ในโลกสากลเคยมีการตั้งคำถามว่า รู้ใหม? ผู้แทนประกันภัยเขาขายอะไร แน่ละคำตอบก็คือ ก็ประกันภัยนั่นเอง ทีนี้ลองถามอีกว่า แล้วอะไรล่ะ? ที่ผู้แทน ปชช. เขาขายกัน คงตอบกันได้ใช่ใหม โดยผลประโยชน์ของผู้แทนประกันภัยเรียกว่า “ค่ารางวัลติดต่อ” (พรีเมียร์) และสำหรับผู้แทน ปชช. เรียกว่า “ค่าสนับสนุน” (ลอบบี้) ครับ
การที่จะมาทำหน้าที่ อันที่มักใช้เรียกกันว่า วิสัยทัศน์เพื่อชาติ หรือ เป็นลักษณะของการแทนคุณแผ่นดิน อันเป็นการเสียสละที่สูงด้วยคุณธรรม (ไอดอร) หรือหมายถึงว่า เพื่อความสุขสมบูรณ์ต่อปวงชนทั้งหลายในสังคมนั้นๆ ส่วนค่าตอบแทนต่างๆ ที่มาจากเงินภาษีของ ปชช. เป็นเพียงการทดแทนค่าใช้จ่ายและสินน้ำใจ หรือเศษเบี้ย เท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญของรายได้มิได้อยู่ที่ค่าตอบแทนจากรัฐ เป็นหลัก คำถามที่ตามมาก็คือ อะไรล่ะ คือรายได้หลักของเขาเหล่านี้ หรือมาจากการคอรัปชั่น ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเรามีองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอยู่แล้ว แต่เป็นไปได้ใหมว่า การตรวจสอบทรัพย์สินขององค์กรอิสระนี้ เป็นเพียงการสร้างภาพของผู้ถูกตรวจสอบนั้นๆ ว่ามีความพร้อมในการเข้ารับหน้าที่ เป็นผู้แทนปวงชน อย่างสมบูรณ์และสมควร คืออย่างน้อยมีทรัพย์สินเพียงพอที่ตรวจสอบได้ อันให้เชื่อได้ว่า ไม่มีความจำเป็นต้อง “ฉ้อราษฎรบังหลวง หรือกินนอกหักใน” (คอรัปชั่น) นั่นเอง และด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นการยากสำหรับผู้มีสถานะทรัพย์สินระดับ มนุษย์เงินเดือนจะสามารถ รับหน้าที่เสียสละเพื่อชาติอันนี้ได้ ครับ
การที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทาง เสียสละเพื่อชาติ โดยเฉพาะในระบบประชาธิปไตย คือการให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้ง ของ ปชช.จำนวนมาก โดยการสร้างนโยบายที่เป็นความต้องการของปวงชนในช่วงขณะนั้นๆ หรืออันที่เรียกว่า “ประชานิยม” หรือ “วิสัยทัศน์เพื่อชาติ” อย่างเช่น นโยบายประกันราคาข้าว หรือนโยบายจำนำข้าว เป็นต้น การที่จะได้มาซึ่งคะแนนเสียงกับปวงชนทั้งหลาย มีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อให้กับปวงชนทั้งหลาย หรือก็ไม่แตกต่างกับการโฆษณาสินค้า ที่มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นการลงทุนที่อาจได้รับส่วนทดแทนแต่ไม่เคยหมายถึงทั้งหมดจากรัฐ (กกต.) เพราะค่าใช้จ่าย ฯลฯ บางชนิดไม่สามารถหักลบบัญชีอย่างเปิดเผยได้ ตามปรกติแล้วเงินทุนส่วนหนึ่งก็จะได้รับการช่วยเหลือโดยออกวางลวงหน้าจาก พรรคการเมือง อันก็เป็นเหตุผลให้นักการเมืองต้องมีพรรคสังกัด และอีกส่วนหนึ่งก็คือทุนส่วนตัว และถ้าจะตรวจสอบตามความเป็นจริงโดยเอา ค่าทดแทนทั้งหมดมาหักลบกับค่าลงทุนนั้นๆ ก็จะเห็นได้ว่า “ไม่คุ้มทุน” อย่างชัดเจน อันก็เป็นการสร้างภาพถึง การเสียสละเพื่อชาติของนักการเมืองที่สูงด้วยคุณธรรม (ไอดอร) เพราะสิ่งแรกที่เสียสละไม่เพียงแต่ด้วยความพร้อมในตัวเอง แต่ยังต้องเสียสละทรัพย์สินส่วนตัวเป็นเดิมพันอีกด้วย ครับ
ส่วนนักการเมืองในระบบอื่นๆ ที่เข้าสู่เส้นทาง เสียสละเพื่อชาติ โดยไม่ยึดโยงต่อการได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือโดยการแต่งตั้งทั้งหลาย จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้การลงทุนสูง แต่ก็มิได้หมายถึงว่าไม่มีเสียเลย เพราะผู้ที่สามารถแต่งตั้งมีจำนวนน้อยกว่าผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนั่นเอง อันเป็นโอกาศที่ผู้มีทรัพย์สินในระดับ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย โดยเฉพาะ จนท.รัฐ ในระดับต่างๆ สามารถได้รับการแต่งตั้งเพื่อเข้าถึง การเสียสละเพื่อชาติได้ นั่นเอง ในเมื่อการได้มาซึ่งอำนาจหน้าที่ มิได้มาด้วยการ แสดง “วิสัยทัศน์เพื่อชาติ” กับปวงชนทั้งหลายผู้ให้คะแนนเสียงเลือกตั้ง คำว่า “ประชานิยม” จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องให้ความสนใจและให้การปฎิเสธ จากนักการเมืองเหล่านี้ขึ้นมา แต่ความสนใจและสนับสนุนจะตกอยู่ในลักษณะตอบแทนบุญคุณ อันที่ใช้เรียกกันว่า “แทนคุณแผ่นดิน” ครับ
การได้มาซึ่ง สิทธิในการเสียสละเพื่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ “ประชานิยม” หรือ “แทนคุณแผ่นดิน” ต่างมีพื้นฐานในรูปแบบเดียวกัน คือการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของผู้ให้ ในส่วนของผู้ที่ได้มาโดยคะแนนเสียงเลือกตั้ง แบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อย่างเช่นลักษณะนโยบายประกันราคาข้าว คือการชดเชยผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนผูกขาด และนโยบายจำนำราคาข้าว คือการปกป้องรายได้พื้นฐานต่อผู้ผลิต ฉนั้นมองตรวจสอบให้ลึกลงไปก็จะเห็นได้ว่า จากลักษณะของนโยบายทั้งหลาย อันใหนคือการเสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง (ไอดอร์) และอันใหนคือผลประโยชน์แอบแฝงและก็ส่วนหนึ่งของที่มาถึงรายได้หลักของเขาเหล่านี้ ครับ
เส้นทางรายได้หลัก ส่วนหนึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย อย่างเช่น เงินสนับสนุน ส่วนบุคคล และกับพรรคสังกัด แต่เป็นเพียงส่วนน้อย หรือที่เรียกว่าเศษเงิน เท่านั้น เงินและทรัพย์สินสะพัดที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยกระบวนการกฎหมายได้นั้นเป็นรายได้ส่วนใหญ่ อันมักจะมีที่สะสมในต่างประเทศ หรือในบัญชีธนาคารที่ไม่อยู่ในกรอบข่ายของการแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือเงินสดที่เก็บแยกเอาไว้ อย่างที่ถึงขนาดต้องใช้รถเข็นมาโยกย้ายตามที่เป็นข่าวในสือมวลชนเป็นต้น หรือบางคนมีธุรกิจจำหน่ายของตัวเอง สร้างสภาวะขาดตลาดให้เกิดความจำเป็นต่อการนำเข้า การนำเข้าก็เป็นผลผลิตที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง และในเมื่อเป็นสิทธิอำนาจการนำเข้าก็ยังอยู่ที่ตัวเองเอาแค่นี้ก็มีรายได้หรือผลประโยชน์เกินคุ้มโดยปริยายอยู่แล้ว ถูกใหมครับ
วิเคราะห์รายได้หลักที่เป็นไปได้ ของนักการเมือง
การที่จะมาทำหน้าที่ อันที่มักใช้เรียกกันว่า วิสัยทัศน์เพื่อชาติ หรือ เป็นลักษณะของการแทนคุณแผ่นดิน อันเป็นการเสียสละที่สูงด้วยคุณธรรม (ไอดอร) หรือหมายถึงว่า เพื่อความสุขสมบูรณ์ต่อปวงชนทั้งหลายในสังคมนั้นๆ ส่วนค่าตอบแทนต่างๆ ที่มาจากเงินภาษีของ ปชช. เป็นเพียงการทดแทนค่าใช้จ่ายและสินน้ำใจ หรือเศษเบี้ย เท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญของรายได้มิได้อยู่ที่ค่าตอบแทนจากรัฐ เป็นหลัก คำถามที่ตามมาก็คือ อะไรล่ะ คือรายได้หลักของเขาเหล่านี้ หรือมาจากการคอรัปชั่น ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเรามีองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอยู่แล้ว แต่เป็นไปได้ใหมว่า การตรวจสอบทรัพย์สินขององค์กรอิสระนี้ เป็นเพียงการสร้างภาพของผู้ถูกตรวจสอบนั้นๆ ว่ามีความพร้อมในการเข้ารับหน้าที่ เป็นผู้แทนปวงชน อย่างสมบูรณ์และสมควร คืออย่างน้อยมีทรัพย์สินเพียงพอที่ตรวจสอบได้ อันให้เชื่อได้ว่า ไม่มีความจำเป็นต้อง “ฉ้อราษฎรบังหลวง หรือกินนอกหักใน” (คอรัปชั่น) นั่นเอง และด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นการยากสำหรับผู้มีสถานะทรัพย์สินระดับ มนุษย์เงินเดือนจะสามารถ รับหน้าที่เสียสละเพื่อชาติอันนี้ได้ ครับ
การที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทาง เสียสละเพื่อชาติ โดยเฉพาะในระบบประชาธิปไตย คือการให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้ง ของ ปชช.จำนวนมาก โดยการสร้างนโยบายที่เป็นความต้องการของปวงชนในช่วงขณะนั้นๆ หรืออันที่เรียกว่า “ประชานิยม” หรือ “วิสัยทัศน์เพื่อชาติ” อย่างเช่น นโยบายประกันราคาข้าว หรือนโยบายจำนำข้าว เป็นต้น การที่จะได้มาซึ่งคะแนนเสียงกับปวงชนทั้งหลาย มีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อให้กับปวงชนทั้งหลาย หรือก็ไม่แตกต่างกับการโฆษณาสินค้า ที่มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นการลงทุนที่อาจได้รับส่วนทดแทนแต่ไม่เคยหมายถึงทั้งหมดจากรัฐ (กกต.) เพราะค่าใช้จ่าย ฯลฯ บางชนิดไม่สามารถหักลบบัญชีอย่างเปิดเผยได้ ตามปรกติแล้วเงินทุนส่วนหนึ่งก็จะได้รับการช่วยเหลือโดยออกวางลวงหน้าจาก พรรคการเมือง อันก็เป็นเหตุผลให้นักการเมืองต้องมีพรรคสังกัด และอีกส่วนหนึ่งก็คือทุนส่วนตัว และถ้าจะตรวจสอบตามความเป็นจริงโดยเอา ค่าทดแทนทั้งหมดมาหักลบกับค่าลงทุนนั้นๆ ก็จะเห็นได้ว่า “ไม่คุ้มทุน” อย่างชัดเจน อันก็เป็นการสร้างภาพถึง การเสียสละเพื่อชาติของนักการเมืองที่สูงด้วยคุณธรรม (ไอดอร) เพราะสิ่งแรกที่เสียสละไม่เพียงแต่ด้วยความพร้อมในตัวเอง แต่ยังต้องเสียสละทรัพย์สินส่วนตัวเป็นเดิมพันอีกด้วย ครับ
ส่วนนักการเมืองในระบบอื่นๆ ที่เข้าสู่เส้นทาง เสียสละเพื่อชาติ โดยไม่ยึดโยงต่อการได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือโดยการแต่งตั้งทั้งหลาย จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้การลงทุนสูง แต่ก็มิได้หมายถึงว่าไม่มีเสียเลย เพราะผู้ที่สามารถแต่งตั้งมีจำนวนน้อยกว่าผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนั่นเอง อันเป็นโอกาศที่ผู้มีทรัพย์สินในระดับ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย โดยเฉพาะ จนท.รัฐ ในระดับต่างๆ สามารถได้รับการแต่งตั้งเพื่อเข้าถึง การเสียสละเพื่อชาติได้ นั่นเอง ในเมื่อการได้มาซึ่งอำนาจหน้าที่ มิได้มาด้วยการ แสดง “วิสัยทัศน์เพื่อชาติ” กับปวงชนทั้งหลายผู้ให้คะแนนเสียงเลือกตั้ง คำว่า “ประชานิยม” จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องให้ความสนใจและให้การปฎิเสธ จากนักการเมืองเหล่านี้ขึ้นมา แต่ความสนใจและสนับสนุนจะตกอยู่ในลักษณะตอบแทนบุญคุณ อันที่ใช้เรียกกันว่า “แทนคุณแผ่นดิน” ครับ
การได้มาซึ่ง สิทธิในการเสียสละเพื่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ “ประชานิยม” หรือ “แทนคุณแผ่นดิน” ต่างมีพื้นฐานในรูปแบบเดียวกัน คือการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของผู้ให้ ในส่วนของผู้ที่ได้มาโดยคะแนนเสียงเลือกตั้ง แบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน อย่างเช่นลักษณะนโยบายประกันราคาข้าว คือการชดเชยผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนผูกขาด และนโยบายจำนำราคาข้าว คือการปกป้องรายได้พื้นฐานต่อผู้ผลิต ฉนั้นมองตรวจสอบให้ลึกลงไปก็จะเห็นได้ว่า จากลักษณะของนโยบายทั้งหลาย อันใหนคือการเสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง (ไอดอร์) และอันใหนคือผลประโยชน์แอบแฝงและก็ส่วนหนึ่งของที่มาถึงรายได้หลักของเขาเหล่านี้ ครับ
เส้นทางรายได้หลัก ส่วนหนึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย อย่างเช่น เงินสนับสนุน ส่วนบุคคล และกับพรรคสังกัด แต่เป็นเพียงส่วนน้อย หรือที่เรียกว่าเศษเงิน เท่านั้น เงินและทรัพย์สินสะพัดที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยกระบวนการกฎหมายได้นั้นเป็นรายได้ส่วนใหญ่ อันมักจะมีที่สะสมในต่างประเทศ หรือในบัญชีธนาคารที่ไม่อยู่ในกรอบข่ายของการแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือเงินสดที่เก็บแยกเอาไว้ อย่างที่ถึงขนาดต้องใช้รถเข็นมาโยกย้ายตามที่เป็นข่าวในสือมวลชนเป็นต้น หรือบางคนมีธุรกิจจำหน่ายของตัวเอง สร้างสภาวะขาดตลาดให้เกิดความจำเป็นต่อการนำเข้า การนำเข้าก็เป็นผลผลิตที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง และในเมื่อเป็นสิทธิอำนาจการนำเข้าก็ยังอยู่ที่ตัวเองเอาแค่นี้ก็มีรายได้หรือผลประโยชน์เกินคุ้มโดยปริยายอยู่แล้ว ถูกใหมครับ