20 ตุลาคม 2558
พอดีว่าผมได้มีโอกาสไปร่วมงานมอบรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ประจำปี 2558 และการเปิดตัวหนังสือ “เงื่อน ทะเล และผ้าเปื้อนเลือด” ที่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2558 โดยในงานเริ่มต้นจากการมอบรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ให้แก่ผู้ที่ส่งเรื่องสั้นขนาดสั้น (เรื่องสั้น 3 หน้า) เข้าประกวด มีผู้ผ่านเข้ารอบได้รางวัลทั้งหมดจำนวน 25 ท่าน โดยรางวัลชนะเลิศ ได้แก่เรื่อง “เงื่อน” โดยคุณจรัญ ยั่งยืน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่เรื่อง “ทะเล” โดยคุณอนันต์ เกษตรสินสมบัติ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่เรื่อง “ผ้าเปื้อนเลือด” โดยฉมังฉาย

หลังจากที่ได้เปิดตัวหนังสือและพูดคุยกับ 3 นักเขียนที่ได้รางวัลชนะเลิศไปแล้ว ก็มีการต่อยอดองค์ความรู้จากการจัดประกวดการเขียนเรื่องสั้น โดยเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรื่องสั้นขนาดสั้น-พลังและรสชาติกระแทกใจ” ดำเนินการอบรมโดย อ.นรีภพ (สวัสดิรักษ์) จิระโพธิรัตน์ , อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง และ อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย โดยเป็นการพูดถึงเรื่องสั้นขนาดสั้นทั้งหมด 25 เรื่องที่ส่งเข้าประกวดรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ประจำปี ในประเด็นที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจทางด้านการเขียนดังนี้
( โดยรายละเอียดของการอบรมครั้งนี้ผมอาจจะเขียนสรุปถ่ายทอดมาไม่ตรงกับทุกคำพูดของท่านวิทยากร แต่ผมก็หวังว่าจะตรงตามประเดนที่นำเสนอทั้งหมด ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )
อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง บอกว่า ในการประกวดรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ครั้งนี้เป็นการประกวดเรื่องสั้นขนาดสั้น ซึ่งอยากลองจัดประกวดดูสักครั้ง ที่ผ่านมาตอนครบรอบ 110 ปี ชาตกาล อ.ปรีดี พนมยงค์ นั้นเคยจัดประกวดเรื่องสั้นขนาดยาว 50 หน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ถือว่าทำได้สำเร็จเป็นอย่างดี เพราะมีนักเขียนเขียนเรื่องได้ดีด้วยจึงถือว่าเป็นความสำเร็จ แต่ว่าไม่ได้ความนิยมจากนักอ่านเท่าไหร่นัก (หนังสือขายไม่ดี) ในปีนี้จึงลองประกวดเรื่องสั้นขนาดสั้นที่ยาว 3 หน้าที่ไม่เคยมีการประกวดมาก่อน
-เมื่อ อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง อ่านเรื่องสั้นทั้งหมดของผู้ส่งเข้าประกวดแล้วก็มีความพอใจ เรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดในครั้งนี้มีจำนวน 210 เรื่อง (คัดเอาเข้ารอบ 25 เรื่อง) ผู้จัดการประกวดจึงรู้สึกมีความสุขที่สามารถทำได้สำเร็จอีกครั้ง
-ในการจัดประกวดครั้งนี้มีทาง ส.ส.ส. เป็นผู้ให้การสนับสนุน และทางนานมีบุ๊คส์ เป็นผู้จัดพิมพ์เผยแพร่ ครั้งนี้เป็นการประกวดวรรณกรรมเพื่อสุขภาวะ ทาง ส.ส.ส. ต้องการให้ทำเรื่องคนด้อยโอกาสที่เป็นปัญหาของสังคม จึงกลายเป็นเงื่อนไขในการประกวดด้วย เรื่องสั้นที่ส่งเข้ามาประกวดในครั้งนี้เลยมีเรื่องของคนด้วยโอกาสเยอะมาก
-อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง ยกตัวอย่างเรื่อง “หม้อไฟ” (ของคุณคล้อยปรีชา วิภาเวียน) ที่เป็นเรื่องของคนขับรถตู้ที่รอคอยผู้โดยสารในยามเที่ยงคืน จนกระทั่งในตอนท้ายมีผู้โดยสารมาขึ้นจนเต็มรถ คนขับรถตู้ดีใจถึงกับตะโกนว่า “วันนี้ได้กินหม้อไฟแล้ว” ถึงว่าเป็นอีกเรื่องที่กระแทกใจคนอ่านได้
อ.นรีภพ (สวัสดิรักษ์) จิระโพธิรัตน์ บอกว่า อ่านเรื่องสั้นทั้ง 25 เรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ากระแทกใจแทบทุกเรื่อง เช่นเรื่อง “ผ้าเปื้อนเลือด” (ของคุณฉมังฉาย) ที่เป็นเรื่องแม่เอาลูกสาวไปเร่ขายตัวให้แก่ฝรั่งโดยไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายอะไรลูก แต่ตอนสุดท้ายตัวแม่มองไปเห็นคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนที่นอน จึงเป็นการจบแบบที่ให้อารมณ์รัดทนที่สุด
-เรื่อง “ความสุขมือสอง” (ของคุณอเนชยา) เป็นเรื่องปัญหาความยากจนของครอบครัว เด็กยากจนไปทำงานล้างจานอยู่ที่ร้านอาหาร วันหนึ่งมีคนมากินอาหารแล้วทิ้งตุ๊กตาเก่า ๆ ไว้ เด็กคนนี้ดีใจมากจึงเอาตุ๊กตาไปให้น้องสาว ในจุดนี้เป็นประเด็นเล็ก ๆ แต่ผู้เขียนนำมาเขียนให้กระแทกอารมณ์คนอ่านได้
-เรื่อง “ต่าง” (ของคุณเปีย วรรณา) เป็นเรื่องที่พูดถึงรถยนต์ในแง่ของการเป็นวัตถุนิยม ใครที่ขับรถเบนซ์มาจะได้สิทธิพิเศษกว่าคนอื่น เช่นรถเก่า ๆ จอดตรงนี้ไม่ได้แต่รถเบนซ์จอดได้ เป็นการแสดงถึงประเด็นคนที่ด้อยโอกาสในสังคม เรื่องนี้อ่านแล้วกระแทกใจเพราะนำมาเปรียบเทียบในสังคมปัจจุบันได้
อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย บอกว่า อ่านทุกเรื่องที่ส่งเข้าประกวดแล้วจะเห็นว่ามีปัญหาต่าง ๆ คล้ายกันเยอะ เช่นเรื่องประเด็นปัญหาด้านการศึกษา ก็จะเป็นเรื่องนักเรียน เรื่องครู เรื่องไม่มีหนังสือ ฯลฯ , ประเด็นเรื่องความรุนแรงทางเพศ เช่นเรื่องการขายตัว พ่อแม่ทะเลาะกัน , ประเด็นปัญหาเรื่องคนในรูปแบบต่าง ๆ เช่นคนจน , คนบ้า , คนพิการ ฯลฯ
-ประเด็นเรื่องของชาวนา เช่นเรื่อง “เงื่อน” (ของคุณจรัญ ยั่งยืน) , แต่ในบางเรื่องบางประเด็นบางเรื่องได้คลี่คลายไป เช่นการขายบริการทางเพศที่รูปแบบเปลี่ยนไป
-จากการอ่านเรื่องที่ส่งประกวดทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า เรื่องต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาทางสังคมยังได้เกิดวนเวียนอยู่ในสังคมไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลง และแสดงให้เห็นว่าคนในสังคมยังมองเห็นประเด็นปัญหาที่คล้าย ๆ กัน ในเรื่องที่ส่งประกวดบางเรื่องก็มีการเสนอทางออกอะไรบางอย่างให้แล้ว เช่นเรื่องของความเข้าใจ ในเรื่อง “ผู้ให้บริการ” (ของคุณจารี จันทราภา) เป็นการมองปัญหาด้วยหลากหลายมุมมอง
-จากการอ่านเรื่องที่ส่งเข้าประกวดนี้ทำให้เห็นว่ารูปแบบของการเขียนเรื่องสั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากแล้ว เรื่องสั้นที่ส่งประกวดนี้แตกต่างจากเรื่องสั้นในยุค 14 ตุลา ที่มักจะเป็นเรื่องของการเรียกร้องเสรีภาพที่มีผู้ร้ายอยู่ในเรื่องอย่างชัดเจน แต่เรื่องสั้นในปัจจุบันผู้ร้ายในเรื่องกลายเป็นปัญหาสังคมแทน
-ถ้าพูดถึงเรื่องทั้งหมดที่ส่งเข้าประกวดจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมืด (เรื่องเศร้าหมอง) เกือบทั้งหมด แทบจะไม่มีเรื่องที่สว่างเลย (เรื่องที่มีความสุขจริง ๆ )
-ในหลายเรื่องที่ส่งเข้าประกวดก็มีสัญลักษณ์ในเรื่องเยอะ ยกตัวอย่างเช่น “เงื่อน” นี้ก็เป็นสัญลักษณ์เช่นกัน แต่หลายเรื่องอ่านแล้วเข้าใจและเข้าถึงได้ไม่ยากจนเกินไปนัก ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความกระทบใจ กระแทกใจ
อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง ช่วยเสริมต่อให้ว่า เรื่อง “ความหวังสีเทา” (ของคุณชาคริต แก้วทันคำ) ก็เป็นเรื่องสัญลักษณ์เช่นกัน ในเรื่องของบางท่านก็มีการใช้สัญลักษณ์ในเชิงเรียลลิตี้ (เรื่องจริง) เช่นเรื่อง “เงื่อน”
-อ.ชมัยภร ให้คำแนะนำต่อว่า เมื่อคุณเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นนั้น วิธีการเขียนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเรื่องต้องสั้นและกระชับ อีกทั้งบางคนภาษาไม่ดีก็จะตกม้าตายได้ เวลาที่เขียนต้องดูรายละเอียดด้วย (เป็นเรื่องของภาษา) เช่นตอนแรกขึ้นต้นว่าขาไม่ดี แต่ตอนหลังเขียนว่าเขาเดินอย่างคล่อง เวลาเขียนต้องดูด้วยว่าเขียนไปแล้วเรื่องมันสมจริงไหม?
-เรื่อง “หนังสือเล่มนั้นที่มันบินได้” (ของคุณจารุพัฒน์ เพชราเวช) เป็นเรื่องประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา เป็นเรื่องความด้อยโอกาสทางการอ่าน เนื้อเรื่องประมาณว่าเด็กชายอ่านหนังสือเล่มหนึ่งค้างอยู่ แล้วอยากจะไปยืมอ่านต่อแต่หนังสือมันหายไปแล้ว ในตอนท้ายมาเจอบางหน้าของหนังสือกลายเป็นจรวดกระดาษที่มีคนเอามาร่อนเล่น
อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย กล่าวต่อว่า ในการตัดสินรางวัลการประกวดการเขียนนี้จะแตกต่างจากการเป็นบรรณาธิการ คือไม่ได้ดูที่รายละเอียดแบบตรง ๆ แต่จะดูในภาพรวมมากกว่า
อ.ชมัยพร แสงกระจ่าง บอกว่า เรื่อง “โลกที่โหดร้ายของชายพิการ” (ของคุณกฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ) เป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก เป็นเรื่องของเด็กพิการที่โชคร้ายตลอด
อ.นรีภพ (สวัสดิรักษ์) จิระโพธิรัตน์ บอกว่า เรื่อง “ผู้ชายใต้สะพาน” (ของคุณก.ไกรศิรกานท์) เป็นเรื่องที่โหดร้ายเช่นกัน เป็นเรื่องของชายผู้มีหน้าตาดีแบบว่าหล่อเลย แต่ว่าเป็นคนปัญญาอ่อน เขาโดนสังคมนี้ทำร้าย ในเรื่องเขาโดนข่มขืนแต่โดนปรักปรำว่าเป็นคนผิด
-ส่วนเรื่องที่โหดสุด ๆ น่าจะเป็นเรื่อง “มือที่ถือคัมภีร์” (ของคุณศิริ มะลิแย้ม) เป็นเรื่องที่ถึงเลือดถึงเนื้อทำให้เรื่องน่ากลัว เรื่องนี้ก็เป็นสัญลักษณ์เช่นกัน มีการกรีดเลือดตัวเองในเชิงสัญลักษณ์ด้วย
อ.จรูญพร กล่าวเล่น ๆ ว่า “ห้ามอ่านเกินวันละ 2 เรื่อง” สาเหตุที่ต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า เรื่องโดยรวมทั้งหมดถือว่าหดหู่เกินไป อ่านแล้วอาจจะเศร้ามากเกิน แต่โดยรวมต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการที่มีความคิดสร้างสรรค์ การประกวดในครั้งนี้จึงถือว่าประสบความสำเร็จ
-นักเขียนหลายคนเขียนได้ดี เพราะว่าเรื่องสั้นขนาดสั้นนี้เหมาะกับสังคมในยุคนี้ที่เป็นสังคมยุคโซเซียลเน็ตเวิร์ค สังคมมันเปลี่ยนไปเพราะคนชอบอ่านอะไรที่สั้น ๆ มากกว่า
อ.นรีภพ บอกว่า ชอบอ่านเรื่องสั้นขนาดสั้น เพราะว่าอ่านแล้วมันเอาอยู่ เรื่องมันมีประเด็นที่ชัดเจนมาก
อ.จรูญพร บอกว่า การเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เพราะมันมีเรื่องราวเยอะแต่ต้องถูกบีบอัดลงไปให้สั้น ดังนั้นข้อแนะนำในการเขียนคือควรเลือกเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะสมสำหรับการเขียนให้สั้น และเวลาที่เขียนผู้เขียนต้องคุมประเด็นให้ได้
-นอกจากนั้นคำแนะนำสำหรับการที่จะเขียนเป็นเรื่องสั้นขนาดสั้นหรือเรื่องสั้นทั่วไปก็คือ เลือกตัวเรื่องขึ้นมาดูก่อนว่าเหมาะสมจะเป็นแบบไหน แล้วค่อยเลือกภาชนะมาใส่เรื่องลงไป (ภาชนะก็คือรูปแบบการเขียน เช่นเรื่องสั้น , นวนิยาย , สารคดี ฯลฯ)
-มีข้อสังเกตบางประการว่า นักเขียนบางท่านเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นได้ดีกว่าเรื่องยาว
อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง กล่าวเสริมต่อว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัวเสมอไป ขอให้คำนึงถึงว่ามันมีความสมบูรณ์ในตัวของมันหรือไม่?
-เรื่อง “มือน้อยและเสรีภาพ” (ของคุณดวงจันทร์สีหยก) เป็นเรื่องที่เด็กได้ลูกนกมาจากหลวงตา ปรากฏว่าพอลูกนกโตขึ้นก็กลายเป็นนกแสกที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นนกแห่งความตาย ในเรื่องยายของเด็กกำลังจะตาย แม่ของเด็กเลยบอกให้เอานกไปปล่อย แต่นกมันไม่ไปไหนเด็กจึงต้องหักคอนกให้ตาย เรื่องนี้อ่านแล้วสะเทือนใจเช่นกัน
-นอกจากนั้น อ.ชมัยภร ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักเขียนว่า ถ้าเขียนยาวให้ใส่รายละเอียด แต่ถ้าเขียนสั้นให้ครอบคลุมประเด็นให้ได้ โดยต้องเขียนให้มีความสะเทือนใจแก่ผู้อ่าน มีความขัดแย้งทางอารมณ์ของตัวละครในเรื่อง
-ส่วนในเรื่องภาษานั้นตัวเราเขียนเสร็จแล้วต้องใส่ผู้อื่นช่วยเกา (ตรวจทานภาษา) ให้อีกทีหนึ่ง เพราะเราเขียนเองเราจะไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง
-การเขียนเรื่องนั้นต้องเขียนแล้วให้ผู้อ่านรู้สึกเอาเอง ต้องเขียนด้วยภาษาที่งดงามมากด้วย
-เรื่อง “ดินน้ำมันของหัวโต” (ของคุณธนัญกรณ์) เป็นเรื่องของเด็กพิการหัวโต ในเรื่องมีการสะท้อนถึงปัญหาของสังคมไทยในประเด็นของการเลิกจ้างเนื่องจากการคอรัปชั่น
-เรื่อง “แผ่นดินใคร” (ของคุณสุริยา ชานุบาล) ก็เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วสะเทือนใจมาก
ท้ายสุดนี้ท่านวิทยากรทั้งสามท่านก็ไม่แน่ใจว่าได้กล่าวถึงเรื่องที่เข้ารอบครบทั้ง 25 เรื่องหรือไม่ ส่วนเรื่องใดที่ท่านวิทยากรไม่ได้ถึงนั้น ท่านสามารถไปหาอ่านเอาเองได้จากหนังสือ “เงื่อน ทะเล และผ้าเปื้อนเลือด” ที่เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้ง 25 เรื่องนี้
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านที่สนใจเข้ามาอ่านในกระทู้นี้จะได้รับประโยชน์กลับไปบ้าง ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือ และขอให้มีความฮึกเหิมที่อยากจะเขียนหนังสือตลอดไปนะครับ


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรื่องสั้นขนาดสั้น-พลังและรสชาติกระแทกใจ”
พอดีว่าผมได้มีโอกาสไปร่วมงานมอบรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ประจำปี 2558 และการเปิดตัวหนังสือ “เงื่อน ทะเล และผ้าเปื้อนเลือด” ที่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2558 โดยในงานเริ่มต้นจากการมอบรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ให้แก่ผู้ที่ส่งเรื่องสั้นขนาดสั้น (เรื่องสั้น 3 หน้า) เข้าประกวด มีผู้ผ่านเข้ารอบได้รางวัลทั้งหมดจำนวน 25 ท่าน โดยรางวัลชนะเลิศ ได้แก่เรื่อง “เงื่อน” โดยคุณจรัญ ยั่งยืน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่เรื่อง “ทะเล” โดยคุณอนันต์ เกษตรสินสมบัติ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่เรื่อง “ผ้าเปื้อนเลือด” โดยฉมังฉาย
หลังจากที่ได้เปิดตัวหนังสือและพูดคุยกับ 3 นักเขียนที่ได้รางวัลชนะเลิศไปแล้ว ก็มีการต่อยอดองค์ความรู้จากการจัดประกวดการเขียนเรื่องสั้น โดยเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรื่องสั้นขนาดสั้น-พลังและรสชาติกระแทกใจ” ดำเนินการอบรมโดย อ.นรีภพ (สวัสดิรักษ์) จิระโพธิรัตน์ , อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง และ อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย โดยเป็นการพูดถึงเรื่องสั้นขนาดสั้นทั้งหมด 25 เรื่องที่ส่งเข้าประกวดรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ประจำปี ในประเด็นที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจทางด้านการเขียนดังนี้
( โดยรายละเอียดของการอบรมครั้งนี้ผมอาจจะเขียนสรุปถ่ายทอดมาไม่ตรงกับทุกคำพูดของท่านวิทยากร แต่ผมก็หวังว่าจะตรงตามประเดนที่นำเสนอทั้งหมด ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ )
อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง บอกว่า ในการประกวดรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ครั้งนี้เป็นการประกวดเรื่องสั้นขนาดสั้น ซึ่งอยากลองจัดประกวดดูสักครั้ง ที่ผ่านมาตอนครบรอบ 110 ปี ชาตกาล อ.ปรีดี พนมยงค์ นั้นเคยจัดประกวดเรื่องสั้นขนาดยาว 50 หน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ถือว่าทำได้สำเร็จเป็นอย่างดี เพราะมีนักเขียนเขียนเรื่องได้ดีด้วยจึงถือว่าเป็นความสำเร็จ แต่ว่าไม่ได้ความนิยมจากนักอ่านเท่าไหร่นัก (หนังสือขายไม่ดี) ในปีนี้จึงลองประกวดเรื่องสั้นขนาดสั้นที่ยาว 3 หน้าที่ไม่เคยมีการประกวดมาก่อน
-เมื่อ อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง อ่านเรื่องสั้นทั้งหมดของผู้ส่งเข้าประกวดแล้วก็มีความพอใจ เรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดในครั้งนี้มีจำนวน 210 เรื่อง (คัดเอาเข้ารอบ 25 เรื่อง) ผู้จัดการประกวดจึงรู้สึกมีความสุขที่สามารถทำได้สำเร็จอีกครั้ง
-ในการจัดประกวดครั้งนี้มีทาง ส.ส.ส. เป็นผู้ให้การสนับสนุน และทางนานมีบุ๊คส์ เป็นผู้จัดพิมพ์เผยแพร่ ครั้งนี้เป็นการประกวดวรรณกรรมเพื่อสุขภาวะ ทาง ส.ส.ส. ต้องการให้ทำเรื่องคนด้อยโอกาสที่เป็นปัญหาของสังคม จึงกลายเป็นเงื่อนไขในการประกวดด้วย เรื่องสั้นที่ส่งเข้ามาประกวดในครั้งนี้เลยมีเรื่องของคนด้วยโอกาสเยอะมาก
-อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง ยกตัวอย่างเรื่อง “หม้อไฟ” (ของคุณคล้อยปรีชา วิภาเวียน) ที่เป็นเรื่องของคนขับรถตู้ที่รอคอยผู้โดยสารในยามเที่ยงคืน จนกระทั่งในตอนท้ายมีผู้โดยสารมาขึ้นจนเต็มรถ คนขับรถตู้ดีใจถึงกับตะโกนว่า “วันนี้ได้กินหม้อไฟแล้ว” ถึงว่าเป็นอีกเรื่องที่กระแทกใจคนอ่านได้
อ.นรีภพ (สวัสดิรักษ์) จิระโพธิรัตน์ บอกว่า อ่านเรื่องสั้นทั้ง 25 เรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ากระแทกใจแทบทุกเรื่อง เช่นเรื่อง “ผ้าเปื้อนเลือด” (ของคุณฉมังฉาย) ที่เป็นเรื่องแม่เอาลูกสาวไปเร่ขายตัวให้แก่ฝรั่งโดยไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายอะไรลูก แต่ตอนสุดท้ายตัวแม่มองไปเห็นคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนที่นอน จึงเป็นการจบแบบที่ให้อารมณ์รัดทนที่สุด
-เรื่อง “ความสุขมือสอง” (ของคุณอเนชยา) เป็นเรื่องปัญหาความยากจนของครอบครัว เด็กยากจนไปทำงานล้างจานอยู่ที่ร้านอาหาร วันหนึ่งมีคนมากินอาหารแล้วทิ้งตุ๊กตาเก่า ๆ ไว้ เด็กคนนี้ดีใจมากจึงเอาตุ๊กตาไปให้น้องสาว ในจุดนี้เป็นประเด็นเล็ก ๆ แต่ผู้เขียนนำมาเขียนให้กระแทกอารมณ์คนอ่านได้
-เรื่อง “ต่าง” (ของคุณเปีย วรรณา) เป็นเรื่องที่พูดถึงรถยนต์ในแง่ของการเป็นวัตถุนิยม ใครที่ขับรถเบนซ์มาจะได้สิทธิพิเศษกว่าคนอื่น เช่นรถเก่า ๆ จอดตรงนี้ไม่ได้แต่รถเบนซ์จอดได้ เป็นการแสดงถึงประเด็นคนที่ด้อยโอกาสในสังคม เรื่องนี้อ่านแล้วกระแทกใจเพราะนำมาเปรียบเทียบในสังคมปัจจุบันได้
อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย บอกว่า อ่านทุกเรื่องที่ส่งเข้าประกวดแล้วจะเห็นว่ามีปัญหาต่าง ๆ คล้ายกันเยอะ เช่นเรื่องประเด็นปัญหาด้านการศึกษา ก็จะเป็นเรื่องนักเรียน เรื่องครู เรื่องไม่มีหนังสือ ฯลฯ , ประเด็นเรื่องความรุนแรงทางเพศ เช่นเรื่องการขายตัว พ่อแม่ทะเลาะกัน , ประเด็นปัญหาเรื่องคนในรูปแบบต่าง ๆ เช่นคนจน , คนบ้า , คนพิการ ฯลฯ
-ประเด็นเรื่องของชาวนา เช่นเรื่อง “เงื่อน” (ของคุณจรัญ ยั่งยืน) , แต่ในบางเรื่องบางประเด็นบางเรื่องได้คลี่คลายไป เช่นการขายบริการทางเพศที่รูปแบบเปลี่ยนไป
-จากการอ่านเรื่องที่ส่งประกวดทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า เรื่องต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาทางสังคมยังได้เกิดวนเวียนอยู่ในสังคมไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลง และแสดงให้เห็นว่าคนในสังคมยังมองเห็นประเด็นปัญหาที่คล้าย ๆ กัน ในเรื่องที่ส่งประกวดบางเรื่องก็มีการเสนอทางออกอะไรบางอย่างให้แล้ว เช่นเรื่องของความเข้าใจ ในเรื่อง “ผู้ให้บริการ” (ของคุณจารี จันทราภา) เป็นการมองปัญหาด้วยหลากหลายมุมมอง
-จากการอ่านเรื่องที่ส่งเข้าประกวดนี้ทำให้เห็นว่ารูปแบบของการเขียนเรื่องสั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากแล้ว เรื่องสั้นที่ส่งประกวดนี้แตกต่างจากเรื่องสั้นในยุค 14 ตุลา ที่มักจะเป็นเรื่องของการเรียกร้องเสรีภาพที่มีผู้ร้ายอยู่ในเรื่องอย่างชัดเจน แต่เรื่องสั้นในปัจจุบันผู้ร้ายในเรื่องกลายเป็นปัญหาสังคมแทน
-ถ้าพูดถึงเรื่องทั้งหมดที่ส่งเข้าประกวดจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมืด (เรื่องเศร้าหมอง) เกือบทั้งหมด แทบจะไม่มีเรื่องที่สว่างเลย (เรื่องที่มีความสุขจริง ๆ )
-ในหลายเรื่องที่ส่งเข้าประกวดก็มีสัญลักษณ์ในเรื่องเยอะ ยกตัวอย่างเช่น “เงื่อน” นี้ก็เป็นสัญลักษณ์เช่นกัน แต่หลายเรื่องอ่านแล้วเข้าใจและเข้าถึงได้ไม่ยากจนเกินไปนัก ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความกระทบใจ กระแทกใจ
อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง ช่วยเสริมต่อให้ว่า เรื่อง “ความหวังสีเทา” (ของคุณชาคริต แก้วทันคำ) ก็เป็นเรื่องสัญลักษณ์เช่นกัน ในเรื่องของบางท่านก็มีการใช้สัญลักษณ์ในเชิงเรียลลิตี้ (เรื่องจริง) เช่นเรื่อง “เงื่อน”
-อ.ชมัยภร ให้คำแนะนำต่อว่า เมื่อคุณเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นนั้น วิธีการเขียนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเรื่องต้องสั้นและกระชับ อีกทั้งบางคนภาษาไม่ดีก็จะตกม้าตายได้ เวลาที่เขียนต้องดูรายละเอียดด้วย (เป็นเรื่องของภาษา) เช่นตอนแรกขึ้นต้นว่าขาไม่ดี แต่ตอนหลังเขียนว่าเขาเดินอย่างคล่อง เวลาเขียนต้องดูด้วยว่าเขียนไปแล้วเรื่องมันสมจริงไหม?
-เรื่อง “หนังสือเล่มนั้นที่มันบินได้” (ของคุณจารุพัฒน์ เพชราเวช) เป็นเรื่องประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา เป็นเรื่องความด้อยโอกาสทางการอ่าน เนื้อเรื่องประมาณว่าเด็กชายอ่านหนังสือเล่มหนึ่งค้างอยู่ แล้วอยากจะไปยืมอ่านต่อแต่หนังสือมันหายไปแล้ว ในตอนท้ายมาเจอบางหน้าของหนังสือกลายเป็นจรวดกระดาษที่มีคนเอามาร่อนเล่น
อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย กล่าวต่อว่า ในการตัดสินรางวัลการประกวดการเขียนนี้จะแตกต่างจากการเป็นบรรณาธิการ คือไม่ได้ดูที่รายละเอียดแบบตรง ๆ แต่จะดูในภาพรวมมากกว่า
อ.ชมัยพร แสงกระจ่าง บอกว่า เรื่อง “โลกที่โหดร้ายของชายพิการ” (ของคุณกฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ) เป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก เป็นเรื่องของเด็กพิการที่โชคร้ายตลอด
อ.นรีภพ (สวัสดิรักษ์) จิระโพธิรัตน์ บอกว่า เรื่อง “ผู้ชายใต้สะพาน” (ของคุณก.ไกรศิรกานท์) เป็นเรื่องที่โหดร้ายเช่นกัน เป็นเรื่องของชายผู้มีหน้าตาดีแบบว่าหล่อเลย แต่ว่าเป็นคนปัญญาอ่อน เขาโดนสังคมนี้ทำร้าย ในเรื่องเขาโดนข่มขืนแต่โดนปรักปรำว่าเป็นคนผิด
-ส่วนเรื่องที่โหดสุด ๆ น่าจะเป็นเรื่อง “มือที่ถือคัมภีร์” (ของคุณศิริ มะลิแย้ม) เป็นเรื่องที่ถึงเลือดถึงเนื้อทำให้เรื่องน่ากลัว เรื่องนี้ก็เป็นสัญลักษณ์เช่นกัน มีการกรีดเลือดตัวเองในเชิงสัญลักษณ์ด้วย
อ.จรูญพร กล่าวเล่น ๆ ว่า “ห้ามอ่านเกินวันละ 2 เรื่อง” สาเหตุที่ต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า เรื่องโดยรวมทั้งหมดถือว่าหดหู่เกินไป อ่านแล้วอาจจะเศร้ามากเกิน แต่โดยรวมต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการที่มีความคิดสร้างสรรค์ การประกวดในครั้งนี้จึงถือว่าประสบความสำเร็จ
-นักเขียนหลายคนเขียนได้ดี เพราะว่าเรื่องสั้นขนาดสั้นนี้เหมาะกับสังคมในยุคนี้ที่เป็นสังคมยุคโซเซียลเน็ตเวิร์ค สังคมมันเปลี่ยนไปเพราะคนชอบอ่านอะไรที่สั้น ๆ มากกว่า
อ.นรีภพ บอกว่า ชอบอ่านเรื่องสั้นขนาดสั้น เพราะว่าอ่านแล้วมันเอาอยู่ เรื่องมันมีประเด็นที่ชัดเจนมาก
อ.จรูญพร บอกว่า การเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เพราะมันมีเรื่องราวเยอะแต่ต้องถูกบีบอัดลงไปให้สั้น ดังนั้นข้อแนะนำในการเขียนคือควรเลือกเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะสมสำหรับการเขียนให้สั้น และเวลาที่เขียนผู้เขียนต้องคุมประเด็นให้ได้
-นอกจากนั้นคำแนะนำสำหรับการที่จะเขียนเป็นเรื่องสั้นขนาดสั้นหรือเรื่องสั้นทั่วไปก็คือ เลือกตัวเรื่องขึ้นมาดูก่อนว่าเหมาะสมจะเป็นแบบไหน แล้วค่อยเลือกภาชนะมาใส่เรื่องลงไป (ภาชนะก็คือรูปแบบการเขียน เช่นเรื่องสั้น , นวนิยาย , สารคดี ฯลฯ)
-มีข้อสังเกตบางประการว่า นักเขียนบางท่านเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นได้ดีกว่าเรื่องยาว
อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง กล่าวเสริมต่อว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัวเสมอไป ขอให้คำนึงถึงว่ามันมีความสมบูรณ์ในตัวของมันหรือไม่?
-เรื่อง “มือน้อยและเสรีภาพ” (ของคุณดวงจันทร์สีหยก) เป็นเรื่องที่เด็กได้ลูกนกมาจากหลวงตา ปรากฏว่าพอลูกนกโตขึ้นก็กลายเป็นนกแสกที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นนกแห่งความตาย ในเรื่องยายของเด็กกำลังจะตาย แม่ของเด็กเลยบอกให้เอานกไปปล่อย แต่นกมันไม่ไปไหนเด็กจึงต้องหักคอนกให้ตาย เรื่องนี้อ่านแล้วสะเทือนใจเช่นกัน
-นอกจากนั้น อ.ชมัยภร ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักเขียนว่า ถ้าเขียนยาวให้ใส่รายละเอียด แต่ถ้าเขียนสั้นให้ครอบคลุมประเด็นให้ได้ โดยต้องเขียนให้มีความสะเทือนใจแก่ผู้อ่าน มีความขัดแย้งทางอารมณ์ของตัวละครในเรื่อง
-ส่วนในเรื่องภาษานั้นตัวเราเขียนเสร็จแล้วต้องใส่ผู้อื่นช่วยเกา (ตรวจทานภาษา) ให้อีกทีหนึ่ง เพราะเราเขียนเองเราจะไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง
-การเขียนเรื่องนั้นต้องเขียนแล้วให้ผู้อ่านรู้สึกเอาเอง ต้องเขียนด้วยภาษาที่งดงามมากด้วย
-เรื่อง “ดินน้ำมันของหัวโต” (ของคุณธนัญกรณ์) เป็นเรื่องของเด็กพิการหัวโต ในเรื่องมีการสะท้อนถึงปัญหาของสังคมไทยในประเด็นของการเลิกจ้างเนื่องจากการคอรัปชั่น
-เรื่อง “แผ่นดินใคร” (ของคุณสุริยา ชานุบาล) ก็เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วสะเทือนใจมาก
ท้ายสุดนี้ท่านวิทยากรทั้งสามท่านก็ไม่แน่ใจว่าได้กล่าวถึงเรื่องที่เข้ารอบครบทั้ง 25 เรื่องหรือไม่ ส่วนเรื่องใดที่ท่านวิทยากรไม่ได้ถึงนั้น ท่านสามารถไปหาอ่านเอาเองได้จากหนังสือ “เงื่อน ทะเล และผ้าเปื้อนเลือด” ที่เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นทั้ง 25 เรื่องนี้
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านที่สนใจเข้ามาอ่านในกระทู้นี้จะได้รับประโยชน์กลับไปบ้าง ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือ และขอให้มีความฮึกเหิมที่อยากจะเขียนหนังสือตลอดไปนะครับ