๛ พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เพื่อให้ถึงพระนิพพาน เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย ๛

ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

----------------------


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค


สุภาษิตสูตรที่ ๕



             [๗๓๘] สาวัตถีนิทาน ฯ
             ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
             ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว

             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต
             เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน

             องค์ ๔ เป็นไฉน

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
             ย่อมกล่าวแต่วาจาที่บุคคลกล่าวดีแล้วอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาที่บุคคลกล่าวชั่วแล้ว ๑
             ย่อมกล่าวแต่วาจาที่เป็นธรรมอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม ๑
             ย่อมกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ๑
             ย่อมกล่าวแต่วาจาจริงอย่างเดียว ไม่กล่าววาจาเท็จ ๑

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต
             เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน ฯ

             [๗๓๙] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

                          สัตบุรุษทั้งหลาย ได้กล่าววาจาสุภาษิตว่าเป็นที่หนึ่ง บุคคล
                          พึงกล่าววาจาที่เป็นธรรม ไม่พึงกล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม เป็น
                          ที่สอง บุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าววาจาอัน
                          ไม่เป็นที่รัก เป็นที่สาม บุคคลพึงกล่าววาจาจริง ไม่พึงกล่าว
                          วาจาเท็จ เป็นที่สี่ ดังนี้ ฯ



             ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้ว
             ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เนื้อความนี้จงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด วังคีสะ ฯ


             [๗๔๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควร ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ว่า

                          บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือดร้อน และ
                          ไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแลเป็นสุภาษิต บุคคล
                          พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก ที่ชนทั้งหลายชื่นชมแล้ว ไม่
                          ถือเอาคำที่ชั่วช้าทั้งหลาย กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักแก่ชน
                          เหล่าอื่น คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของมีมา
                          แต่เก่าก่อน สัตบุรุษทั้งหลายเป็นผู้ตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ ที่
                          เป็นอรรถและเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด ซึ่ง
                          เป็นวาจาเกษม เพื่อให้ถึงพระนิพพาน เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์
                          พระวาจานั้นแลเป็นสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย ดังนี้ ฯ





             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๖๑๐๔ - ๖๑๓๙.  หน้าที่  ๒๖๒ - ๒๖๔.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=6104&Z=6139&pagebreak=0
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=738
             ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[738-740] http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=15&A=738&Z=740




.

บางส่วนจากอรรถกถา
               ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาประมาณ ๖๐ รูป กำลังเดินทางได้ยินเพลงขับของเด็กหญิงชาวสีหลผู้รักษาไร่ข้าวกล้าข้างทาง กำลังขับเพลงขับที่เกี่ยวด้วยชาติชราและมรณะด้วยภาษาชาวสีหล ก็บรรลุพระอรหัต.

               อนึ่ง ภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนาชื่อว่าติสสะ กำลังเดินทางใกล้สระปทุม ได้ยินเพลงขับของเด็กหญิงผู้หักดอกปทุมในสระปทุมพลางขับเพลงนี้ว่า
                         ดอกปทุมชื่อ โกกนทะ บานแต่เช้าตรู่
                         ย่อมเหี่ยวไปด้วยแสงอาทิตย์ ฉันใด
                         สัตว์หลายผู้ถึงความเป็นมนุษย์ ย่อมเหี่ยว
                         แห้งไป ด้วยกำลังกล้าแห่งชรา ฉันนั้น


               แล้วบรรลุพระอรหัตต์.

               อนึ่ง บุรุษผู้หนึ่งในพุทธันดร (ในเวลาว่างพระพุทธเจ้า) ๑ กลับ จากดงพร้อมกับบุตร ๗ คน ฟังเพลงขับของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังเอาสากตำข้าวสารดังนี้ว่า
                         สรีระนี้อาศัยหนังมีผิวเหี่ยวแห้ง ถูกชราย่ำยีแล้ว
                         สรีระนี้ถึงความเป็นอามิส คือเหยื่อของมฤตยู
                         ย่อมแตกไป เพราะมรณะ สรีระนี้เป็นที่อยู่ของ
                         หมู่หนอน เต็มไปด้วยซากศพต่างๆ สรีระนี้เป็น
                         ภาชนะของไม่สะอาด สรีระนี้เสมอด้วยท่อนต้น
                         กล้วย


               พิจารณาอยู่ก็บรรลุปัจเจกโพธิญาณ พร้อมด้วยบุตรทั้งหลาย.



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่