ธรรมชาติของใจ เป็นธรรมชาติรู้ แต่เป็นรู้ที่มีอวิชชามาแต่เดิม กล่าวคือ รู้อะไรขึ้นมาภายในใจ ก็ล้วนแต่เป็นสมมุติบัญญัติทั้งสิ้น อาทิเช่น รู้สุข รู้ทุกข์ รู้สูง รู้ต่ำ รู้ยาว รู้สั้น ซึ่งรู้เหล่านี้ ล้วนไม่จีรังยั้งยืน เป็นผู้รู้ที่มีอวิชชา เมื่อมี อวิชชา ก็มี สังขาร เมื่อมีสังขาร ก็มี วิญญาณ เมื่อมีวิญญาณ ย่อมมีเวทนา เมื่อมีเวทนา ย่องมีตัณหา เมื่อมีตัณหา ย่อมมีอุปทาน เมื่อมีอุปทาน ย่อมมีภพ มีชาติ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย พรัดพรากของรักของชอบใจ เป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านย่อมเห็นอย่างนี้ด้วยญาณ เป็นเหตุให้รู้ซึ่ง อาสวักขยญาณ
เมื่ออาสวักขยญาณ บังเกิด ย่อมแจ้งด้วยญาณ เกิดภูมิรู้อีกแบบ ใจจะเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอวิชชา กล่าวคือ จะเป็นธรรมชาติรู้ ที่รู้โดยไม่มีสมมุติบัญญัติ เป็นผู้รู้ ที่ไม่มีกระแสแห่งขันธ์5 เป็นเพียงแต่ธาตุรู้ชนิดหนึ่ง แต่บัญญัติตีความไม่ได้ รู้ตัวนี้จึงบริสุทธิ์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านก็จะเจริญสติ รู้ หยั่งทวนกระแสลงไปภายในใจ ได้แต่รู้แบบบริสุทธิ์ ไม่มีบัญญัติ ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรต่อมิอะไรภายในใจเลย มีแต่รู้ แต่ไม่รู้ว่ารู้สิ่งใด ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีการไป ไม่มีการมา
อวิชชาความไม่รู้จริง ย่อมดับลงไป เพราะเกิดญาณรู้แจ้งเห็นจริง สังขารก็ดับตามภายในใจ วิญญาณก็ดับ เมื่อวิญญาณดับ เวทนาดับ เมื่อเวทนาดับ ตัณหาดับ เมื่อตัณหาดับ อุปทานดับ เมื่ออุปทานดับ ภพดับ ชาติดับ เกิด แก่ เจ็บตายก็ดับ พรัดพรากจากของรักของชอบใจดับ ความทุกข์ดับ แล้วเกิดญาณ ขึ้นว่า ภพสิ้นแล้ว ชาติสิ้นแจ้ง รู้แจ้งชัดด้วยญาณ อันนี้ค่อยข้างละเอียดอ่อนมากๆ หากท่านใดไม่ได้ปฏิบัติจริงๆ หรือปฏิบัติ แล้วเห็นว่าเจ้าของกระทู้มีความเห็นผิดอย่างมาก ก็ช่วยอธิบาย ความเห็นถูกของท่าน จะเป็นประโยชน์อย่างสูง
ทำลายตัวรู้ เพื่อนๆในห้องเข้าใจในมุมมองแบบไหนครับ
เมื่ออาสวักขยญาณ บังเกิด ย่อมแจ้งด้วยญาณ เกิดภูมิรู้อีกแบบ ใจจะเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอวิชชา กล่าวคือ จะเป็นธรรมชาติรู้ ที่รู้โดยไม่มีสมมุติบัญญัติ เป็นผู้รู้ ที่ไม่มีกระแสแห่งขันธ์5 เป็นเพียงแต่ธาตุรู้ชนิดหนึ่ง แต่บัญญัติตีความไม่ได้ รู้ตัวนี้จึงบริสุทธิ์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านก็จะเจริญสติ รู้ หยั่งทวนกระแสลงไปภายในใจ ได้แต่รู้แบบบริสุทธิ์ ไม่มีบัญญัติ ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรต่อมิอะไรภายในใจเลย มีแต่รู้ แต่ไม่รู้ว่ารู้สิ่งใด ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีการไป ไม่มีการมา
อวิชชาความไม่รู้จริง ย่อมดับลงไป เพราะเกิดญาณรู้แจ้งเห็นจริง สังขารก็ดับตามภายในใจ วิญญาณก็ดับ เมื่อวิญญาณดับ เวทนาดับ เมื่อเวทนาดับ ตัณหาดับ เมื่อตัณหาดับ อุปทานดับ เมื่ออุปทานดับ ภพดับ ชาติดับ เกิด แก่ เจ็บตายก็ดับ พรัดพรากจากของรักของชอบใจดับ ความทุกข์ดับ แล้วเกิดญาณ ขึ้นว่า ภพสิ้นแล้ว ชาติสิ้นแจ้ง รู้แจ้งชัดด้วยญาณ อันนี้ค่อยข้างละเอียดอ่อนมากๆ หากท่านใดไม่ได้ปฏิบัติจริงๆ หรือปฏิบัติ แล้วเห็นว่าเจ้าของกระทู้มีความเห็นผิดอย่างมาก ก็ช่วยอธิบาย ความเห็นถูกของท่าน จะเป็นประโยชน์อย่างสูง