'โนเกีย'ย้ำ4Gปลุกทัพลงทุนค่ายมือถือแข่งขยายโครงข่าย
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558
"โนเกีย" ย้ำประมูล 4G ดันจีดีพีไทยโต 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมจบดีลควบรวม "อัลคาเทล-ลูเซ่น" ต้นปีหน้า รุกขยายตลาดบริการครบวงจร
นายแดนเนียล มาวซูฟ หัวหน้าฝ่ายการตลาด และสื่อสารองค์กร ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และญี่ปุ่น โนเกีย เน็ตเวิร์คส์ เปิดเผยว่า การประมูล 4G บนคลื่น 900 และ 1800 MHz เดือน พ.ย.นี้จะช่วยให้ จีดีพีของประเทศมาจากอุตสาหกรรมไอซีที เติบโตขึ้น 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (8.2 แสนล้านบาท) ภายในปี 2563 ตามข้อมูลการศึกษาของสมาคมจีเอสเอ็มเอ จากการลงทุนโครงข่ายของผู้ชนะประมูล รวมถึงอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอื่นที่จะนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตนเอง
การประมูลคลื่น 900 และ 1800 MHz มีส่วนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบัน การใช้ข้อมูล (ดาต้า) เติบโตรวดเร็วสวนทาง เสียง (วอยซ์) จากความต้องการในการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภค และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งบริการ 4G บน 2 ความถี่ตอบโจทย์ได้ด้วยความเร็วที่ มากกว่า 3G ถึง 10 เท่าตัว ทำให้ความหน่วงของสัญญาณลดลงจนการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ด้วยกัน (M2M) ดีขึ้น
ด้านนายฮาราลด์ ไพรซ์ หัวหน้ากลุ่ม ธุรกิจเน็ตเวิร์ก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โนเกีย เน็ตเวิร์คส์กล่าวว่า อยู่ระหว่างควบรวมกิจการกับ "อัลคาเทลลูเซ่น" คาดว่าจะเสร็จในครึ่งแรกของปี 2559 ทำให้บริษัทเป็นผู้ให้บริการและจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคมทุกรูปแบบ ปัจจุบันมีผู้เล่น 2 ราย และทำให้รายได้เติบโตจากปี 2557 ที่ 1.12 หมื่นล้านยูโร (4.5 แสนล้านบาท) เป็น 2.3 หมื่นล้านยูโร (9.2 แสนล้านบาท)
"เมื่อเรารวมกับอัลคาเทลฯก็จะกลายเป็น 1 ใน 2 ซัพพลายเออร์เอนด์ทูเอนด์ด้านโมบายเน็ตเวิร์ก, ฟิกซ์เน็ตเวิร์ก, ไอพี- ออฟติคอลเน็ตเวิร์กที่ได้มาจากอัลคาเทลฯและแอปพลิเคชั่นกับระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่พัฒนาร่วมกันในชื่อ Nokia Ad Analytics ทั้งหมดจะเข้ามาทำตลาดในไทย การนำข้อมูลที่มีมาใช้โดยวิเคราะห์แบบบิ๊กดาต้าเป็นเรื่องที่สำคัญ"
สำหรับในประเทศไทยมีเอไอเอสเป็นลูกค้าหลัก ส่วนรายอื่นก็ใช้แต่น้อยกว่า หลังประมูล 4G เสร็จก็จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชนะประมูลเพื่อช่วยพัฒนาโครงข่ายให้มีประสิทธิภาพทั้งโมบายและฟิกซ์เน็ตเวิร์ก
ส่วนการเป็นพันธมิตรกับ บมจ.ทีโอที เพื่อขยายโครงข่าย 3G บนคลื่น 2100 MHz ระยะที่ 2 ต้องรอความชัดเจนจากพันธมิตร หลังขยายโครงข่ายระยะแรกในกรุงเทพฯ ถ้าพันธมิตรมีข้อเสนอที่ดีก็จะเข้าไปร่วม เพราะตลาดประเทศไทยมีโอกาสอีกมากจากจำนวนเลขหมายโทรศัพท์มือถือที่มีมากกว่า 100 ล้านเลขหมาย มีการใช้ดาต้าเพิ่มขึ้น 165% ภายในปี 2563 เทียบกับปี 2558
นายฮาราลด์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเริ่มมีการทดลอง 5G บนคลื่น 1800 MHz และ 2600 MHz ในศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ฟินแลนด์ และผู้ให้บริการในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้ความเร็วที่ 10 Mbps และความหน่วงของสัญญาณเพียง 1 มิลลิวินาที ตอบโจทย์การใช้งาน M2M และบริการยุค IoT (Internet of Things) ทำให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อที่สุด คาดว่า 5G จะให้บริการแพร่หลายในปี 2563
"5G ต่างกับ 4G เรื่องความหน่วงของสัญญาณ เพราะถ้าไล่ตั้งแต่ 3G เป็นการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น 4G เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว และ 5G ลดความหน่วงเพื่อใช้งานระหว่างอุปกรณ์ เช่น รถยนต์ที่ขับเองได้ หรือการบริหารจราจรอัจฉริยะ 5G ตอบโจทย์สมาร์ทซิตี้ ด้วย ทำให้การสั่งการต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ทันที แต่ในไทยต้องรออีกระยะเพราะ โอเปอเรเตอร์เพิ่งลงทุน 3G เมื่อ 3 ปีก่อน ปีนี้ต้องลงทุน 4G อีก"
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558 (หน้า 28)
'โนเกีย'ย้ำ 4G ปลุกทัพลงทุนค่ายมือถือแข่งขยายโครงข่าย
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558
"โนเกีย" ย้ำประมูล 4G ดันจีดีพีไทยโต 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมจบดีลควบรวม "อัลคาเทล-ลูเซ่น" ต้นปีหน้า รุกขยายตลาดบริการครบวงจร
นายแดนเนียล มาวซูฟ หัวหน้าฝ่ายการตลาด และสื่อสารองค์กร ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และญี่ปุ่น โนเกีย เน็ตเวิร์คส์ เปิดเผยว่า การประมูล 4G บนคลื่น 900 และ 1800 MHz เดือน พ.ย.นี้จะช่วยให้ จีดีพีของประเทศมาจากอุตสาหกรรมไอซีที เติบโตขึ้น 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (8.2 แสนล้านบาท) ภายในปี 2563 ตามข้อมูลการศึกษาของสมาคมจีเอสเอ็มเอ จากการลงทุนโครงข่ายของผู้ชนะประมูล รวมถึงอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอื่นที่จะนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตนเอง
การประมูลคลื่น 900 และ 1800 MHz มีส่วนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบัน การใช้ข้อมูล (ดาต้า) เติบโตรวดเร็วสวนทาง เสียง (วอยซ์) จากความต้องการในการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภค และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งบริการ 4G บน 2 ความถี่ตอบโจทย์ได้ด้วยความเร็วที่ มากกว่า 3G ถึง 10 เท่าตัว ทำให้ความหน่วงของสัญญาณลดลงจนการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ด้วยกัน (M2M) ดีขึ้น
ด้านนายฮาราลด์ ไพรซ์ หัวหน้ากลุ่ม ธุรกิจเน็ตเวิร์ก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โนเกีย เน็ตเวิร์คส์กล่าวว่า อยู่ระหว่างควบรวมกิจการกับ "อัลคาเทลลูเซ่น" คาดว่าจะเสร็จในครึ่งแรกของปี 2559 ทำให้บริษัทเป็นผู้ให้บริการและจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคมทุกรูปแบบ ปัจจุบันมีผู้เล่น 2 ราย และทำให้รายได้เติบโตจากปี 2557 ที่ 1.12 หมื่นล้านยูโร (4.5 แสนล้านบาท) เป็น 2.3 หมื่นล้านยูโร (9.2 แสนล้านบาท)
"เมื่อเรารวมกับอัลคาเทลฯก็จะกลายเป็น 1 ใน 2 ซัพพลายเออร์เอนด์ทูเอนด์ด้านโมบายเน็ตเวิร์ก, ฟิกซ์เน็ตเวิร์ก, ไอพี- ออฟติคอลเน็ตเวิร์กที่ได้มาจากอัลคาเทลฯและแอปพลิเคชั่นกับระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่พัฒนาร่วมกันในชื่อ Nokia Ad Analytics ทั้งหมดจะเข้ามาทำตลาดในไทย การนำข้อมูลที่มีมาใช้โดยวิเคราะห์แบบบิ๊กดาต้าเป็นเรื่องที่สำคัญ"
สำหรับในประเทศไทยมีเอไอเอสเป็นลูกค้าหลัก ส่วนรายอื่นก็ใช้แต่น้อยกว่า หลังประมูล 4G เสร็จก็จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชนะประมูลเพื่อช่วยพัฒนาโครงข่ายให้มีประสิทธิภาพทั้งโมบายและฟิกซ์เน็ตเวิร์ก
ส่วนการเป็นพันธมิตรกับ บมจ.ทีโอที เพื่อขยายโครงข่าย 3G บนคลื่น 2100 MHz ระยะที่ 2 ต้องรอความชัดเจนจากพันธมิตร หลังขยายโครงข่ายระยะแรกในกรุงเทพฯ ถ้าพันธมิตรมีข้อเสนอที่ดีก็จะเข้าไปร่วม เพราะตลาดประเทศไทยมีโอกาสอีกมากจากจำนวนเลขหมายโทรศัพท์มือถือที่มีมากกว่า 100 ล้านเลขหมาย มีการใช้ดาต้าเพิ่มขึ้น 165% ภายในปี 2563 เทียบกับปี 2558
นายฮาราลด์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเริ่มมีการทดลอง 5G บนคลื่น 1800 MHz และ 2600 MHz ในศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ฟินแลนด์ และผู้ให้บริการในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้ความเร็วที่ 10 Mbps และความหน่วงของสัญญาณเพียง 1 มิลลิวินาที ตอบโจทย์การใช้งาน M2M และบริการยุค IoT (Internet of Things) ทำให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อที่สุด คาดว่า 5G จะให้บริการแพร่หลายในปี 2563
"5G ต่างกับ 4G เรื่องความหน่วงของสัญญาณ เพราะถ้าไล่ตั้งแต่ 3G เป็นการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น 4G เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว และ 5G ลดความหน่วงเพื่อใช้งานระหว่างอุปกรณ์ เช่น รถยนต์ที่ขับเองได้ หรือการบริหารจราจรอัจฉริยะ 5G ตอบโจทย์สมาร์ทซิตี้ ด้วย ทำให้การสั่งการต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ทันที แต่ในไทยต้องรออีกระยะเพราะ โอเปอเรเตอร์เพิ่งลงทุน 3G เมื่อ 3 ปีก่อน ปีนี้ต้องลงทุน 4G อีก"
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558 (หน้า 28)