฯมาเรื่อยๆโดยสามารถบินที่เพดานบินสูงถึง 7หมื่นฟิต และติดกล้องถ่ายภาพ เพื่อใช้บินไปเหนือพื้นที่ฝ่ายตรงข้าม ถ่ายรูปเก็บข้อมูลทางทหารต่างๆกลับมาให้ CIA วิเคราะห์ใช้งาน และด้วยเพดานบินที่สูงมากทำให้ยากแก่การตรวจจับ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในรุ่นเครื่องบินที่สหรัฐฯใช้งานยาวมาจนถึงปัจจุบัน (มีการอัพเกรดปรับปรุงมาเรื่อยๆ) และบินข้ามแผ่นดินโซเวียตมานับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่ถูกตรวจจับ แต่ในที่สุดขีปนาวุธ S-75 Dvina ของรัสเซียสอยร่วงจนได้ ซึ่งนักบิน Francis Gary Powers ถูกฝ่ายโซเวียตจับตัวได้หลังจากเครื่องบินตก หลังจากเครื่องบินตกสหรัฐฯรีบออกข่าวลวงว่าเครื่องที่ตกเป็น เครื่องบินตรวจอากาศ แต่บินหลงเข้าไปในน่านฟ้าโซเวียตโดยบังเอิญ แต่สุดท้ายข่าวจากฝ่ายโซเวียตก็โต้ออกมาว่าเป็นเครื่องบินจารกรรมของสหรัฐฯ โดยมีการนำนักบินไปขึ้นศาลตัดสินให้จำคุก3ปีแรก หลังจากนั้นให้นำไปใช้แรงงานอีก 7ปี โดยปัจจุบันหลักฐานต่างๆทั้งชุดนักบิน และชิ้นส่วนของเครื่อง U-2 ก็ถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑ์การบินในมอสโคว โดยฝั่ง Powers เองนั้นถูกบางกลุ่มในสหรัฐฯมองว่าผิดพลาดที่ไม่ยอมกดระเบิดเครื่องบินที่ทำลายอุปกรณ์เทคโนโลยีลับต่างๆบนเครื่องบิน รวมถึงไม่ยอมใช้ยาพิษที่ CIA แจกให้ฆ่าตัวตายเมื่อถูกจับ ทำให้มีความเสี่ยงที่ข้อมูลลับ และเทคโนโลยีระดับสูงจะถูกโซเวียตนำไปใช้ได้ โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ผู้คนทั่วโลกรู้จักเครื่องบิน U-2 ของสหรัฐฯกันมากขึ้นโด่งดังกันจนมีวงดนตรีร๊อคเอาไปตั้งเป็นชื่อวง

เครื่องบิน U-2

S-75 ที่สอย U-2ร่วงลงมาจนเป็นข่าวดัง

Powers ในชุดนักบิน U-2
โดยเมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีสายลับของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในมือ ในปี 1962การตกลงแลกเปลี่ยนตัวสายลับก็เกิดขึ้นโดย CIA ได้ดึง James B. Donovan เข้ามามีส่วนร่วมเป็นตัวแทนหลักของสหรัฐฯในการเจรจาแลกเปลี่ยนสายลับทั้งสองฝ่ายที่สะพาน Glienicke Bridge สะพานที่ต่อมาทั้ง 2ฝ่ายใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนตัวสายลับกันในช่วงสงครามเย็นจนถูกเรียกชื่อว่า Bridge of Spies
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ James B. Donovan ถูกให้เป็นตัวแทนเจรจาแลกเปลี่ยนสายลับให้กับสหรัฐฯอีกหลายครั้ง รวมถึงแลกเปลี่ยนตัวกลุ่มต่อต้านรัฐบาลคิวบาที่ถูกจับกุมตัวในช่วงเหตุการณ์ที่อ่าวหมูด้วย
Bridge of Spies เรื่องของสายลับในยุคสงครามเย็น
หลายๆคนที่เกิดและโตทันในยุคสงครามเย็นคงจะเคยชินกับข่าวต่างประเทศที่มีข่าวความขัดแย้งของ 2ขั้วอำนาจตลอดเวลา บางครั้งก็อาจจะคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามนิวเคลียร์อาจจะอยู่ใกล้ๆนี้แล้ว แต่ท้ายสุดโซเวียตและสหรัฐฯเจรจาลดอาวุธกันทั้งคู่ และสิ้นสุดยุคสงครามเย็นลง ทำให้ยุค 90 เป็นยุคที่พ้นความกดดันจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ครั้งนึงในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่สุดท้ายเราก็เห็นความขัดแย้งครั้งใหม่กลับมาอีกครั้งในไม่นาน
Bridge of Spies เป็นการจับเอาเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ในช่วงสงครามเย็น ที่มี James B. Donovan ทนายความชาวอเมริกัน ที่ถูกเรียกเข้าไปเป็นทนายให้กับ Rudolf Ivanovich Abel สายลับ KGB โซเวียตที่ถูก FBI จับกุมได้ที่นิวยอร์ค โดย Donovan เองเคยประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ, เคยเป็นที่ปรึกษาให้ OSS(หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯสมัยสงครามโลก ก่อนที่จะถูกยกระดับเป็น CIA) และเคยมีส่วนร่วมในการดำเนินการตัดสินคดีอาญชากรสงครามนาซีที่ Nuremberg ซึ่งผลตัดสินของศาล Rudolf Ivanovich Abel โดนตัดสิน 3กระทงความผิดคือ ส่งข้อมูลความมั่นคงให้โซเวียต, จารกรรมข้อมูลความมั่นคง และเป็นเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่เข้ามาปฏิบัติงานในแผ่นดินสหรัฐฯโดยไม่ได้แจ้งให้ รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯรับรู้ ได้รับโทษจำคุก 30ปี,10ปี,5ปี และปรับ 3พันดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็ได้ถูกนำเข้าจองจำในเรือนจำที่แอตแลนต้า จอร์เจีย ในหนังพยายามแสดงให้เห็นว่าขณะที่ประชาชนอเมริกันหลายๆคน รวมถึงผู้พิพากษาเอง พยายามที่จะไม่สนใจหลักกฏหมาย หรือรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยต้องการให้สายลับโซเวียตถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ก็มีคนอเมริกันบางส่วนที่เชื่อมั่นในระบบของสหรัฐฯว่า ถึงจะเป็นสายลับต่างชาติ และก็มีสิทธิเท่าเทียมที่จะได้รับการตัดสิน และดำเนินคดี เทียบเท่าประชาชนของสหรัฐฯ ส่วนนึงเป็นเกมการเมืองเพื่อต้องการให้เห็นถึง สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมที่ถูกยึดให้เป็นหลักของประเทศตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา แต่อีกแง่นึงก็เพื่อเก็บสายลับไว้เพื่อทั้งรีดความลับรวมถึงเผื่อใช้ต่อรองกับอีกฝ่ายในอนาคต
Donovan ถ่ายคู่กับ Fidel Castro ผู้นำของคิวบาในช่วงเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษที่โดนจับช่วงเหตุการณ์ที่อ่าวหมู
ภาพของ Rudolf Abel บนแสตมป์สะสมชุดสายลับโซเวียตที่ออกจำหน่ายในปี 1990
วันที่ 1พฤษภาคม 1960 เครื่องบินจารกรรม U-2 ของ CIA สหรัฐฯถูกโซเวียตยิงตกขณะที่แอบบินขึ้นไปถ่ายรูปเก็บข้อมูลเหนือน่านฟ้าโซเวียต โดย U-2เป็นเครื่องบินเจ็ต 1เครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Lockheed Martin บริษัทที่พัฒนาไอเท็มลับให้กองทัพสหรัฐฯมาเรื่อยๆโดยสามารถบินที่เพดานบินสูงถึง 7หมื่นฟิต และติดกล้องถ่ายภาพ เพื่อใช้บินไปเหนือพื้นที่ฝ่ายตรงข้าม ถ่ายรูปเก็บข้อมูลทางทหารต่างๆกลับมาให้ CIA วิเคราะห์ใช้งาน และด้วยเพดานบินที่สูงมากทำให้ยากแก่การตรวจจับ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในรุ่นเครื่องบินที่สหรัฐฯใช้งานยาวมาจนถึงปัจจุบัน (มีการอัพเกรดปรับปรุงมาเรื่อยๆ) และบินข้ามแผ่นดินโซเวียตมานับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่ถูกตรวจจับ แต่ในที่สุดขีปนาวุธ S-75 Dvina ของรัสเซียสอยร่วงจนได้ ซึ่งนักบิน Francis Gary Powers ถูกฝ่ายโซเวียตจับตัวได้หลังจากเครื่องบินตก หลังจากเครื่องบินตกสหรัฐฯรีบออกข่าวลวงว่าเครื่องที่ตกเป็น เครื่องบินตรวจอากาศ แต่บินหลงเข้าไปในน่านฟ้าโซเวียตโดยบังเอิญ แต่สุดท้ายข่าวจากฝ่ายโซเวียตก็โต้ออกมาว่าเป็นเครื่องบินจารกรรมของสหรัฐฯ โดยมีการนำนักบินไปขึ้นศาลตัดสินให้จำคุก3ปีแรก หลังจากนั้นให้นำไปใช้แรงงานอีก 7ปี โดยปัจจุบันหลักฐานต่างๆทั้งชุดนักบิน และชิ้นส่วนของเครื่อง U-2 ก็ถูกนำไปแสดงในพิพิธภัณฑ์การบินในมอสโคว โดยฝั่ง Powers เองนั้นถูกบางกลุ่มในสหรัฐฯมองว่าผิดพลาดที่ไม่ยอมกดระเบิดเครื่องบินที่ทำลายอุปกรณ์เทคโนโลยีลับต่างๆบนเครื่องบิน รวมถึงไม่ยอมใช้ยาพิษที่ CIA แจกให้ฆ่าตัวตายเมื่อถูกจับ ทำให้มีความเสี่ยงที่ข้อมูลลับ และเทคโนโลยีระดับสูงจะถูกโซเวียตนำไปใช้ได้ โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ผู้คนทั่วโลกรู้จักเครื่องบิน U-2 ของสหรัฐฯกันมากขึ้นโด่งดังกันจนมีวงดนตรีร๊อคเอาไปตั้งเป็นชื่อวง
เครื่องบิน U-2
S-75 ที่สอย U-2ร่วงลงมาจนเป็นข่าวดัง
Powers ในชุดนักบิน U-2
โดยเมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีสายลับของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในมือ ในปี 1962การตกลงแลกเปลี่ยนตัวสายลับก็เกิดขึ้นโดย CIA ได้ดึง James B. Donovan เข้ามามีส่วนร่วมเป็นตัวแทนหลักของสหรัฐฯในการเจรจาแลกเปลี่ยนสายลับทั้งสองฝ่ายที่สะพาน Glienicke Bridge สะพานที่ต่อมาทั้ง 2ฝ่ายใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนตัวสายลับกันในช่วงสงครามเย็นจนถูกเรียกชื่อว่า Bridge of Spies
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ James B. Donovan ถูกให้เป็นตัวแทนเจรจาแลกเปลี่ยนสายลับให้กับสหรัฐฯอีกหลายครั้ง รวมถึงแลกเปลี่ยนตัวกลุ่มต่อต้านรัฐบาลคิวบาที่ถูกจับกุมตัวในช่วงเหตุการณ์ที่อ่าวหมูด้วย