หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
Torm Adventure: จากป่าดงดิบภูเขาไฟกอริลล่าและสัตว์ป่า สู่เมือง ลาก่อนรวันดายูกันดา ตอนสุดท้าย พร้อมข้อมูลเดินทางและอื่นๆ
กระทู้สนทนา
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวภูเขา
เที่ยวต่างประเทศ
เดินป่า
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของการเดินทางผจญภัยบุกป่าดงดิบภูเขาไฟ ในรวันดาและยูกันดา เพื่อแกะรอยกอริลล่าภูเขา ที่มีจ่าฝูง silverback ตัวโตถึง 200-250 กิโลกรัมเป็น highlight นอกจาก 2 วันเต็มกับกอริลล่าที่อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟในรวันดา อีก 1 วันกับกอริลล่าที่อุทยานป่าดงดิบ Bwindi Impenetrable ในยูกันดาแล้ว ยังมีสัตว์อื่นๆ เป็นตัวแถมที่คุ้มค่า ตั้งแต่การส่องสัตว์ซาฟารีในทุ่งซาวันน่าและการล่องเรือส่องสัตว์ ณ อุทยานแห่งชาติ Queen Elizabeth เจอ big five เกือบครบทุกชนิด ทั้งสิงโตปีนต้นไม้ เสือดาว ควายป่า ช้างป่าแอฟริกา และยังมีฮิปโป จรเข้ หมูป่า กวางนานาพันธุ์
ที่ลืมไม่ลงเลยคือ ทะเลสาบที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในแอฟริกา ได้แก่ทะเลสาบ Mutanda ที่มีภูเขาไฟถึง 6 ลูกเป็นฉากหลัง
และจบแบบน่ารักด้วยการแกะรอยตามหาลิงชิมแปนซีตัวแสบ ในอุทยานป่าดิบชื้น Kibale Forest ซึ่งอยู่ในบริเวณ Bunyaruguru Crater Lake Region แหล่งรวมของทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟอีกกว่าสิบทะเลสาบ รวมเวลาในรวันดาและยูกันดาครั้งนี้ เพียง 10 วัน แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความทรงจำที่ประมาณค่าไม่ได้
เช้าวันสุดท้ายมาถึงอย่างรวดเร็วจนยากจะทำใจไม่ให้เศร้าได้ เราตื่นเช้ามา อากาศสดใส แสงแดดอ่อนๆ ลมเย็น ใบไม้ใบหญ้ามีนํ้าค้างเกาะบนยอด แกว่งไปมาสีสันสดใสดูร่าเริง บรรยากาศตอนเช้าๆ มักสดชื่นสวยงาม ในทะเลสาบมีเรือไม้ของชาวประมงที่ออกจับปลาหากินแต่เช้าตรู่ อาหารเช้าวันนี้สั่งได้ตามต้องการ ได้กินผักเขียวพื้นเมืองสดจากสวน มะเขือเทศหวานฉํ่า และอโวคาโดสุกกำลังดี พร้อมนํ้าผลไม้คั้นสดที่รวมทั้งแอปเปิ้ล มะม่วง มะนาว และผักต่างๆ ตามด้วยเครป ไข่และเบคอน และขนมปังปิ้งร้อนๆ บรรยากาศทั้งสวยอาหารทั้งสุดอร่อย อากาศเย็นสบายเกินบรรยาย รํ่าลาน้องหมาสองตัวที่นอนสลบไสล แล้วกลับเข้าห้องเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทางตอน 9 โมง ก่อนล้อหมุนขอมองทะเลสาบทั้งสองด้านให้เต็มตา บ๊ายบายป่ายูกันดา ไอเลิฟยู
รถแล่นผ่านสันเขาลงมาเรื่อยๆ ผ่านไร่ชาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ยามเช้าอากาศหนาวเย็น ชาวพื้นเมืองห่อตัวให้อบอุ่นด้วยผ้าสีสวยสด ทำมาหากินไม่ห่างจากถนน
กลับออกมาที่ถนนใหญ่ใกล้เมือง Fort Portal แล้วแยกออกขวาไปทางทิศตะวันออก มุ่งตรงสู่กรุงคัมปาลา เมืองหลวงของยูกันดา ถนนลาดยางอย่างดี จึงใช้เวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง ก็สามารถเดินทางเกือบ 300 กิโลเมตรไปถึงชานเมืองคัมปาลาได้
จากชานเมืองคัมปาลา เราผ่านพระราชวัง (ไม่เปิดให้เข้าชมเพราะยังเป็นที่ใช้งานของกษัตริย์ยูกันดา) มองเห็นตึกรัฐสภา มัสยิดใหญ่ของเมือง และตึกสูงกลางใจเมือง แต่คัมปาลาขึ้นชื่อมากว่ารถติดชนิดนรกหลายขุม สามารถติดแค่จะเข้าหรือออกเมืองเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงอย่างสบาย เนื่องจากประชากรคนชั้นกลางมีมากขึ้นและรวมตัวในเมืองหลวง ต่างซื้อรถเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง ถนนเดิมที่สร้างไว้ไม่สามารถรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรถึง 12 ล้านคนได้ (ประชากรยูกันดาทั้งประเทศมีประมาณ 35 ล้านคนเท่านั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรไทย แต่มีประชากรอัดอยู่ในเมืองหลวงเท่าๆ กับกรุงเทพฯ เลย) ดังนั้นทุกคนจึงแนะนำว่า เราไม่ควรเข้าไปในเมือง แต่ควรตัดออกเส้นที่จะตรงไปเมือง Entebbe ริมทะเลสาบวิคตอเรียในตอนล่าง เพื่อไปสนามบินเลย
และรถก็ติดจริงๆ ขนาดไม่ได้เข้าไปในเมือง และแม้จะเป็นวันอาทิตย์ เนื่องจากถนนมีแค่ 4 เลนไปกลับ Faroug บ่นถึงการคอรัปชั่นในประเทศยูกันดาว่า ประเทศอนุมัติงบประมาณเพื่อสร้างถนนไปสนามบินแบบ 8 เลน แต่นักการเมืองโกงกินจนเหลือครึ่งเดียว ตอนนี้มีนโยบายจะสร้างทางด่วนตรงไปสนามบิน ก็ไม่แน่ใจว่า หลังโกงกินแล้ว จะเหลืออะไรให้ประชาชนบ้าง และบ่นความชั่วร้ายโกงกินบ้านเมืองของนักการเมืองยูกันดา ที่รวมหัวกับกลุ่มธุรกิจโกงชาติ ฟังแล้วเหมือนฟังเรื่องการเมืองไทยไม่ผิดเพี้ยน ประเทศด้อยพัฒนาเจอคนด้อยพัฒนาเลยไม่มีวันพัฒนา ก็เป็นเรื่องราวนํ้าเน่าน่าเบื่อของประเทศด้อยคุณธรรม
ระหว่างทาง ร้านค้าดูทันสมัยขึ้น คือจากเพิง เริ่มมีห้องแถว มีคนเข็นรถขายอ้อย ขายอาหารบนถนน ขายไก่เป็นตัวๆ เชือดกันบนฟุตบาท ร้านค้าปลีกยังมีแต่โชว์ห่วย
ประมาณบ่ายสาม ก็เดินทางมาถึงเมือง Entebbe ติดกับทะเลสาบวิคตอเรีย ทะเลสาบนํ้าจืดที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของแอฟริกา และเป็นอันดับสองในโลกรองจากทะเลสาบ Superior ในสหรัฐอเมริกา และเป็นต้นนํ้าของแม่นํ้าไนล์ที่ยาวที่สุดในโลก ไหลขึ้นเหนือไปถึงอียิปต์ก่อนลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นํ้าในทะเลสาบไม่ใสและมีคลื่นสูงคล้ายทะเล ลมแรงมาก บางจุดมีหาดสาธารณะ (มีขยะเยอะ) บางจุดเป็นหาดที่จัดไว้ให้เล่นนํ้าและมีที่อาบนํ้าได้ ทรายละเอียดพอควรแต่สีนํ้าตาลเข้ม มีนกตัวใหญ่อยู่มาก
เครื่องบินออกจากสนามบิน Entebbe ในยูกันดาตอนเย็นเวลา 6 โมงครึ่ง ภาพดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินเหนือทะเลสาบวิคตอเรียเป็นภาพอำลาที่จับใจ
เครื่องบินถึงกรุงไนโรบีเวลา 19.30 นาฬิกา และต่อถึงเมืองไทยตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น แม้ตัวถึงไทยแต่ทิ้งใจไว้ที่แอฟริกา คิดถึงป่าดงดิบเขียวเย็นสดชื่น ฝูงครอบครัวกอริลล่าและสัตว์ป่ายิ่งนัก คิดมุ่งมั่นว่าวันนึงจะหาโอกาสกลับไปหาพวกเค้าอีก.
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวภูเขา
เที่ยวต่างประเทศ
เดินป่า
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
Torm Adventure: จากป่าดงดิบภูเขาไฟกอริลล่าและสัตว์ป่า สู่เมือง ลาก่อนรวันดายูกันดา ตอนสุดท้าย พร้อมข้อมูลเดินทางและอื่นๆ
ที่ลืมไม่ลงเลยคือ ทะเลสาบที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในแอฟริกา ได้แก่ทะเลสาบ Mutanda ที่มีภูเขาไฟถึง 6 ลูกเป็นฉากหลัง
และจบแบบน่ารักด้วยการแกะรอยตามหาลิงชิมแปนซีตัวแสบ ในอุทยานป่าดิบชื้น Kibale Forest ซึ่งอยู่ในบริเวณ Bunyaruguru Crater Lake Region แหล่งรวมของทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟอีกกว่าสิบทะเลสาบ รวมเวลาในรวันดาและยูกันดาครั้งนี้ เพียง 10 วัน แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความทรงจำที่ประมาณค่าไม่ได้
เช้าวันสุดท้ายมาถึงอย่างรวดเร็วจนยากจะทำใจไม่ให้เศร้าได้ เราตื่นเช้ามา อากาศสดใส แสงแดดอ่อนๆ ลมเย็น ใบไม้ใบหญ้ามีนํ้าค้างเกาะบนยอด แกว่งไปมาสีสันสดใสดูร่าเริง บรรยากาศตอนเช้าๆ มักสดชื่นสวยงาม ในทะเลสาบมีเรือไม้ของชาวประมงที่ออกจับปลาหากินแต่เช้าตรู่ อาหารเช้าวันนี้สั่งได้ตามต้องการ ได้กินผักเขียวพื้นเมืองสดจากสวน มะเขือเทศหวานฉํ่า และอโวคาโดสุกกำลังดี พร้อมนํ้าผลไม้คั้นสดที่รวมทั้งแอปเปิ้ล มะม่วง มะนาว และผักต่างๆ ตามด้วยเครป ไข่และเบคอน และขนมปังปิ้งร้อนๆ บรรยากาศทั้งสวยอาหารทั้งสุดอร่อย อากาศเย็นสบายเกินบรรยาย รํ่าลาน้องหมาสองตัวที่นอนสลบไสล แล้วกลับเข้าห้องเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทางตอน 9 โมง ก่อนล้อหมุนขอมองทะเลสาบทั้งสองด้านให้เต็มตา บ๊ายบายป่ายูกันดา ไอเลิฟยู
รถแล่นผ่านสันเขาลงมาเรื่อยๆ ผ่านไร่ชาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ยามเช้าอากาศหนาวเย็น ชาวพื้นเมืองห่อตัวให้อบอุ่นด้วยผ้าสีสวยสด ทำมาหากินไม่ห่างจากถนน
กลับออกมาที่ถนนใหญ่ใกล้เมือง Fort Portal แล้วแยกออกขวาไปทางทิศตะวันออก มุ่งตรงสู่กรุงคัมปาลา เมืองหลวงของยูกันดา ถนนลาดยางอย่างดี จึงใช้เวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง ก็สามารถเดินทางเกือบ 300 กิโลเมตรไปถึงชานเมืองคัมปาลาได้
จากชานเมืองคัมปาลา เราผ่านพระราชวัง (ไม่เปิดให้เข้าชมเพราะยังเป็นที่ใช้งานของกษัตริย์ยูกันดา) มองเห็นตึกรัฐสภา มัสยิดใหญ่ของเมือง และตึกสูงกลางใจเมือง แต่คัมปาลาขึ้นชื่อมากว่ารถติดชนิดนรกหลายขุม สามารถติดแค่จะเข้าหรือออกเมืองเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงอย่างสบาย เนื่องจากประชากรคนชั้นกลางมีมากขึ้นและรวมตัวในเมืองหลวง ต่างซื้อรถเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง ถนนเดิมที่สร้างไว้ไม่สามารถรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรถึง 12 ล้านคนได้ (ประชากรยูกันดาทั้งประเทศมีประมาณ 35 ล้านคนเท่านั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรไทย แต่มีประชากรอัดอยู่ในเมืองหลวงเท่าๆ กับกรุงเทพฯ เลย) ดังนั้นทุกคนจึงแนะนำว่า เราไม่ควรเข้าไปในเมือง แต่ควรตัดออกเส้นที่จะตรงไปเมือง Entebbe ริมทะเลสาบวิคตอเรียในตอนล่าง เพื่อไปสนามบินเลย
และรถก็ติดจริงๆ ขนาดไม่ได้เข้าไปในเมือง และแม้จะเป็นวันอาทิตย์ เนื่องจากถนนมีแค่ 4 เลนไปกลับ Faroug บ่นถึงการคอรัปชั่นในประเทศยูกันดาว่า ประเทศอนุมัติงบประมาณเพื่อสร้างถนนไปสนามบินแบบ 8 เลน แต่นักการเมืองโกงกินจนเหลือครึ่งเดียว ตอนนี้มีนโยบายจะสร้างทางด่วนตรงไปสนามบิน ก็ไม่แน่ใจว่า หลังโกงกินแล้ว จะเหลืออะไรให้ประชาชนบ้าง และบ่นความชั่วร้ายโกงกินบ้านเมืองของนักการเมืองยูกันดา ที่รวมหัวกับกลุ่มธุรกิจโกงชาติ ฟังแล้วเหมือนฟังเรื่องการเมืองไทยไม่ผิดเพี้ยน ประเทศด้อยพัฒนาเจอคนด้อยพัฒนาเลยไม่มีวันพัฒนา ก็เป็นเรื่องราวนํ้าเน่าน่าเบื่อของประเทศด้อยคุณธรรม
ระหว่างทาง ร้านค้าดูทันสมัยขึ้น คือจากเพิง เริ่มมีห้องแถว มีคนเข็นรถขายอ้อย ขายอาหารบนถนน ขายไก่เป็นตัวๆ เชือดกันบนฟุตบาท ร้านค้าปลีกยังมีแต่โชว์ห่วย
ประมาณบ่ายสาม ก็เดินทางมาถึงเมือง Entebbe ติดกับทะเลสาบวิคตอเรีย ทะเลสาบนํ้าจืดที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของแอฟริกา และเป็นอันดับสองในโลกรองจากทะเลสาบ Superior ในสหรัฐอเมริกา และเป็นต้นนํ้าของแม่นํ้าไนล์ที่ยาวที่สุดในโลก ไหลขึ้นเหนือไปถึงอียิปต์ก่อนลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นํ้าในทะเลสาบไม่ใสและมีคลื่นสูงคล้ายทะเล ลมแรงมาก บางจุดมีหาดสาธารณะ (มีขยะเยอะ) บางจุดเป็นหาดที่จัดไว้ให้เล่นนํ้าและมีที่อาบนํ้าได้ ทรายละเอียดพอควรแต่สีนํ้าตาลเข้ม มีนกตัวใหญ่อยู่มาก
เครื่องบินออกจากสนามบิน Entebbe ในยูกันดาตอนเย็นเวลา 6 โมงครึ่ง ภาพดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินเหนือทะเลสาบวิคตอเรียเป็นภาพอำลาที่จับใจ
เครื่องบินถึงกรุงไนโรบีเวลา 19.30 นาฬิกา และต่อถึงเมืองไทยตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น แม้ตัวถึงไทยแต่ทิ้งใจไว้ที่แอฟริกา คิดถึงป่าดงดิบเขียวเย็นสดชื่น ฝูงครอบครัวกอริลล่าและสัตว์ป่ายิ่งนัก คิดมุ่งมั่นว่าวันนึงจะหาโอกาสกลับไปหาพวกเค้าอีก.