โอเคขอเกริ่นก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปีที่แล้ว ผมเคยได้ตั้งกระทู้บ่นเรื่องหางานไม่ได้มาก่อน และปีนี้ก็ขอตั้งอีกหนเถอะเพราะมันกลุ้มใจจนไม่รู้จะไปปรึกษาใครได้ดีแล้ว ที่มาขอบ่นใน ณ ที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการระบาย แต่เพราะผมต้องการคำแนะนำจากท่านอื่นด้วยจริงๆ จะได้เอาไปปรับปรุงอะไรเพิ่ม เพราะฉะนั้นต้องขอความกรุณาด้วย
เริ่มแรกขอเล่าประวัติแบบคร่าวๆ ก่อนก็แล้วกัน ผมจบนิติศาสตร์มาจากรามคำแหงด้วยเกรดไม่ได้สวยหรูเหมือนพวกเก่งๆ ซักเท่าไรนัก แต่ก็ไม่แย่จนติดดินเอาง่ายๆ คือเพียงพอจะหาเรียน ป.โท ได้สบายๆ ส่วนฐานะทางบ้านถือว่ากลางๆ เพราะรับราชการกันหมด แล้วขณะเดียวกันนั้นผมก็ใช้ชีวิตอย่างประหยัดมาตลอดจนแทบไม่ได้ซื้อความสุขใส่ตัวเองด้วยการไปเที่ยวไหนต่อไหนเลย สาเหตุที่เลือกมาเรียนรามแทนไปหาเรียนเอกชนแล้วเข้าคณะที่ตัวเองชอบนั้นก็เพราะต้องการช่วงทางบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายนี่ล่ะ ปัจจุบันผมทำงานอยู่ที่สำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง พร้อมกับเขียนหนังสือและขายบทความออนไลน์ไปด้วยในตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่งานที่จะมาบ่อยๆ นั่นล่ะนะ จึงมาขอบ่นเอา ณ ที่นี้
ในช่วงปีก่อนนั้นหลังจากผมจบมาแล้วก็ยังไม่ได้เริ่มหางาน เพราะคิดว่าจะมุ่งตรงไปยัง เนติบัญฑิต + ใบอนุญาตว่าความ ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ทว่าเส้นทางนั้นก็ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เมื่อผมลองสอบพวกมันดูแล้วครั้งแต่หลายครั้งก็ยังไม่สามารถพิชิตมันได้ ยิ่งครั้งล่าสุดนี้ยิ่งไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองไม่มีชื่อในรายชื่อผ่าน ทั้งๆ ที่ลองย้อนกลับมาตรวจข้อสอบแล้วก็พบว่าคะแนนถึงเกณฑ์แท้ๆ ขอบอกว่าขนาดผมเป็นคนที่นั่งติวให้เพื่อนหลายๆ คนแท้ๆ แต่คนที่สอบตกดันเป็นผมเพียงคนเดียวซะนี่เวรเถอะ...
ในเมื่อสอบไม่ผ่านเข้าหลายครั้ง ประกอบกับถูกทางบ้านติเอาบ่อยๆ ว่าวันๆ เอาแต่เฝ้าบ้านเป็นเจ้าที่ไม่ออกไปหางานหาการทำนั่นเอง ผมจึงคิดที่จะหางานและได้ติดต่อเข้าไปฝึกงานกับสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งที่บ้านเกิด จึงกลายเป็นเหตุทำให้ผมต้องบอกลากรุงเทพฯ แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด ณ ต่างจังหวัด โดยหวังว่ามันน่าจะช่วยให้ผมสั่งสมประสบการณ์และ Contract เพื่อปูทางไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้น ตามธรรมดาเหมือนๆ กับเด็กจบใหม่ทั่วไปทุกคนคิด ในระหว่างนั้นก็พยายามสอบตั๋วทนายไปด้วยเผื่อว่าจะเป็นวิชาชีพเลี้ยงตัวเองได้
แต่ทุกอย่างที่คิดวางแผนเอาไว้ในตอนแรกนั้นก็ต้องพังทลายลงอย่างง่ายดาย เมื่อสถานการณ์ที่ฝึกงานนั้นไม่ค่อยจะเป็นใจซักเท่าไรนัก ไม่ใช่เพราะเจ้านายไม่ดีหรือเพื่อนร่วมงานไม่ดีอย่างที่เด็กจบใหม่หลายๆ คน ประสบหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าคนที่สำนักงานกฎหมายนั้นมีจำนวนมากกว่างานที่เข้ามาให้ทำนั่นเอง
เนื่องจากสำนักงานกฎหมายแห่งนั้นเป็นเพียงสำนักงานเล็กๆ อยู่ที่ต่างจังหวัด แต่กลับมีคนทำงานที่นั่นเยอะซะจนอาคารพานิชย์ 1 คูหานั้นไม่สามารถรองรับคนที่ทำงานที่นั่นได้หมดซะอย่างงั้น จึงจำเป็นจะต้องมีการสลับสับเปลี่ยนคนทำงานที่นั้นให้มีการเวียนกันเข้าๆ ออกๆ กันอยู่เสมอเพื่อให้ที่นั่นไม่คับแคบเกินไป แต่ขอบอกเลยว่าตลอดหลายเดือนที่ผมเข้าไปอยู่ที่นั่น ผมล่ะว่างงานมากๆ ว่างจนแบบว่าวันๆ เอาได้แต่นั่งกดมือถือไม่ก็เล่น Red Alert 2 Yuri กับทนายแก่ๆ ที่เขาชอบเล่นเกมแนวนี้เท่านั้นเอง
มีงานอย่างมากก็แค่จัดทำเอกสารทางกฎหมายให้เขา ไม่ก็นั่งซ่อมคอมพิวเตอร์ที่เสียเท่านั้น ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งผมรู้สึกว่าการที่ผมได้มาทำงานที่สำนักงานกฎหมายแห่งนี้ มันทำให้ผมเสียเวลาชีวิตอย่างมากเลยจริงๆ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะได้ประสบการณ์ + Contract อย่างที่คิดไว้งั้น กลับไม่ได้อะไรกลับไปเลยนอกจากทักษะการซ่อม PC / Iphone / Ipad ให้กับผู้ใหญ่ที่สำนักงาน ซึ่งเจ้าพวกนั้นผมเองก็มีติดตัวอยู่แล้วตั้งแต่แรก ขอบอกเลยว่าถ้าผมทุ่มเทเวลาที่เสียไปกลับไปเขียนหนังสือล่ะก็ ป่านนี้คงเดบิวกลายเป็นนักเขียนไปได้แล้วล่ะมั้ง
ซ้ำร้ายที่สำนักงานกฎหมายแห่งนี้ ไม่ได้มีการให้เงินเดือนผมเป็นค่าจ้างอีกต่างหาก ว่าง่ายๆ คือผมทำงานให้พวกเขาฟรีๆ โดยแลกกับที่วันๆ ได้แต่นั่งว่าง แม้แต่ค่าแรงในการเดินเอกสารให้กับทางสำนักงานยังไม่เคยได้เลยซะด้วยซ้ำ อันนี้ส่วนหนึ่งเพราะผมดันไปเกรงใจแบบผิดๆ นี่ล่ะ อันนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง แต่ไม่ว่ายังไงการที่ผมทำงานกับสำนักงานนี้ก็คือไม่มีค่าจ้างอย่างแน่นอนเพราะผมไปอยู่ที่นั่นในฐานะคนฝึกงาน ไม่ใช่พนักงานเต็มตัว
เมื่อไม่มีงานก็หมายความว่าไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินก็หมายความว่าผมต้องเกาะทางบ้านกิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากแม้ว่าทางบ้านจะขอให้คิดว่าเงินที่พวกเขาให้คือค่าจ้างที่ได้จากพวกเขาแทนที่จะได้จากสำนักงานก็เถอะ แต่ไม่ว่ามองยังไงมันก็เกาะทางบ้านกินอยู่ดีผมจึงรู้สึกว่าแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ เพราะพ่อแม่ของผมก็ใกล้เกษียณแล้ว แถมเพื่อนคนอื่นก็มีงานมีการทำกันหมดแล้วอีกต่างหาก ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี่ผมจึงเริ่มหางานจริงๆ จังๆ โดยไม่คิดจะเกี่ยงแล้วว่างานที่หาได้นั้นจะเป็นงานอะไร
ที่บ่นมาข้างต้นนั้นคือเรื่องราวของผมในช่วง 1 ปีหลังเรียนจบ หลังจากนี้คือเรื่องราวช่วงปีที่ 2 ของผมกับชีวิตว่างงานอันแสนรันทด
เนื่องจากอย่างที่เกริ่นมาตอนแรกว่าผมเรียนจบนิติศาสตร์ เริ่มแรกผมจึงเริ่มหางานเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเป็นอันดับแรก โดยใช้เว็ปไซต์หางานต่างๆ นาๆ เข้าไปโฟกัสไปที่ตำแหน่งนิติกรตามบริษัทต่างๆ โดยหวังว่าน่าจะเอาสิ่งที่ตัวเองเรียนมาไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง แต่ก็ช่างโชคร้ายที่ผมร่อนใบสมัครไปยังบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายแหล่นับสิบๆ ที่ได้ แต่ก็มีเพียงแค่บริษัทเดียวเท่านั้นที่โทรศัพท์มาติดต่อให้ไปสัมภาษณ์ ซึ่งบริษัทนั้นก็เป็นเพียงแค่บริษัทเดียวเท่านั้นที่ติดต่อมา (แถมยังสัมภาษณ์ไม่ผ่านอีกต่างหาก) หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีบริษัทใดติดต่อกลับมาอีกเลย (นอกจากพวกหลอกขายประกัน) จนกระทั่งปัจจุบัน
พอเห็นว่างานด้านกฎหมายเริ่มจะหาไม่ได้ ก็คิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเพราะตำแหน่งที่คนต้องการมันมีน้อยรึเปล่าถึงหาไม่ได้ซะที ผมจึงได้เปลี่ยนความคิดโดยการพยายามหางานอื่นที่ใกล้เคียงอย่างพวกงานสายสังคมทั้งหลาย อย่างพวก HR งี้ โดยหวังว่านั่นน่าจะเป็นงานที่ทำแก้ขัดไปก่อนจนกว่าจะได้ตั๋วทนายมาครอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงได้เริ่มร่อนใบสมัครเพิ่มและขยายโฟกัสหางานให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่นั่นก็เหมือนจะดูไร้ประโยชน์เพราะอย่างที่ว่าไว้ข้างบน... นับตั้งแต่บริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นติดต่อมาขอสัมภาษณ์ ก็ไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาอีกเลย เช่นเดียวกันแม้กระทั่งงาน HR นี้ก็ไม่ใครเอา
พอได้เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าหลายๆ ครั้งผมก็ชักจะเริ่มเครียดแล้ว เพราะเงินเก็บนั้นเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกเดือน แถมระยะเวลาเกษียณของทางบ้านนั้นก็เริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาทุกขณะๆ อีกต่างหาก ผมจึงคิดว่าหากไม่สามารถหางานเป็นหลักเป็นแหล่งได้ไม่นานนักผมคงอดตายแน่ๆ จึงได้ขยายโฟกัสงานต่างๆ ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยคราวนี้ผมได้เพิ่มงานพวกพนักงานขาย พนักงานต้อนรับ ฯลฯ เข้าไปด้วย โดยตั้งความหวังว่านั่นจะเป็นงานแก้ขัดไปก่อนเช่นข้างต้น แต่ผลที่ได้กลับมาก็เหมือนกับข้างต้นเลยคือไม่มีแม้กระทั่งการเรียกตัวไปสัมภาษณ์นั่นเอง
พอโดนแบบนี้เข้ามากๆ ก็ทำเอาผมรู้สึกท้อใจขึ้นมาจนกลายเป็นความกลุ้มใจสั่งสมมาจวบจนถึงปัจจุบันนี่ล่ะ ล่าสุดรุ่นพี่ที่สำนักงานกฎหมายได้แนะนำให้ไปลองสัมภาษณ์งานเป็นฝ่ายกฎหมายให้กับอู่รถแห่งหนึ่งที่มีตำแหน่งว่างอยู่ แต่พอลองไปปุ๊บเขาก็บอกปัดไม่เอาทั้งที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลยแท้ๆ ซะอย่างงั้น ทำเอาผมเซจนแทบจะไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียว... ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม? ทั้งที่ตอนไปก็แต่งตัวดีสะอาดเกลี้ยง แถมยังมีจดหมายแนะนำตัวอีกต่างหาก
ท้ายที่สุดแล้วพอไม่สามารถหางานที่ทำแล้วได้เงินเดือนจริงๆ จังๆ ได้ ผมจึงได้แต่จำใจต้องทนทำงานฟรีต่อไป แต่ก็ลดความสำคัญลงแล้วหันไปเขียนบทความ SEO ขายประทังชีวิตทีละ 200 - 300 บาทเอาเฉกเช่นปัจจุบันนี้นี่ล่ะ ลองตรวจสอบดูแล้ว Resume ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำม๊ายทำไมถึงไม่มีบริษัทไหนติดต่อกลับมาเลยน้า - - เพื่อนๆ คนอื่นที่จบสายอื่นเขาก็มีงานมีการจนเปลี่ยนงานกันหลายรอบแล้วแท้ๆ แต่ผมนี่กลับไม่มีงานมาให้ทำซะที บอกได้คำเดียวกลุ้ม! ทางบ้านบอกว่าให้ผมลองเรียน ป.โท ของธรรมศาสตร์ดูเผื่อว่าจะมีอะไรดีขึ้น แต่เพราะค่าใช้จ่ายนี่ล่ะเลยไม่รู้จะรบกวนเพิ่มดีรึเปล่า เลยยังไม่ได้ตัดสินใจ
เอาล่ะบ่นมามากพอแล้ว คงต้องขอจบเรื่องเพียงเท่านี้ก็แล้วกันครับ สวัสดี!
[บ่น] 2 ปีกับการว่างงาน ร่อนใบสมัครงานไปเป็นร้อยที่ แต่ยังหางานไม่ได้!? แบบนี้เรียกว่าซวยหรือว่ามีอะไรผิดพลาดกันแน่?
เริ่มแรกขอเล่าประวัติแบบคร่าวๆ ก่อนก็แล้วกัน ผมจบนิติศาสตร์มาจากรามคำแหงด้วยเกรดไม่ได้สวยหรูเหมือนพวกเก่งๆ ซักเท่าไรนัก แต่ก็ไม่แย่จนติดดินเอาง่ายๆ คือเพียงพอจะหาเรียน ป.โท ได้สบายๆ ส่วนฐานะทางบ้านถือว่ากลางๆ เพราะรับราชการกันหมด แล้วขณะเดียวกันนั้นผมก็ใช้ชีวิตอย่างประหยัดมาตลอดจนแทบไม่ได้ซื้อความสุขใส่ตัวเองด้วยการไปเที่ยวไหนต่อไหนเลย สาเหตุที่เลือกมาเรียนรามแทนไปหาเรียนเอกชนแล้วเข้าคณะที่ตัวเองชอบนั้นก็เพราะต้องการช่วงทางบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายนี่ล่ะ ปัจจุบันผมทำงานอยู่ที่สำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง พร้อมกับเขียนหนังสือและขายบทความออนไลน์ไปด้วยในตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่งานที่จะมาบ่อยๆ นั่นล่ะนะ จึงมาขอบ่นเอา ณ ที่นี้
ในช่วงปีก่อนนั้นหลังจากผมจบมาแล้วก็ยังไม่ได้เริ่มหางาน เพราะคิดว่าจะมุ่งตรงไปยัง เนติบัญฑิต + ใบอนุญาตว่าความ ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ทว่าเส้นทางนั้นก็ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เมื่อผมลองสอบพวกมันดูแล้วครั้งแต่หลายครั้งก็ยังไม่สามารถพิชิตมันได้ ยิ่งครั้งล่าสุดนี้ยิ่งไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองไม่มีชื่อในรายชื่อผ่าน ทั้งๆ ที่ลองย้อนกลับมาตรวจข้อสอบแล้วก็พบว่าคะแนนถึงเกณฑ์แท้ๆ ขอบอกว่าขนาดผมเป็นคนที่นั่งติวให้เพื่อนหลายๆ คนแท้ๆ แต่คนที่สอบตกดันเป็นผมเพียงคนเดียวซะนี่เวรเถอะ...
ในเมื่อสอบไม่ผ่านเข้าหลายครั้ง ประกอบกับถูกทางบ้านติเอาบ่อยๆ ว่าวันๆ เอาแต่เฝ้าบ้านเป็นเจ้าที่ไม่ออกไปหางานหาการทำนั่นเอง ผมจึงคิดที่จะหางานและได้ติดต่อเข้าไปฝึกงานกับสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งที่บ้านเกิด จึงกลายเป็นเหตุทำให้ผมต้องบอกลากรุงเทพฯ แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด ณ ต่างจังหวัด โดยหวังว่ามันน่าจะช่วยให้ผมสั่งสมประสบการณ์และ Contract เพื่อปูทางไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้น ตามธรรมดาเหมือนๆ กับเด็กจบใหม่ทั่วไปทุกคนคิด ในระหว่างนั้นก็พยายามสอบตั๋วทนายไปด้วยเผื่อว่าจะเป็นวิชาชีพเลี้ยงตัวเองได้
แต่ทุกอย่างที่คิดวางแผนเอาไว้ในตอนแรกนั้นก็ต้องพังทลายลงอย่างง่ายดาย เมื่อสถานการณ์ที่ฝึกงานนั้นไม่ค่อยจะเป็นใจซักเท่าไรนัก ไม่ใช่เพราะเจ้านายไม่ดีหรือเพื่อนร่วมงานไม่ดีอย่างที่เด็กจบใหม่หลายๆ คน ประสบหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าคนที่สำนักงานกฎหมายนั้นมีจำนวนมากกว่างานที่เข้ามาให้ทำนั่นเอง
เนื่องจากสำนักงานกฎหมายแห่งนั้นเป็นเพียงสำนักงานเล็กๆ อยู่ที่ต่างจังหวัด แต่กลับมีคนทำงานที่นั่นเยอะซะจนอาคารพานิชย์ 1 คูหานั้นไม่สามารถรองรับคนที่ทำงานที่นั่นได้หมดซะอย่างงั้น จึงจำเป็นจะต้องมีการสลับสับเปลี่ยนคนทำงานที่นั้นให้มีการเวียนกันเข้าๆ ออกๆ กันอยู่เสมอเพื่อให้ที่นั่นไม่คับแคบเกินไป แต่ขอบอกเลยว่าตลอดหลายเดือนที่ผมเข้าไปอยู่ที่นั่น ผมล่ะว่างงานมากๆ ว่างจนแบบว่าวันๆ เอาได้แต่นั่งกดมือถือไม่ก็เล่น Red Alert 2 Yuri กับทนายแก่ๆ ที่เขาชอบเล่นเกมแนวนี้เท่านั้นเอง
มีงานอย่างมากก็แค่จัดทำเอกสารทางกฎหมายให้เขา ไม่ก็นั่งซ่อมคอมพิวเตอร์ที่เสียเท่านั้น ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งผมรู้สึกว่าการที่ผมได้มาทำงานที่สำนักงานกฎหมายแห่งนี้ มันทำให้ผมเสียเวลาชีวิตอย่างมากเลยจริงๆ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะได้ประสบการณ์ + Contract อย่างที่คิดไว้งั้น กลับไม่ได้อะไรกลับไปเลยนอกจากทักษะการซ่อม PC / Iphone / Ipad ให้กับผู้ใหญ่ที่สำนักงาน ซึ่งเจ้าพวกนั้นผมเองก็มีติดตัวอยู่แล้วตั้งแต่แรก ขอบอกเลยว่าถ้าผมทุ่มเทเวลาที่เสียไปกลับไปเขียนหนังสือล่ะก็ ป่านนี้คงเดบิวกลายเป็นนักเขียนไปได้แล้วล่ะมั้ง
ซ้ำร้ายที่สำนักงานกฎหมายแห่งนี้ ไม่ได้มีการให้เงินเดือนผมเป็นค่าจ้างอีกต่างหาก ว่าง่ายๆ คือผมทำงานให้พวกเขาฟรีๆ โดยแลกกับที่วันๆ ได้แต่นั่งว่าง แม้แต่ค่าแรงในการเดินเอกสารให้กับทางสำนักงานยังไม่เคยได้เลยซะด้วยซ้ำ อันนี้ส่วนหนึ่งเพราะผมดันไปเกรงใจแบบผิดๆ นี่ล่ะ อันนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง แต่ไม่ว่ายังไงการที่ผมทำงานกับสำนักงานนี้ก็คือไม่มีค่าจ้างอย่างแน่นอนเพราะผมไปอยู่ที่นั่นในฐานะคนฝึกงาน ไม่ใช่พนักงานเต็มตัว
เมื่อไม่มีงานก็หมายความว่าไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินก็หมายความว่าผมต้องเกาะทางบ้านกิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากแม้ว่าทางบ้านจะขอให้คิดว่าเงินที่พวกเขาให้คือค่าจ้างที่ได้จากพวกเขาแทนที่จะได้จากสำนักงานก็เถอะ แต่ไม่ว่ามองยังไงมันก็เกาะทางบ้านกินอยู่ดีผมจึงรู้สึกว่าแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ เพราะพ่อแม่ของผมก็ใกล้เกษียณแล้ว แถมเพื่อนคนอื่นก็มีงานมีการทำกันหมดแล้วอีกต่างหาก ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี่ผมจึงเริ่มหางานจริงๆ จังๆ โดยไม่คิดจะเกี่ยงแล้วว่างานที่หาได้นั้นจะเป็นงานอะไร
ที่บ่นมาข้างต้นนั้นคือเรื่องราวของผมในช่วง 1 ปีหลังเรียนจบ หลังจากนี้คือเรื่องราวช่วงปีที่ 2 ของผมกับชีวิตว่างงานอันแสนรันทด
เนื่องจากอย่างที่เกริ่นมาตอนแรกว่าผมเรียนจบนิติศาสตร์ เริ่มแรกผมจึงเริ่มหางานเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเป็นอันดับแรก โดยใช้เว็ปไซต์หางานต่างๆ นาๆ เข้าไปโฟกัสไปที่ตำแหน่งนิติกรตามบริษัทต่างๆ โดยหวังว่าน่าจะเอาสิ่งที่ตัวเองเรียนมาไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง แต่ก็ช่างโชคร้ายที่ผมร่อนใบสมัครไปยังบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายแหล่นับสิบๆ ที่ได้ แต่ก็มีเพียงแค่บริษัทเดียวเท่านั้นที่โทรศัพท์มาติดต่อให้ไปสัมภาษณ์ ซึ่งบริษัทนั้นก็เป็นเพียงแค่บริษัทเดียวเท่านั้นที่ติดต่อมา (แถมยังสัมภาษณ์ไม่ผ่านอีกต่างหาก) หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีบริษัทใดติดต่อกลับมาอีกเลย (นอกจากพวกหลอกขายประกัน) จนกระทั่งปัจจุบัน
พอเห็นว่างานด้านกฎหมายเริ่มจะหาไม่ได้ ก็คิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเพราะตำแหน่งที่คนต้องการมันมีน้อยรึเปล่าถึงหาไม่ได้ซะที ผมจึงได้เปลี่ยนความคิดโดยการพยายามหางานอื่นที่ใกล้เคียงอย่างพวกงานสายสังคมทั้งหลาย อย่างพวก HR งี้ โดยหวังว่านั่นน่าจะเป็นงานที่ทำแก้ขัดไปก่อนจนกว่าจะได้ตั๋วทนายมาครอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงได้เริ่มร่อนใบสมัครเพิ่มและขยายโฟกัสหางานให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่นั่นก็เหมือนจะดูไร้ประโยชน์เพราะอย่างที่ว่าไว้ข้างบน... นับตั้งแต่บริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นติดต่อมาขอสัมภาษณ์ ก็ไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาอีกเลย เช่นเดียวกันแม้กระทั่งงาน HR นี้ก็ไม่ใครเอา
พอได้เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าหลายๆ ครั้งผมก็ชักจะเริ่มเครียดแล้ว เพราะเงินเก็บนั้นเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกเดือน แถมระยะเวลาเกษียณของทางบ้านนั้นก็เริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาทุกขณะๆ อีกต่างหาก ผมจึงคิดว่าหากไม่สามารถหางานเป็นหลักเป็นแหล่งได้ไม่นานนักผมคงอดตายแน่ๆ จึงได้ขยายโฟกัสงานต่างๆ ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยคราวนี้ผมได้เพิ่มงานพวกพนักงานขาย พนักงานต้อนรับ ฯลฯ เข้าไปด้วย โดยตั้งความหวังว่านั่นจะเป็นงานแก้ขัดไปก่อนเช่นข้างต้น แต่ผลที่ได้กลับมาก็เหมือนกับข้างต้นเลยคือไม่มีแม้กระทั่งการเรียกตัวไปสัมภาษณ์นั่นเอง
พอโดนแบบนี้เข้ามากๆ ก็ทำเอาผมรู้สึกท้อใจขึ้นมาจนกลายเป็นความกลุ้มใจสั่งสมมาจวบจนถึงปัจจุบันนี่ล่ะ ล่าสุดรุ่นพี่ที่สำนักงานกฎหมายได้แนะนำให้ไปลองสัมภาษณ์งานเป็นฝ่ายกฎหมายให้กับอู่รถแห่งหนึ่งที่มีตำแหน่งว่างอยู่ แต่พอลองไปปุ๊บเขาก็บอกปัดไม่เอาทั้งที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลยแท้ๆ ซะอย่างงั้น ทำเอาผมเซจนแทบจะไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียว... ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม? ทั้งที่ตอนไปก็แต่งตัวดีสะอาดเกลี้ยง แถมยังมีจดหมายแนะนำตัวอีกต่างหาก
ท้ายที่สุดแล้วพอไม่สามารถหางานที่ทำแล้วได้เงินเดือนจริงๆ จังๆ ได้ ผมจึงได้แต่จำใจต้องทนทำงานฟรีต่อไป แต่ก็ลดความสำคัญลงแล้วหันไปเขียนบทความ SEO ขายประทังชีวิตทีละ 200 - 300 บาทเอาเฉกเช่นปัจจุบันนี้นี่ล่ะ ลองตรวจสอบดูแล้ว Resume ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำม๊ายทำไมถึงไม่มีบริษัทไหนติดต่อกลับมาเลยน้า - - เพื่อนๆ คนอื่นที่จบสายอื่นเขาก็มีงานมีการจนเปลี่ยนงานกันหลายรอบแล้วแท้ๆ แต่ผมนี่กลับไม่มีงานมาให้ทำซะที บอกได้คำเดียวกลุ้ม! ทางบ้านบอกว่าให้ผมลองเรียน ป.โท ของธรรมศาสตร์ดูเผื่อว่าจะมีอะไรดีขึ้น แต่เพราะค่าใช้จ่ายนี่ล่ะเลยไม่รู้จะรบกวนเพิ่มดีรึเปล่า เลยยังไม่ได้ตัดสินใจ
เอาล่ะบ่นมามากพอแล้ว คงต้องขอจบเรื่องเพียงเท่านี้ก็แล้วกันครับ สวัสดี!