กรรมวิธีในการคิดคะแนนแรงกิ้งของฟีฟ่าในปัจจุบัน นับเฉพาะแมตช์ทางการ ที่ทีมชาติชุดใหญ่ของชาตินั้นๆลงเตะ ในการแข่งขันทัวร์นาเม้นสำคัญๆ เช่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในทวีปของตัวเอง ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ฟุตบอลทัวร์นาเม้นใหญ่สุดของทวีป เช่นยูโร เอเชี่ยนคัพ โคป้าอเมริกา และรวมไปถึงแมตช์กระชับมิตร (อุ่นเครื่อง)
มีคนเป็นจำนวนมาก เข้าใจผิด (รวมถึงตัวผมเองเมื่อก่อนจะมานั่งศึกษามันอย่างจริงจังด้วย) ว่ายิ่งแข่งเยอะก็ยิ่งได้คะแนน ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป (ใครเข้าใจอยู่แล้วก็แล้วไปจ้า)
การคิดลำดับ ranking จะนับคะแนนรวม มาจากคะแนน "เฉลี่ย" ของแต่ละแมตช์ที่แข่งไป เช่น แข่งแมตช์ 1 ได้ 600 คะแนน แข่งแมตช์ 2 ได้ 400 คะแนน คะแนนของสองแมตช์นี้ออกมา จะได้ 500 คะแนนเท่านั้น (600+400 หาร 2) หมายความว่า ถ้าแข่งไป 10 นัดทั้ง12เดือนที่ผ่านมา แล้วผลออกมา รวมได้ 2400 คะแนน คะแนนที่จะนำไปคิดแรงกิ้งของชาตินั้นๆ คือ 240 คะแนนเท่านั้น การแข่งเยอะแล้วแพ้กับเสมอซะมาก จึงไม่ใช่แค่ไม่ได้คะแนนมาบวกมากนัก แต่จะดึงคะแนนเฉลี่ยของ 12 เดือนนี้ลงมาด้วยทันทีเลย
ผมยกตัวอย่างแบบ Extreme ให้ เช่นสมมุติไทยเรา ไปแข่งกระชับมิตรเล่นๆกับอาร์เจนติน่า แล้วทะลึ่งชนะขึ้นมา เราจะได้คะแนนนัดนั้น 555 คะแนน กิ๊บๆ แมตช์ต่อมาเลยไปท้าเยอรมันเตะแล้วชนะซะอีก (ถล่มอันดับ 1 กะ 2 ของโลกซะเลย) เราจะได้คะแนนนัดนั้น 546 คะแนน สองแมตช์นี้ทำให้เรากลายเป็นเทพของโลกไปเลย หลังจากนั้นมา เราก็เลยไปท้าเตะกับชาติอื่นๆและชนะหมดอีก 10 ชาติ แต่คราวนี้เป็นทีมละแวกนี้หมด (เพราะหมดงบละกัน) ซึ่งมีแรงกิ้งต่ำกว่า 150 ล้วนๆทั้งสิบทีม ได้คะแนนมาแมตช์ละ 127 คะแนน ครบ 12 เดือน เรามีคะแนนรวม 555+546+(127*10)=2371 คะแนนครับ แต่เนื่องจากเราเตะไปทั้งหมด 12 แมตช์ คะแนนสำหรับวงรอบ 12 เดือนที่ผ่านมานั้นจึงอยู่ที่ 2371/12=197 คะแนนเท่านั้น ซึ่งนั่น จะไม่ทำให้อันดับโลกเราขยับไปไหนเลย ทั้งๆที่ไม่แพ้ซักกะแมตช์เดียวแถมยังสอยอันดับ 1 กับ 2 ของโลกไปแล้วด้วยซ้ำ!!!
จากที่ยกตัวอย่างมา การเตะอุ่นเครื่องจำนวนมากครั้ง หากขาดคุณภาพ ยิ่งฉุดคะแนนลงไป ต่างจากระบบเดิม ที่ FIFA ใช้เมื่อก่อนปี 2006 ที่แพ้ก็ยังได้คะแนน ชนะเยอะก็มีโบนัสให้
รายละเอียดการคิดคะแนนแต่ละแมตช์ มีดังนี้ครับ
คะแนน = ผลการแข่งขัน x (200-rank คู่แข่ง ณ เวลานั้น) x ความสำคัญของเมตช์นั้น x ค่าทวีป
ผลการแข่ง ชนะคือ 3 เสมอคือ 1 แพ้คือ 0
Rank คู่แข่งมีข้อยกเว้นคือ อันดับ 1 ให้ 200 ไปเลย ส่วนต่ำกว่า 150 ลงไป ให้เหมาใช้ 50 ไปเลย ไม่ต้องเอา 200 ไปลบ (เพราะอันดับแย่มากแล้ว ยิ่งลบยิ่งไม่ได้อะไรเลยทีนี้)
ความสำคัญของแมตช์ กระชับมิตรคือ 1 รอบคัดเลือกบอลถ้วยทั้งหลายคือ 2.5 รอบสุดท้ายบอลถ้วยทวีปคือ 3 ส่วนบอลโลกรอบสุดท้ายให้ 4
ส่วนค่าทวีป คงตัวที่ อเมริกาใต้ 1.0 ยุโรป 0.99 ส่วนอื่นๆของโลก 0.85 เวลาทีมต่างทวีปมาเจอกัน ให้เอาค่านี้บวกกันหารสอง
จากสูตรการคำนวนของฟีฟ่า จะพบว่า ไทย หากชนะอาร์เจน (อันดับ 1 ของโลก) ในแมตช์กระชับมิตร จะได้ 555 คะแนน
แต่หากไทย ชนะ บาห์เรน (อันดับ 123 ของโลก) ในเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้ายนัดไหนก็ได้ จะได้ถึง 589 คะแนน ยิ่งถ้าเป็นพวกอุซเบหรือจีน จะได้เกิน 900 คะแนนต่อชัยชนะด้วยซ้ำ
แม้กระทั้งการชนะฟิลิปปินส์ (หากนางได้ไปนะ) ในทัวร์นาเม้นนั้น ก็จะทำคะแนนให้เราได้ถึง 505 คะแนนเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า คะแนนที่ได้จากแต่ละแมตช์ ตัวที่สำคัญที่สุด ในความคิดของผม คือ พวกบอลถ้วยสำคัญของทวีป ซึ่งของไทยเราก็คือ เอเชี่ยนคัพ
ส่วนการอุ่นเครื่อง ที่เรามักได้ยินคนบ่น บอกให้อุ่นเยอะๆ บ่อยๆ นั้น คะแนนที่ได้ ถึงชนะ ก็ป้วนเปี้ยนอยู่หลักสองสามร้อย (ทีมที่เราจะอุ่นด้วยได้ อันดับก็จะอยู่แถวๆ 100 อัพ) เมื่อไปถัวเฉลี่ยกับบางนัดที่อาจแพ้ ทำให้คะแนนที่ได้ ไม่ได้มากอะไร ซึ่งการอุ่นเครื่องบ่อยๆ จะขยับอันดับเราได้เพียงไม่กี่อันดับ ในช่วงคะแนนรวมอยู่แถวๆสองสามร้อยแบบนี้ แต่ถ้าอันดับเราสูงขึ้นกว่านี้ การมาเจาะเอาแมตช์อุ่นเครื่องมากๆกลับเป็นการลดค่าเฉลี่ยด้วยซ้ำถ้าไม่ชนะหมด
ส่วนคะแนนรวมที่ฟีฟ่า นำมาคิดในการจัดอันดับจริงๆ คือการเอาคะแนน 12 เดือนย้อนหลัง คิดเต็ม เดือนที่ 13-24 ย้อนหลัง คิดแค่ 50% เดือนที่ 25-36 ย้อนหลัง คิดแค่ 30% และเดือนที่ 37-48 ย้อนหลัง คิดแค่ 20% คะแนนเหล่านี้ ไม่ได้นับเป็นปีนะครับ ไม่ใช่ 2014 2013 2012 แต่นับย้อนหลังเป็นจำนวนเดือน ไปเรื่อยๆ และคะแนน คิดใหม่ทุกเดือน ดังนั้น คะแนนย้อนหลังเหล่านี้ ก็ไม่เท่าเดิมเสมอๆ เพราะทุกเดือนที่ผ่านไป กรอบเดือนย้อนหลังก็จะขยับตามกันไปทีละเดือน ทีละเดือน ไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างก็คือ การประกาศครั้งต่อไป คือต้นเดือน November ซึ่งก็จะทำให้การคิดคะแนนเดือน Nov 2014 - Oct 2015 ได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ Nov 2013 - Oct 2014 ก็จะคิดแค่ 50% ไปเรื่อยๆ
คะแนน 100% รอบ Nov 2014 - Oct 2015 ก็จะคิด มาจาก คะแนนรวมจากการแข่งขันทุกนัด ที่ valid ในช่วงเวลานี้ของทีมชาติเรา หารด้วยจำนวนแมตช์เหล่านั้น เช่น ถ้ารวมแล้วเตะไปทั้งหมด 16 นัด มีคะแนนรวม 2300 คะแนนจากทุกนัด เราก็จะมีคะแนน 12 เดือนล่าสุด อยู่ที่ 2300/16 = 145 คะแนนครับ
นำไปนับรวมกับ วงรอบย้อนไปให้ครบ 4 ปี ตามเปอร์เซนต์ที่ได้ ก็จะได้คะแนนรวมออกมา
รอบสุดท้ายโซนเอเชีย 12ทีม ปลายปีหน้า มีค่าความสำคัญแค่ 2.5 แต่เอเชี่ยนคัพปี 2019 นั้น มีค่าความสำคัญ 3 เราจึงไม่ควรมองข้ามเอเชี่ยนคัพโดยเด็ดขาด
ที่เพิ่งจบไป (2015) ประเทศในทวีปเราต่างก็เก็บแต้มกันเป็นกอบเป็นกำจากการเตะเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้าย ในขณะที่เราได้แต่นั่งดูเฉยๆแบบแต้มไม่ขยับ
เราต้องไปเป็นขาประจำให้ได้ครับ สำหรับถ้วยทวีปใบนี้
บอกเล่าวิธีคิดคะแนนฟีฟ่า Ranking ให้กับคนที่ยังไม่เคยศึกษาครับ
มีคนเป็นจำนวนมาก เข้าใจผิด (รวมถึงตัวผมเองเมื่อก่อนจะมานั่งศึกษามันอย่างจริงจังด้วย) ว่ายิ่งแข่งเยอะก็ยิ่งได้คะแนน ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป (ใครเข้าใจอยู่แล้วก็แล้วไปจ้า)
การคิดลำดับ ranking จะนับคะแนนรวม มาจากคะแนน "เฉลี่ย" ของแต่ละแมตช์ที่แข่งไป เช่น แข่งแมตช์ 1 ได้ 600 คะแนน แข่งแมตช์ 2 ได้ 400 คะแนน คะแนนของสองแมตช์นี้ออกมา จะได้ 500 คะแนนเท่านั้น (600+400 หาร 2) หมายความว่า ถ้าแข่งไป 10 นัดทั้ง12เดือนที่ผ่านมา แล้วผลออกมา รวมได้ 2400 คะแนน คะแนนที่จะนำไปคิดแรงกิ้งของชาตินั้นๆ คือ 240 คะแนนเท่านั้น การแข่งเยอะแล้วแพ้กับเสมอซะมาก จึงไม่ใช่แค่ไม่ได้คะแนนมาบวกมากนัก แต่จะดึงคะแนนเฉลี่ยของ 12 เดือนนี้ลงมาด้วยทันทีเลย
ผมยกตัวอย่างแบบ Extreme ให้ เช่นสมมุติไทยเรา ไปแข่งกระชับมิตรเล่นๆกับอาร์เจนติน่า แล้วทะลึ่งชนะขึ้นมา เราจะได้คะแนนนัดนั้น 555 คะแนน กิ๊บๆ แมตช์ต่อมาเลยไปท้าเยอรมันเตะแล้วชนะซะอีก (ถล่มอันดับ 1 กะ 2 ของโลกซะเลย) เราจะได้คะแนนนัดนั้น 546 คะแนน สองแมตช์นี้ทำให้เรากลายเป็นเทพของโลกไปเลย หลังจากนั้นมา เราก็เลยไปท้าเตะกับชาติอื่นๆและชนะหมดอีก 10 ชาติ แต่คราวนี้เป็นทีมละแวกนี้หมด (เพราะหมดงบละกัน) ซึ่งมีแรงกิ้งต่ำกว่า 150 ล้วนๆทั้งสิบทีม ได้คะแนนมาแมตช์ละ 127 คะแนน ครบ 12 เดือน เรามีคะแนนรวม 555+546+(127*10)=2371 คะแนนครับ แต่เนื่องจากเราเตะไปทั้งหมด 12 แมตช์ คะแนนสำหรับวงรอบ 12 เดือนที่ผ่านมานั้นจึงอยู่ที่ 2371/12=197 คะแนนเท่านั้น ซึ่งนั่น จะไม่ทำให้อันดับโลกเราขยับไปไหนเลย ทั้งๆที่ไม่แพ้ซักกะแมตช์เดียวแถมยังสอยอันดับ 1 กับ 2 ของโลกไปแล้วด้วยซ้ำ!!!
จากที่ยกตัวอย่างมา การเตะอุ่นเครื่องจำนวนมากครั้ง หากขาดคุณภาพ ยิ่งฉุดคะแนนลงไป ต่างจากระบบเดิม ที่ FIFA ใช้เมื่อก่อนปี 2006 ที่แพ้ก็ยังได้คะแนน ชนะเยอะก็มีโบนัสให้
รายละเอียดการคิดคะแนนแต่ละแมตช์ มีดังนี้ครับ
คะแนน = ผลการแข่งขัน x (200-rank คู่แข่ง ณ เวลานั้น) x ความสำคัญของเมตช์นั้น x ค่าทวีป
ผลการแข่ง ชนะคือ 3 เสมอคือ 1 แพ้คือ 0
Rank คู่แข่งมีข้อยกเว้นคือ อันดับ 1 ให้ 200 ไปเลย ส่วนต่ำกว่า 150 ลงไป ให้เหมาใช้ 50 ไปเลย ไม่ต้องเอา 200 ไปลบ (เพราะอันดับแย่มากแล้ว ยิ่งลบยิ่งไม่ได้อะไรเลยทีนี้)
ความสำคัญของแมตช์ กระชับมิตรคือ 1 รอบคัดเลือกบอลถ้วยทั้งหลายคือ 2.5 รอบสุดท้ายบอลถ้วยทวีปคือ 3 ส่วนบอลโลกรอบสุดท้ายให้ 4
ส่วนค่าทวีป คงตัวที่ อเมริกาใต้ 1.0 ยุโรป 0.99 ส่วนอื่นๆของโลก 0.85 เวลาทีมต่างทวีปมาเจอกัน ให้เอาค่านี้บวกกันหารสอง
จากสูตรการคำนวนของฟีฟ่า จะพบว่า ไทย หากชนะอาร์เจน (อันดับ 1 ของโลก) ในแมตช์กระชับมิตร จะได้ 555 คะแนน
แต่หากไทย ชนะ บาห์เรน (อันดับ 123 ของโลก) ในเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้ายนัดไหนก็ได้ จะได้ถึง 589 คะแนน ยิ่งถ้าเป็นพวกอุซเบหรือจีน จะได้เกิน 900 คะแนนต่อชัยชนะด้วยซ้ำ
แม้กระทั้งการชนะฟิลิปปินส์ (หากนางได้ไปนะ) ในทัวร์นาเม้นนั้น ก็จะทำคะแนนให้เราได้ถึง 505 คะแนนเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า คะแนนที่ได้จากแต่ละแมตช์ ตัวที่สำคัญที่สุด ในความคิดของผม คือ พวกบอลถ้วยสำคัญของทวีป ซึ่งของไทยเราก็คือ เอเชี่ยนคัพ
ส่วนการอุ่นเครื่อง ที่เรามักได้ยินคนบ่น บอกให้อุ่นเยอะๆ บ่อยๆ นั้น คะแนนที่ได้ ถึงชนะ ก็ป้วนเปี้ยนอยู่หลักสองสามร้อย (ทีมที่เราจะอุ่นด้วยได้ อันดับก็จะอยู่แถวๆ 100 อัพ) เมื่อไปถัวเฉลี่ยกับบางนัดที่อาจแพ้ ทำให้คะแนนที่ได้ ไม่ได้มากอะไร ซึ่งการอุ่นเครื่องบ่อยๆ จะขยับอันดับเราได้เพียงไม่กี่อันดับ ในช่วงคะแนนรวมอยู่แถวๆสองสามร้อยแบบนี้ แต่ถ้าอันดับเราสูงขึ้นกว่านี้ การมาเจาะเอาแมตช์อุ่นเครื่องมากๆกลับเป็นการลดค่าเฉลี่ยด้วยซ้ำถ้าไม่ชนะหมด
ส่วนคะแนนรวมที่ฟีฟ่า นำมาคิดในการจัดอันดับจริงๆ คือการเอาคะแนน 12 เดือนย้อนหลัง คิดเต็ม เดือนที่ 13-24 ย้อนหลัง คิดแค่ 50% เดือนที่ 25-36 ย้อนหลัง คิดแค่ 30% และเดือนที่ 37-48 ย้อนหลัง คิดแค่ 20% คะแนนเหล่านี้ ไม่ได้นับเป็นปีนะครับ ไม่ใช่ 2014 2013 2012 แต่นับย้อนหลังเป็นจำนวนเดือน ไปเรื่อยๆ และคะแนน คิดใหม่ทุกเดือน ดังนั้น คะแนนย้อนหลังเหล่านี้ ก็ไม่เท่าเดิมเสมอๆ เพราะทุกเดือนที่ผ่านไป กรอบเดือนย้อนหลังก็จะขยับตามกันไปทีละเดือน ทีละเดือน ไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างก็คือ การประกาศครั้งต่อไป คือต้นเดือน November ซึ่งก็จะทำให้การคิดคะแนนเดือน Nov 2014 - Oct 2015 ได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ Nov 2013 - Oct 2014 ก็จะคิดแค่ 50% ไปเรื่อยๆ
คะแนน 100% รอบ Nov 2014 - Oct 2015 ก็จะคิด มาจาก คะแนนรวมจากการแข่งขันทุกนัด ที่ valid ในช่วงเวลานี้ของทีมชาติเรา หารด้วยจำนวนแมตช์เหล่านั้น เช่น ถ้ารวมแล้วเตะไปทั้งหมด 16 นัด มีคะแนนรวม 2300 คะแนนจากทุกนัด เราก็จะมีคะแนน 12 เดือนล่าสุด อยู่ที่ 2300/16 = 145 คะแนนครับ
นำไปนับรวมกับ วงรอบย้อนไปให้ครบ 4 ปี ตามเปอร์เซนต์ที่ได้ ก็จะได้คะแนนรวมออกมา
รอบสุดท้ายโซนเอเชีย 12ทีม ปลายปีหน้า มีค่าความสำคัญแค่ 2.5 แต่เอเชี่ยนคัพปี 2019 นั้น มีค่าความสำคัญ 3 เราจึงไม่ควรมองข้ามเอเชี่ยนคัพโดยเด็ดขาด
ที่เพิ่งจบไป (2015) ประเทศในทวีปเราต่างก็เก็บแต้มกันเป็นกอบเป็นกำจากการเตะเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้าย ในขณะที่เราได้แต่นั่งดูเฉยๆแบบแต้มไม่ขยับ
เราต้องไปเป็นขาประจำให้ได้ครับ สำหรับถ้วยทวีปใบนี้