วันนี้เลิกกินเจพอดี น่าเสียดายที่ยังละกิเลสไม่ได้
ทั้งๆที่ เป็นผลดีกับสุขภาพกายอย่างเห็นๆ
คือย่นเวลา การนั่งทำธุระในห้องส่วนตัวได้มาก
เลยมีเวลามาตั้งกระทู้ ก่อนจะไปเดินออกกำลังกายบนสายพาน
คำตอบบางหัวข้อ อาจจะไม่น่าสนใจ เพราะเคยอ่านมาแล้ว
ก็ลองเลือกอ่าน เฉพาะคำถามที่คิดว่า น่าสนใจดูก็แล้วกัน
ถ้าไม่มีคำถามไหนน่าสนใจ
ก็ดูรูปข้างใต้นี้ ก็พอ




อย่ามัวแต่ดูรูปเพลิน เดี๋ยวหุ้นในพอร์ตจะเจอ......



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
*คำถาม คำตอบ มีการดัดแปลงแก้ไข และเพิ่มเติมบางส่วน
๑ ใครไม่ควรทำคลายเครียดเรโช เพื่อเอาเงินต้นออกจากหุ้นที่ถือในพอร์ต
คือคนที่รู้ผลลัพธ์ของการกระทำในอดีต
แล้วชอบกลับไปตัดสินการกระทำในอดีตว่า
น่าจะทำแบบนั้น น่าจะทำแบบนี้
จะเป็นคนที่ขายหุ้นบางส่วนเพื่อเอาทุนคืนออกมาก่อนไม่ได้
ทำไปก็เสียสุขภาพจิต
เพราะว่า
ถ้าขายแล้วหุ้นขึ้นต่อ
ก็จะบอกว่า รู้งี้ ถือไว้ทั้งจำนวนดีกว่า
ถ้าขายแล้วหุ้นลงพรวด
ก็จะบอกว่า รู้งี้ ขายให้หมดเลย
สรุปได้ว่า จะทำยังไงก็เครียดทั้งนั้น
ซึ่งคนที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ๆ ยังไงก็เป็นกันทุกคน
เพราะความเครียดของเรา มันจะอยู่ตรงที่
เราหวังจะให้ตลาดหุ้น ราคาหุ้นเป็นไปตามที่ใจเราต้องการเท่านั้น
๒ ไม่เห็นจะเก่งตรงไหนเลย ก็แค่คนที่มีโอกาสซื้อหุ้นตอนถูกๆ แล้วก็ถือหรือมาขายตอนแพงๆ
ที่ว่า เล่นหุ้นมันง่าย
ก็แค่ซื้อได้หุ้นถูกๆ แล้วถือเอามาขายตอนที่แพงๆ
แบบนี้ใครๆก็พูดได้ ถ้ารู้อนาคตของอดีตแล้ว
แต่ความจริง มันสำคัญตรงที่ว่า
ทำไมถึงจะกล้าซื้อตอนที่ยังเป็นปัจจุบันในตอนนั้น ที่ราคาหุ้นมันถูกๆ
แล้วกล้าถือรอมาขายที่อนาคตที่มันแพงๆ ต่างหาก
เขาเก่งกว่าคนที่ซื้อหุ้นได้ถูกๆ แต่ทำแบบข้างล่างนี้ที่ตรงไหน ?
บางคนซื้อหุ้นได้ตอนถูกมาก แต่พอหุ้นที่ถือขึ้นมาแค่ยี่สิบเปอร์เซนต์
ก็ขายทำกำไรจนหมดพอร์ตแล้ว
เพราะกลัวมันจะลงต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อ
ความจริงที่น่าแปลกใจอีกอย่างของตลาดหุ้นก็คือ
ไม่ว่าดัชนีจะอยู่ที่ตรงไหน ก็ยังมีคนขาดทุนจากตลาดหุ้นเสมอ




๓ หวังไว้มาก อาจจะได้น้อย หวังไว้น้อยอาจจะได้มาก ?
การหวังผลตอบแทนของตลาดหุ้น
สูงกว่าที่ตัวเองเคยทำได้จากสิ่งที่เคยได้จากนอกตลาดหุ้น
เท่ากับหวังไว้มาก จนสร้างแรงกดดันต่อการตัดสินของตัวเองได้
ของผม หวังแค่ได้ผลตอบแทนดีกว่า เงินฝากประจำของธนาคาร
ก็เลยไม่หวั่นไหวไปกับความเป็นไปของราคาหุ้นที่คนในตลาดหุ้นทำ
พอเราหวังไว้น้อย
มันก็แปลกดี
ราคาหุ้นที่เราเข้าซื้อตอนหวังน้อย และยังไม่มีคนในตลาดหุ้นสนใจ
มักจะให้ผลตอบแทนดีๆ จนเรานึกไม่ถึงครับ





๔ เบื่อหรือไม่ ที่ราคาหุ้นที่ถือไม่ไปไหนเลย
ไม่เบื่อ นั่งดูทุกวันที่ตลาดเปิด ถ้ามีเวลาว่างจะดู
บางตัวนั่งดูมาหลายปี ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้น แล้วยังดันลงอีก
ที่ไม่เบื่อ ก็ลองอ่านคำตอบข้อ ๓ ดู
หลายๆตัว นั่งดูทุกวันอยู่ปี สองปี กว่ามันจะขึ้นสองสามเท่า
สองสามเท่าที่ว่า ก็เลยเป็นส่วนเกินทุนของความคาดหวังที่มีอยู่ในใจเรา
๕ สัดส่วนระหว่างเงินจริงในมือ กับสัดส่วนเงินมายาในพอร์ต ที่ดีที่สุดควรเป็นเท่าไรดี ?
ขอตอบแบบนี้
ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่กำไรที่สุด
คือต้องเฺป็นสัดส่วนที่ดีที่สุดกับปัจจัยพื้นฐานชีวิตของต้วเราเอง
เช่นมีรายได้จากแหล่งอื่นหรือไม่
ถ้ามี อาจจะถือหุ้นด้วยเงินสดที่ไม่มีภาระต้องใช้ ได้ร้อยเปอร์เซนต์
ถ้าไม่มี ก็ต้องลดสัดการถือหุ้นลง
เอาเฉพาะส่วนตัวผม ได้กันเงินจริงออกจากตลาดหุ้น
สำรองไว้เป็นจำนวนเงินที่มากพอจะใช้จ่ายอย่างประหยัดไปได้ตลอดชีวิต
(จำนวนเงินต้องกำหนดเอาเอง ตามอายุ ภาระรับผิดชอบและความต้องการความสะดวกสบายทางร่ายกายของแต่ละคน)
ที่เหลือถือเป็นหุ้น เพื่อรับเงินปันผลเอามาเป็นค่าใช้จ่ายประจำปี
๖ จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า
จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว
จงกล้วเมื่อคนอื่นกล้า
เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว
อีกครึ่งที่ต้องหาให้ได้คือ
ใครเป็นคนกล้า ใครเป็นคนกลัว
ถ้าคนที่กล้า มีเงินมากกว่าคนที่กลัวร้อยคนรวมกัน
ก็สมควรจะกล้า
ถ้าคนที่กลัว ถือหุ้นมากกว่าจำนวนเงินที่คนที่กล้าซื้อหุ้นร้อยคนรวมกัน
ก็สมควรจะกลัว
ถ้าเรากล้า แต่เจ้ามือกลัว ก็รอวันเจ๊ง
ถ้าเรากลัว แต่เจ้ามือกล้า ก็คือตกรถ
วอเรน บุตเฟต์พูดแบบนั้นได้เพราะอะไร
ลองนึกดูให้ดีๆ
๗ ว่าด้วยเรื่อง การเสพติดหนี้ debt addiction
ผมว่า เราจะมีนิสัยบางอย่าง ที่มาจากชีวิตจริงสะสมของตัวเอง
เป็นภูมิคุ้มกันขั้นต้น บวกกับการไม่ทำตามกระแสสังคมเป็นเรื่องตามมา
ส่วนคนที่มีภูมิคุ้มกันเบื้องต้นอย่างดีแล้ว
แต่จิตไม่แข็ง จะโอนอ่อนไปตามกระแสสังคม จนเอาตัวไม่รอด
การไม่อยากจะมีหนี้เลย บางที มันก็สุดโต่งไปอีกข้าง
กลายเป็นคน DEBT PHOBIA (กลัวฝังใจการเป็นหนี้)
ปัจจัยพื้นฐานมันมาจาก
พ่อแม่ผม เป็นคนประหยัดค่าใช้จ่ายมาก
ประมาณว่าหาได้ร้อย จะใช้แค่สิบ หรือเต็มที่ยี่สิบ
ค้าขายก็เลยมีเงินสดสะสม มาซื้อสินค้า ได้ส่วนลดเปอร์เซนต์เพิ่ม
ทำให้ได้กำไรสามเด้ง
คือได้ส่วนลดเงินสด
สามารถขาย ในราคาที่ได้เปรียบกว่าคนที่ซื้อเงินเชื่อมาขาย
และ ใช้แรงงานของพ่อแม่พี่น้องล้วนๆ ไม่ได้จ้างใคร
ผมเลยเห็นแต่ด้านดีของการไม่เป็นหนี้
จนไม่กล้าก้าวข้ามไปใช้ชีวิตแบบเป็นหนี้ บวกกับไม่ชอบทำตามกระแสสังคมฟุ้งเฟ้อ
ตอนมีเงินเดือนที่พ่อให้ เดือนละ สองสามพัน ก็ใช้ไม่เกินนั้น
ตอนนี้มี..... ก็ยังใช้ไม่ให้เกินตัวเช่นเดิม
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ก่อนจะมีบัตรเครดิต
ผมไม่เคยก่อหนี้เพื่อการบริโภค แม้แต่ครั้งเดียว
เคยแต่ก่อหนี้เพื่อการพนัน เอ๊ย เพื่อการลงทุนสองครั้ง
ครั้งที่สอง ซื้อที่ดินด้วยเงินเชื่อ ซึ่งต่อมาทนเป็นหนี้กับต้องจ่ายดอกเบี้ยไม่ได้
ก็เลยเอาเงินก้อนไปโปะ ถ่ายถอนจำนองจากธนาคาร
ส่วนครั้งแรก
ก็อย่างที่เคยเล่าซ้ำมาหลายครั้งแล้ว
กู้เงินซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้น จนขาดทุนหมดตัว
พอมีบัตรเครดิต ซักประมาณเมื่อสิบกว่าปีก่อน
มีบัตรเครดิตเพราะเพื่อนของพีสาวชวนทำ
และพอดีเราจำเป็นต้องมี เพราะมีบางสินค้า บางบริการเขาบังคับให้ใช้บัตรเครดิตจ่าย อย่างเช่นเช่ารถ
รอบแรกไม่ผ่าน เพราะไม่มีรายได้แน่นอน ไม่มีใครยอมให้คนเล่นหุ้นเป็นอาชีพอย่างเดียวทำบัตรเครดิต



ยื่นอีกครั้งผ่าน เพราะเพื่อนของพี่สาวเอาใบรับเงินปันผลรับรวมรายปี
ไปเป็นหลักฐานยื่นขอ และคงช่วยค้ำประกันเป็นการส่วนตัว
ทุกวันนี้ ยังยืนวงเงินบัตรเครดิตไว้ที่ ห้าหมื่นบาท เท่ากับวันแรกที่ธนาคารอนุมัติให้
(ขออภัยที่จำผิด เริ่มแรกน่าจะได้วงเงินบัตรเครดิตแค่สามหมื่นบาท แล้วขอวงเงินเพิ่มเป็นห้าหมื่นในภายหลัง )
จะโทรขอขยายวงเงินเพิ่มเป็นครั้งคราว
เมื่อต้องจองตั๋วเครื่องบินแพงๆ จองโรงแรม และเผื่อจะใช้ฉุกเฉินในต่างประเทศ
เมื่อก่อน ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ยังจะพอมีเป็นรายได้ได้บ้าง
ก็เลยมักจะใช้เกือบเต็มวงเงินบัตรเครดิต
เพื่อกินส่วนต่างดอกเบี้ยสี่สิบห้าวัน
ต่อมา ดอกเบี้ยออมทรัพย์ลดฮวบ
ก็เลยแทบจะไม่เคยใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงิน
มีบางเดือน จะมียอดใช้เท่ากับ ศูนย์
ส่วนที่บอกว่า กลายเป็น debt phobia ก็คือ
อะไรที่ผมคิดว่าตัวเองจะต้องมีหนี้นั้นๆ ในอนาคต
จะจ่ายไปก่อนเลยล่วงหน้าเป็นปีๆ
ไม่ว่าจะค่าส่วนกลางคอนโดจ่ายทีเดียวสองปี ค่าอินเตอร์เนต ค่ามือถือ จ่ายเท่ากับรายเดือน X 12 เป็นรายปี
ส่วนค่าน้ำ ค่าไฟ เขาไม่ยอมให้จ่ายล่วงหน้า
เลยต้องทำเรื่องตัดบัญชีผ่านธนาคารเป็นเดือนๆไป
การไม่ใช่วิธีให้รอตัดบัญชีธนาคารเป็นรายเดือน
พวกที่บริหารค่าใช้จ่ายเก่งๆ เขาบอกว่าเหลวไหล
ซึ่งมันก็เหลวไหล แต่ว่าสบายใจดีครับ





โพสต์ให้อ่าน อีกฟากตรงข้ามของ debt addiction ก็แล้วกันครับ
ทุกวันนี้ ผมไม่เคยนับให้รถยนต์ที่ขับเป็นทรัพย์สิน
ผมคิดให้มันเป็น หนี้ค้างจ่ายในอนาคต
จากค่าน้ำมัน ค่าซ่อมรถ ค่าเบี้ยประกัน ฯลฯ



๘ คนไทยซื้อหุ้นผ่าน ndvr ได้หรือไม่
ซื้อได้ ไม่มีข้อกำหนดไหนห้ามคนไทยซื้อ
เจ้ามือหุ้นบางคน จึงชอบใช่ ndvr เป็นช่องทางในการเลี่ยงการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์
เมื่อถือครองหุ้นเกิน ๒๕ %
และที่สำคัญ ทำให้รายย่อยเข้าใจผิดว่า ต่างชาติเป็นคนซื้อหุ้น หุ้นตัวนั้นเลยน่าสนใจ
ของผมเคยซื้อหุ้นผ่าน ndvr เพราะลืมติ๊กช่อง ndvr ออก
ข้อเสียของหุ้น ndvr คือ
ไม่มีสิทธิ์เข้าประชุมผุ้ถือหุ้น เพื่อออกเสียงในวาระต่างๆ
และ เงินปันผลขอเครดิตภาษีไม่ได้




๙ ใครเป็นเจ้ามือหุ้น
ผมนี่แหละเป็นเจ้ามือ
ไม่เชื่อก็ดูภาพประกอบ




๑๐ ทำกราฟ ได้เหมือนกับการทำราคาหุ้นหรือไม่ ?
ยิ่งระยะสั้น ยิ่งทำง่าย
ยิ่งระยะยาว จะยิ่งทำยาก
ยิ่งจำนวนหุ้นน้อย ราคาหุ้นถูก สภาพคล่องที่แท้จริงน้อย ยิ่งทำง่าย
ยิ่งจำนวนหุ้นมาก ราคาหุ้นแพง สภาพคล่องที่แท้จริงมาก ยิ่งทำยาก




๑๑ ท่านใดเล่นหุ้นอย่างเดียวไม่ทำงานบ้าง สามารถดำรงชีพใด้แบบสบายใด้ไหมครับ
ความคิดเห็นที่ 6
http://pantip.com/topic/32616051/comment6
๑๒ ชายผู้เดินเข้าบ่อนทุกวัน อย่างพึงพอใจในชีวิตตัวเอง
ความคืดเห็นที่ 17 - 2
http://pantip.com/topic/30299540/comment17-2
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ขอรวมคำตอบ ที่เคยตอบไว้ตามกระทู้ที่คนอื่นตั้ง เผื่อบางหัวข้อจะน่าสนใจ ?
ทั้งๆที่ เป็นผลดีกับสุขภาพกายอย่างเห็นๆ
คือย่นเวลา การนั่งทำธุระในห้องส่วนตัวได้มาก
เลยมีเวลามาตั้งกระทู้ ก่อนจะไปเดินออกกำลังกายบนสายพาน
คำตอบบางหัวข้อ อาจจะไม่น่าสนใจ เพราะเคยอ่านมาแล้ว
ก็ลองเลือกอ่าน เฉพาะคำถามที่คิดว่า น่าสนใจดูก็แล้วกัน
ถ้าไม่มีคำถามไหนน่าสนใจ
ก็ดูรูปข้างใต้นี้ ก็พอ
อย่ามัวแต่ดูรูปเพลิน เดี๋ยวหุ้นในพอร์ตจะเจอ......
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
*คำถาม คำตอบ มีการดัดแปลงแก้ไข และเพิ่มเติมบางส่วน
คือคนที่รู้ผลลัพธ์ของการกระทำในอดีต
แล้วชอบกลับไปตัดสินการกระทำในอดีตว่า
น่าจะทำแบบนั้น น่าจะทำแบบนี้
จะเป็นคนที่ขายหุ้นบางส่วนเพื่อเอาทุนคืนออกมาก่อนไม่ได้
ทำไปก็เสียสุขภาพจิต
เพราะว่า
ถ้าขายแล้วหุ้นขึ้นต่อ
ก็จะบอกว่า รู้งี้ ถือไว้ทั้งจำนวนดีกว่า
ถ้าขายแล้วหุ้นลงพรวด
ก็จะบอกว่า รู้งี้ ขายให้หมดเลย
สรุปได้ว่า จะทำยังไงก็เครียดทั้งนั้น
ซึ่งคนที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ๆ ยังไงก็เป็นกันทุกคน
เพราะความเครียดของเรา มันจะอยู่ตรงที่
ที่ว่า เล่นหุ้นมันง่าย
ก็แค่ซื้อได้หุ้นถูกๆ แล้วถือเอามาขายตอนที่แพงๆ
แบบนี้ใครๆก็พูดได้ ถ้ารู้อนาคตของอดีตแล้ว
แต่ความจริง มันสำคัญตรงที่ว่า
ทำไมถึงจะกล้าซื้อตอนที่ยังเป็นปัจจุบันในตอนนั้น ที่ราคาหุ้นมันถูกๆ
แล้วกล้าถือรอมาขายที่อนาคตที่มันแพงๆ ต่างหาก
เขาเก่งกว่าคนที่ซื้อหุ้นได้ถูกๆ แต่ทำแบบข้างล่างนี้ที่ตรงไหน ?
บางคนซื้อหุ้นได้ตอนถูกมาก แต่พอหุ้นที่ถือขึ้นมาแค่ยี่สิบเปอร์เซนต์
ก็ขายทำกำไรจนหมดพอร์ตแล้ว
เพราะกลัวมันจะลงต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อ
ความจริงที่น่าแปลกใจอีกอย่างของตลาดหุ้นก็คือ
ไม่ว่าดัชนีจะอยู่ที่ตรงไหน ก็ยังมีคนขาดทุนจากตลาดหุ้นเสมอ
การหวังผลตอบแทนของตลาดหุ้น
สูงกว่าที่ตัวเองเคยทำได้จากสิ่งที่เคยได้จากนอกตลาดหุ้น
เท่ากับหวังไว้มาก จนสร้างแรงกดดันต่อการตัดสินของตัวเองได้
ของผม หวังแค่ได้ผลตอบแทนดีกว่า เงินฝากประจำของธนาคาร
ก็เลยไม่หวั่นไหวไปกับความเป็นไปของราคาหุ้นที่คนในตลาดหุ้นทำ
พอเราหวังไว้น้อย
มันก็แปลกดี
ราคาหุ้นที่เราเข้าซื้อตอนหวังน้อย และยังไม่มีคนในตลาดหุ้นสนใจ
มักจะให้ผลตอบแทนดีๆ จนเรานึกไม่ถึงครับ
ไม่เบื่อ นั่งดูทุกวันที่ตลาดเปิด ถ้ามีเวลาว่างจะดู
บางตัวนั่งดูมาหลายปี ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้น แล้วยังดันลงอีก
ที่ไม่เบื่อ ก็ลองอ่านคำตอบข้อ ๓ ดู
หลายๆตัว นั่งดูทุกวันอยู่ปี สองปี กว่ามันจะขึ้นสองสามเท่า
สองสามเท่าที่ว่า ก็เลยเป็นส่วนเกินทุนของความคาดหวังที่มีอยู่ในใจเรา
ขอตอบแบบนี้
ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่กำไรที่สุด
คือต้องเฺป็นสัดส่วนที่ดีที่สุดกับปัจจัยพื้นฐานชีวิตของต้วเราเอง
เช่นมีรายได้จากแหล่งอื่นหรือไม่
ถ้ามี อาจจะถือหุ้นด้วยเงินสดที่ไม่มีภาระต้องใช้ ได้ร้อยเปอร์เซนต์
ถ้าไม่มี ก็ต้องลดสัดการถือหุ้นลง
เอาเฉพาะส่วนตัวผม ได้กันเงินจริงออกจากตลาดหุ้น
สำรองไว้เป็นจำนวนเงินที่มากพอจะใช้จ่ายอย่างประหยัดไปได้ตลอดชีวิต
(จำนวนเงินต้องกำหนดเอาเอง ตามอายุ ภาระรับผิดชอบและความต้องการความสะดวกสบายทางร่ายกายของแต่ละคน)
ที่เหลือถือเป็นหุ้น เพื่อรับเงินปันผลเอามาเป็นค่าใช้จ่ายประจำปี
จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว
จงกล้วเมื่อคนอื่นกล้า
เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว
อีกครึ่งที่ต้องหาให้ได้คือ
ใครเป็นคนกล้า ใครเป็นคนกลัว
ถ้าคนที่กล้า มีเงินมากกว่าคนที่กลัวร้อยคนรวมกัน
ก็สมควรจะกล้า
ถ้าคนที่กลัว ถือหุ้นมากกว่าจำนวนเงินที่คนที่กล้าซื้อหุ้นร้อยคนรวมกัน
ก็สมควรจะกลัว
ถ้าเรากล้า แต่เจ้ามือกลัว ก็รอวันเจ๊ง
ถ้าเรากลัว แต่เจ้ามือกล้า ก็คือตกรถ
วอเรน บุตเฟต์พูดแบบนั้นได้เพราะอะไร
ลองนึกดูให้ดีๆ
ผมว่า เราจะมีนิสัยบางอย่าง ที่มาจากชีวิตจริงสะสมของตัวเอง
เป็นภูมิคุ้มกันขั้นต้น บวกกับการไม่ทำตามกระแสสังคมเป็นเรื่องตามมา
ส่วนคนที่มีภูมิคุ้มกันเบื้องต้นอย่างดีแล้ว
แต่จิตไม่แข็ง จะโอนอ่อนไปตามกระแสสังคม จนเอาตัวไม่รอด
การไม่อยากจะมีหนี้เลย บางที มันก็สุดโต่งไปอีกข้าง
กลายเป็นคน DEBT PHOBIA (กลัวฝังใจการเป็นหนี้)
ปัจจัยพื้นฐานมันมาจาก
พ่อแม่ผม เป็นคนประหยัดค่าใช้จ่ายมาก
ประมาณว่าหาได้ร้อย จะใช้แค่สิบ หรือเต็มที่ยี่สิบ
ค้าขายก็เลยมีเงินสดสะสม มาซื้อสินค้า ได้ส่วนลดเปอร์เซนต์เพิ่ม
ทำให้ได้กำไรสามเด้ง
คือได้ส่วนลดเงินสด
สามารถขาย ในราคาที่ได้เปรียบกว่าคนที่ซื้อเงินเชื่อมาขาย
และ ใช้แรงงานของพ่อแม่พี่น้องล้วนๆ ไม่ได้จ้างใคร
ผมเลยเห็นแต่ด้านดีของการไม่เป็นหนี้
จนไม่กล้าก้าวข้ามไปใช้ชีวิตแบบเป็นหนี้ บวกกับไม่ชอบทำตามกระแสสังคมฟุ้งเฟ้อ
ตอนมีเงินเดือนที่พ่อให้ เดือนละ สองสามพัน ก็ใช้ไม่เกินนั้น
ตอนนี้มี..... ก็ยังใช้ไม่ให้เกินตัวเช่นเดิม
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ก่อนจะมีบัตรเครดิต
ผมไม่เคยก่อหนี้เพื่อการบริโภค แม้แต่ครั้งเดียว
เคยแต่ก่อหนี้เพื่อการพนัน เอ๊ย เพื่อการลงทุนสองครั้ง
ครั้งที่สอง ซื้อที่ดินด้วยเงินเชื่อ ซึ่งต่อมาทนเป็นหนี้กับต้องจ่ายดอกเบี้ยไม่ได้
ก็เลยเอาเงินก้อนไปโปะ ถ่ายถอนจำนองจากธนาคาร
ส่วนครั้งแรก
ก็อย่างที่เคยเล่าซ้ำมาหลายครั้งแล้ว
กู้เงินซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้น จนขาดทุนหมดตัว
พอมีบัตรเครดิต ซักประมาณเมื่อสิบกว่าปีก่อน
มีบัตรเครดิตเพราะเพื่อนของพีสาวชวนทำ
และพอดีเราจำเป็นต้องมี เพราะมีบางสินค้า บางบริการเขาบังคับให้ใช้บัตรเครดิตจ่าย อย่างเช่นเช่ารถ
รอบแรกไม่ผ่าน เพราะไม่มีรายได้แน่นอน ไม่มีใครยอมให้คนเล่นหุ้นเป็นอาชีพอย่างเดียวทำบัตรเครดิต
ยื่นอีกครั้งผ่าน เพราะเพื่อนของพี่สาวเอาใบรับเงินปันผลรับรวมรายปี
ไปเป็นหลักฐานยื่นขอ และคงช่วยค้ำประกันเป็นการส่วนตัว
ทุกวันนี้ ยังยืนวงเงินบัตรเครดิตไว้ที่ ห้าหมื่นบาท เท่ากับวันแรกที่ธนาคารอนุมัติให้
(ขออภัยที่จำผิด เริ่มแรกน่าจะได้วงเงินบัตรเครดิตแค่สามหมื่นบาท แล้วขอวงเงินเพิ่มเป็นห้าหมื่นในภายหลัง )
จะโทรขอขยายวงเงินเพิ่มเป็นครั้งคราว
เมื่อต้องจองตั๋วเครื่องบินแพงๆ จองโรงแรม และเผื่อจะใช้ฉุกเฉินในต่างประเทศ
เมื่อก่อน ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ยังจะพอมีเป็นรายได้ได้บ้าง
ก็เลยมักจะใช้เกือบเต็มวงเงินบัตรเครดิต
เพื่อกินส่วนต่างดอกเบี้ยสี่สิบห้าวัน
ต่อมา ดอกเบี้ยออมทรัพย์ลดฮวบ
ก็เลยแทบจะไม่เคยใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงิน
มีบางเดือน จะมียอดใช้เท่ากับ ศูนย์
ส่วนที่บอกว่า กลายเป็น debt phobia ก็คือ
อะไรที่ผมคิดว่าตัวเองจะต้องมีหนี้นั้นๆ ในอนาคต
จะจ่ายไปก่อนเลยล่วงหน้าเป็นปีๆ
ไม่ว่าจะค่าส่วนกลางคอนโดจ่ายทีเดียวสองปี ค่าอินเตอร์เนต ค่ามือถือ จ่ายเท่ากับรายเดือน X 12 เป็นรายปี
ส่วนค่าน้ำ ค่าไฟ เขาไม่ยอมให้จ่ายล่วงหน้า
เลยต้องทำเรื่องตัดบัญชีผ่านธนาคารเป็นเดือนๆไป
การไม่ใช่วิธีให้รอตัดบัญชีธนาคารเป็นรายเดือน
พวกที่บริหารค่าใช้จ่ายเก่งๆ เขาบอกว่าเหลวไหล
ซึ่งมันก็เหลวไหล แต่ว่าสบายใจดีครับ
โพสต์ให้อ่าน อีกฟากตรงข้ามของ debt addiction ก็แล้วกันครับ
ทุกวันนี้ ผมไม่เคยนับให้รถยนต์ที่ขับเป็นทรัพย์สิน
ผมคิดให้มันเป็น หนี้ค้างจ่ายในอนาคต
จากค่าน้ำมัน ค่าซ่อมรถ ค่าเบี้ยประกัน ฯลฯ
ซื้อได้ ไม่มีข้อกำหนดไหนห้ามคนไทยซื้อ
เจ้ามือหุ้นบางคน จึงชอบใช่ ndvr เป็นช่องทางในการเลี่ยงการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์
เมื่อถือครองหุ้นเกิน ๒๕ %
ของผมเคยซื้อหุ้นผ่าน ndvr เพราะลืมติ๊กช่อง ndvr ออก
ข้อเสียของหุ้น ndvr คือ
ไม่มีสิทธิ์เข้าประชุมผุ้ถือหุ้น เพื่อออกเสียงในวาระต่างๆ
และ เงินปันผลขอเครดิตภาษีไม่ได้
ผมนี่แหละเป็นเจ้ามือ
ไม่เชื่อก็ดูภาพประกอบ
ยิ่งระยะสั้น ยิ่งทำง่าย
ยิ่งระยะยาว จะยิ่งทำยาก
ยิ่งจำนวนหุ้นน้อย ราคาหุ้นถูก สภาพคล่องที่แท้จริงน้อย ยิ่งทำง่าย
ยิ่งจำนวนหุ้นมาก ราคาหุ้นแพง สภาพคล่องที่แท้จริงมาก ยิ่งทำยาก
ความคิดเห็นที่ 6
http://pantip.com/topic/32616051/comment6
ความคืดเห็นที่ 17 - 2
http://pantip.com/topic/30299540/comment17-2