ใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจรแบบใหม่ จะสามารถแก้ได้ภายใน 1 ปี และใช้เงินในการก่อสร้างน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
ปัญหาจราจรเกิดจากรถเก๋ง (เพียงบางส่วน) แต่จริงๆแล้ว เกิดจากการมีผู้บริหาร (ในอดีต) โง่ (ทำนองเดียวกับทีมฟุตบอลที่มีโค้ชโง่ ไม่สามารถแยกถูกผิด ดีชั่ว ใครเล่นเก่ง ใครเล่นไม่เก่ง ไม่รู้ไม่เห็น ย่อมทำให้ทีมดีขึ้นไม่ได้)
หมายเหตุ ผู้บริหารในอดีตโง่ ในที่นี้หมายถึง 1. ผู้บริหารประเทศ (ยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์) 2. ผู้บริหาร กทม. (มรว. สุขุมพันธุ์) เพราะผมเคยส่งวิธีนี้ (ทาง จม. หลายครั้ง) เงียบๆๆๆๆ และเคยขอเข้าพบท่านเหล่านี้ แต่ไม่เคยได้พบ 3. ผู้บริหารตำรวจจราจร (พล.ต.ท. ภาณุ เกิดลาภผล) เคยพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย (จึงจบกันไป)
วิธีนี้ใช้ในเวลาเร่งด่วน โดยสัญญาณไฟที่ช่องสำหรับรถเมล์ และช่องสำหรับรถเก๋ง จะเปิดเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ยกเว้นถนนบางสาย สามารถใช้นอกเวลาเร่งด่วนก็ได้
ข้อเสียของวิธีนี้ จะต้องใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมสัญญาณไฟจราจร เพื่อปล่อยรถเมล์ และรถเก๋ง สี่แยกละ 1 - 5 คน / 1 สี่แยก โดยเจ้าหน้าที่จะต้องทุกคนจะต้องผ่านการอบรม การขึ้นสัญญาณไฟ (แบบใหม่) นี้
วิธีขึ้นสัญญาณไฟ (แบบใหม่) อาจจะให้เจ้าหน้าควบคุมสัญญาณไฟจราจร นี้ขึ้นไปอยู่ในที่สูง และในจุดที่จะสามารถเห็นช่อง A B C ของทั้งสี่แยกนี้ได้ โดยถ้าใช้เจ้าหน้าที่ 5 คน / 1 สี่แยก อาจให้กดพร้อมๆกันหมด 5 คนนี้จะควบคุมไฟ คนละชุด และกดปุ่มพร้อมๆกัน และถ้ามีคนกดปุ่มใดซ้ำกัน 3 ครั้งจึงจะขึ้นไฟ 1 ครั้ง (ทำนองเดียวกับการให้คะแนนมวยสากลสมัครเล่น) เพื่อให้ได้คำสั่งที่ต้องถูก
ควรจะมีลานจอดรถเก๋ง แบบที่หมอชิด (จอดแล้วจร ของรถไฟฟ้า) ทุกๆถนนที่ใช้วิธีนี้ เพื่อให้รถเก๋งที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ สามารถขับรถเก๋งเข้ามาจอด ในลานจอดรถเก๋งนี้ แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถเมล์
หมายเหตุ ในปัจจุบันรถเก๋งที่ต้องการขึ้นรถไฟฟ้า จะต้องขับรถเก๋งออกจากบ้านแล้วหาที่จอดใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า แล้วขึ้นรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) มาที่สถานีรถไฟฟ้า และต่อรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) ไปจุดหมายปลายทาง ดังนั้นจะเห็นว่าจะต้องต่อรถกันหลายทอด และการต่อรถไฟฟ้าจะต้องเดินจากป้ายรถเมล์ไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้า แล้วเดินไปรอขึ้นรถไฟฟ้า ใช้เวลาอีกประมาณ 10 นาที และอาจจะต้องเปลี่ยน (เชื่อมโยง) จากใต้ดินไปลอยฟ้า (อีกหลายนาที) และเมื่อลงรถไฟฟ้า ก็จะต้องเดินๆๆๆ ลงมา เพื่อขึ้นรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) อีกประมาณ 5 นาที เพื่อไปจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นถ้าตัดขั้นตอนเกี่ยวกับรถไฟฟ้าออก (ทั้งหมด) โดยใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ (อย่างเดียว) จะประหยัดเวลาในการใช้รถไฟฟ้า (ทั้งหมด) ไปอีกสิบกว่า หรือ ยี่สิบกว่านาที ดังนั้น ถึงรถเมล์ตามวิธีนี้ จะมีความเร็วเฉลี่ยน้อยกว่ารถไฟฟ้า (เล็กน้อย) แต่เมื่อตัด (ลบ) เวลาเกี่ยวกับรถไฟฟ้าออกทั้งหมด อาจจะทำให้การใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ ใช้เวลาน้อยกว่าการใช้รถไฟฟ้าก็ได้
ควรเพิ่มจำนวนรถเมล์ รถเมล์ใน กทม. ในปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 7000 คัน รถเก๋งมีประมาณ 2 - 3 ล้านคัน ดังนั้น ถ้าเพิ่มรถเมล์ เป็น 10000 หรือ 20000 หรือ 30000 คัน (ยิ่งมากยิ่งดี) รถร้อนหรือรถแอร์ ก็ได้ หรืออาจะใช้รถกระบะ หรือรถสี่ล้อ (ใหญ่) หรือรถหกล้อ ก็ได้ มาต่อเก้าอี้ (แบบรถที่ใช้วิ่งในซอย นำมาใช้วิ่งในวิธีใหม่นี้ก็ได้) ก็จะช่วยทำให้เพิ่มความถี่ในการวิ่งผ่านป้ายรถเมล์ได้บ่อยขึ้น และทำให้ผู้ใช้รถเมล์ไม่ต้องรอรถเมล์นาน จึงทำให้ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทาง โดยใช้รถเมล์เพิ่มขึ้นอีก
ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางทั้งหมด ต่างกับความเร็วเฉลี่ยของรถเมล์ เพราะความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางทั้งหมด จะต้องรวม (บวก) เวลาในการรอรถเมล์ด้วย ส่วนความเร็วเฉลี่ยของรถเมล์ จะนับแต่เฉพาะจากต้นทางถึงปลายทางของรถเมล์คันนั้นๆ ดังนั้นเวลาที่ใช้รอรถเมล์ ถ้าลดน้อยลง (จากการเพิ่มจำนวนรถเมล์) ก็จะทำให้ลดเวลาในการเดินทางลงได้
ควรปรับปรุงป้ายรถเมล์ให้บังแดด บังฝนได้จริงๆ เพราะหลังคาป้ายรถเมล์มีหลายแบบ (แบบเก่า แบบใหม่ แบบโบราณ แบบทันสมัย (อาจจะสวยแต่รูป แต่บังแดดบังฝนได้ไม่ดี))
รถเมล์คือผู้แก้ปัญหาจราจร
ใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจรแบบใหม่ จะสามารถแก้ได้ภายใน 1 ปี และใช้เงินในการก่อสร้างน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
ปัญหาจราจรเกิดจากรถเก๋ง (เพียงบางส่วน) แต่จริงๆแล้ว เกิดจากการมีผู้บริหาร (ในอดีต) โง่ (ทำนองเดียวกับทีมฟุตบอลที่มีโค้ชโง่ ไม่สามารถแยกถูกผิด ดีชั่ว ใครเล่นเก่ง ใครเล่นไม่เก่ง ไม่รู้ไม่เห็น ย่อมทำให้ทีมดีขึ้นไม่ได้)
หมายเหตุ ผู้บริหารในอดีตโง่ ในที่นี้หมายถึง 1. ผู้บริหารประเทศ (ยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์) 2. ผู้บริหาร กทม. (มรว. สุขุมพันธุ์) เพราะผมเคยส่งวิธีนี้ (ทาง จม. หลายครั้ง) เงียบๆๆๆๆ และเคยขอเข้าพบท่านเหล่านี้ แต่ไม่เคยได้พบ 3. ผู้บริหารตำรวจจราจร (พล.ต.ท. ภาณุ เกิดลาภผล) เคยพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย (จึงจบกันไป)
วิธีนี้ใช้ในเวลาเร่งด่วน โดยสัญญาณไฟที่ช่องสำหรับรถเมล์ และช่องสำหรับรถเก๋ง จะเปิดเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ยกเว้นถนนบางสาย สามารถใช้นอกเวลาเร่งด่วนก็ได้
ข้อเสียของวิธีนี้ จะต้องใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมสัญญาณไฟจราจร เพื่อปล่อยรถเมล์ และรถเก๋ง สี่แยกละ 1 - 5 คน / 1 สี่แยก โดยเจ้าหน้าที่จะต้องทุกคนจะต้องผ่านการอบรม การขึ้นสัญญาณไฟ (แบบใหม่) นี้
วิธีขึ้นสัญญาณไฟ (แบบใหม่) อาจจะให้เจ้าหน้าควบคุมสัญญาณไฟจราจร นี้ขึ้นไปอยู่ในที่สูง และในจุดที่จะสามารถเห็นช่อง A B C ของทั้งสี่แยกนี้ได้ โดยถ้าใช้เจ้าหน้าที่ 5 คน / 1 สี่แยก อาจให้กดพร้อมๆกันหมด 5 คนนี้จะควบคุมไฟ คนละชุด และกดปุ่มพร้อมๆกัน และถ้ามีคนกดปุ่มใดซ้ำกัน 3 ครั้งจึงจะขึ้นไฟ 1 ครั้ง (ทำนองเดียวกับการให้คะแนนมวยสากลสมัครเล่น) เพื่อให้ได้คำสั่งที่ต้องถูก
ควรจะมีลานจอดรถเก๋ง แบบที่หมอชิด (จอดแล้วจร ของรถไฟฟ้า) ทุกๆถนนที่ใช้วิธีนี้ เพื่อให้รถเก๋งที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ สามารถขับรถเก๋งเข้ามาจอด ในลานจอดรถเก๋งนี้ แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถเมล์
หมายเหตุ ในปัจจุบันรถเก๋งที่ต้องการขึ้นรถไฟฟ้า จะต้องขับรถเก๋งออกจากบ้านแล้วหาที่จอดใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า แล้วขึ้นรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) มาที่สถานีรถไฟฟ้า และต่อรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) ไปจุดหมายปลายทาง ดังนั้นจะเห็นว่าจะต้องต่อรถกันหลายทอด และการต่อรถไฟฟ้าจะต้องเดินจากป้ายรถเมล์ไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้า แล้วเดินไปรอขึ้นรถไฟฟ้า ใช้เวลาอีกประมาณ 10 นาที และอาจจะต้องเปลี่ยน (เชื่อมโยง) จากใต้ดินไปลอยฟ้า (อีกหลายนาที) และเมื่อลงรถไฟฟ้า ก็จะต้องเดินๆๆๆ ลงมา เพื่อขึ้นรถเมล์ (หรือรถอื่นๆ) อีกประมาณ 5 นาที เพื่อไปจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นถ้าตัดขั้นตอนเกี่ยวกับรถไฟฟ้าออก (ทั้งหมด) โดยใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ (อย่างเดียว) จะประหยัดเวลาในการใช้รถไฟฟ้า (ทั้งหมด) ไปอีกสิบกว่า หรือ ยี่สิบกว่านาที ดังนั้น ถึงรถเมล์ตามวิธีนี้ จะมีความเร็วเฉลี่ยน้อยกว่ารถไฟฟ้า (เล็กน้อย) แต่เมื่อตัด (ลบ) เวลาเกี่ยวกับรถไฟฟ้าออกทั้งหมด อาจจะทำให้การใช้รถเมล์ตามวิธีใหม่นี้ ใช้เวลาน้อยกว่าการใช้รถไฟฟ้าก็ได้
ควรเพิ่มจำนวนรถเมล์ รถเมล์ใน กทม. ในปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 7000 คัน รถเก๋งมีประมาณ 2 - 3 ล้านคัน ดังนั้น ถ้าเพิ่มรถเมล์ เป็น 10000 หรือ 20000 หรือ 30000 คัน (ยิ่งมากยิ่งดี) รถร้อนหรือรถแอร์ ก็ได้ หรืออาจะใช้รถกระบะ หรือรถสี่ล้อ (ใหญ่) หรือรถหกล้อ ก็ได้ มาต่อเก้าอี้ (แบบรถที่ใช้วิ่งในซอย นำมาใช้วิ่งในวิธีใหม่นี้ก็ได้) ก็จะช่วยทำให้เพิ่มความถี่ในการวิ่งผ่านป้ายรถเมล์ได้บ่อยขึ้น และทำให้ผู้ใช้รถเมล์ไม่ต้องรอรถเมล์นาน จึงทำให้ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทาง โดยใช้รถเมล์เพิ่มขึ้นอีก
ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางทั้งหมด ต่างกับความเร็วเฉลี่ยของรถเมล์ เพราะความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางทั้งหมด จะต้องรวม (บวก) เวลาในการรอรถเมล์ด้วย ส่วนความเร็วเฉลี่ยของรถเมล์ จะนับแต่เฉพาะจากต้นทางถึงปลายทางของรถเมล์คันนั้นๆ ดังนั้นเวลาที่ใช้รอรถเมล์ ถ้าลดน้อยลง (จากการเพิ่มจำนวนรถเมล์) ก็จะทำให้ลดเวลาในการเดินทางลงได้
ควรปรับปรุงป้ายรถเมล์ให้บังแดด บังฝนได้จริงๆ เพราะหลังคาป้ายรถเมล์มีหลายแบบ (แบบเก่า แบบใหม่ แบบโบราณ แบบทันสมัย (อาจจะสวยแต่รูป แต่บังแดดบังฝนได้ไม่ดี))