สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
.
เซียวเหอผู้ชักนำหาญซิ่นเข้ากองทัพ ก็ทราบความไม่พอใจของเจ้านายเป็นอย่างดี จึงได้ลอบมาเตือนหานซิ่นให้ระวังตัว หานซิ่นเองก็ไม่รู้จะด้วยเชื่อคำเตือนของเซียวเหอหรือต้องการอำนาจที่มากไปกว่านี้ก็ไม่ทราบได้ เพราะแอบลอบสะสมกองกำลังส่วนตัว เพื่อหวังอะไรบางอย่าง หลิวปังที่ระแวงคนผู้นี้มาตลอดมาตั้งแต่ต้น จึงได้จัดการอะไรบางอย่างเพื่อยุติปัญหา นี้ โดยแสร้งยกทัพไปทำภารกิจที่อื่น ทิ้งเมืองหลวงให้อยู่ใต้การดูแลของลิเฮาผู้เป็นมเหสี ให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เมียผู้มีความแค้นที่หานซิ่นฆ่าญาติของตนเองอยู่เต็มอก ก็ไม่ทำให้หลิวปังผิดหวัง จึงตั้งข้อกล่าวหาว่าหานซิ่นเตรียมก่อกบฏ หาญซิ่น จึงถูกนำตัวมาประหารถูก ประหาร เป็นอันจบชีวิต
และนี้คือจุดจบของคำกล่าวที่ว่า “รุ่งเรืองก็เพราะเซียวเหอ ล่มจมก็เพราะเซียวเหอ รอดตายก็เพราะผู้หญิง ตายก็เพราะผู้หญิง ( 成敗一蕭何, 生死兩婦人 )
แต่ทั้งที่บทบันทึกของประวัติศาสตร์เองก็ได้บันทึกด้วยตัวมันเองแล้วว่า คนผู้นี้เป็น “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” มักใหญ่ใฝ่สูงเป็นที่ตั้ง เพียงเพราะคิดว่าตนเองมีสติปัญญาเหนือใคร แล้วใยนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นจึงได้ให้การยกย่องหานซิ่นถึงเพียงนี้เล่า ทั้งๆที่ตำราเล่มที่ตัวเองเป็นผู้เขียนก็มี ข้อสงสัย จุดสังเกตเต็มไปหมด
และคำตอบที่ผมได้รับก็คือ ชื่อของบุคคลหลายคน เริ่มจาก จางเหลียง ซึ่งเป็นผู้เริ่มบันทึกเรื่องราวในครั้งนี้เอาไว้เป็นคนแรก และเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด คนผู้นี้คือ จางเหลียงกุนซือคู่ใจของหลิวปัง ผู้มีส่วนในการชักนำให้หลิวปังรับหานซิ่นเอาไว้
อาจเป็นเพราะว่า ที่จางเหลียงทำเช่นนี้ก็เพราะความรักตัวกลัวตาย กลัวว่าตัวเองจะเป็นเหยื่อรายต่อไปที่ถูกหลิวปังหรืออุบายของเซียวเหอฆ่าทิ้งเป็นรายต่อไปก็ได้ เพราะรู้ดีว่าตนเองก็เป็นอุปสรรคในการก้าวขึ้นตำแหน่ง“ฉีหวาง” เอกอัครมหาเสนาบดี ที่ตนเองรู้ดีว่านั้นคือสิ่งที่ เซียวเหอต้องการไม่ต่างจากหานซิ่น เพียงแต่ไม่ยอมแสดงออกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จางเหลียง จึงได้ลาออกจากราชการ ปลีกวิเวกมาตั้งสำนัก และมาแต่งตำรา วิถีแห่งเสนาอำมาตย์ ซึ่งถือเป็นแบบเรียนที่ขุนนางในราชวงค์ฮั่นและยุคสมัยต่อมาต้องอ่านและศึกษาทำความเข้าใจ ยาวนานต่อเนื่องมาอีกหลายร้อยปี
จางเหลียงเป็นผู้เริ่มบันทึกจริงล่ะ แต่ในบันทึกของจางเหลียงก็ไม่น่าที่จะยกย่องหานซิ่นขนาดนั้น เพราะเป็นขุนนางรุ่นหลังตัวเอง แถมยังมีพฤติกรรมที่ขัดกับตำรา วิถีแห่งเสนาอำมาตย์ ที่ตัวเองเขียนหลายเรื่อง
แล้วบทบันทึกในแนวทางเชิดชูหาญซิ่นและดูหมิ่นหลิวปัง มาจากใครกันล่ะ..? ผมเก็บงำความรู้สึกสงสัยนี้อยู่หลายปี จนเมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์จีนช่วงต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกัน จนพบข้อสรุปของตัวเองว่า
แนวทางเชิดชูหานซิ่น ดูหมิ่นหลิวปัง เริ่มในสามก็ก หลังยุคสมัยฮั่นช่วงหาญซิ่น หลิวปัง ราว 400 ปี สืบเนื่องมาจากโจโฉผู้ล้มอำนาจตั้งโต๊ะที่เชิด หองจูเหียบ หรือพระเจ้าเล้นเต้ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงค์ฮั่น โจโฉต้องการดิสเครดิตราชวงค์เก่า เพื่อความสะดวกในการตั้งตัวเป็นผู้นำเปลี่ยนแผ่นดิน จึงได้ให้ปราชญ์บัณทิตฝ่ายตน เอาบทบันทึกของจางเหลียงมาแก้ไขใหม่ออกมาในลักษณะ เชิดชูหาญซิ่น กดข่ม หลิวปัง หรือเป้าหมายจริงๆคือการกดทับฝ่ายเล่าปี่ที่เป็นเชื้อสายราชวงค์ฮั่น
และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ บทบันทึกประวัติศาสตร์มักเป็นเช่นนี้ เชิดชูราชวงค์ใหม่ เหยียบย่ำราชวงค์เก่า กรณีของหานซิ่นที่โจโฉยกมาเชิดชูนั้น ก็ยังหวังใช้เรื่องนี้เป็นแรงกระตุ้นแม่ทัพนายกองให้แสดงตัวออกมาเข้าร่วมกับฝ่ายตน เพื่อร่วมแย่งชิงความเป็นใหญ่ ในช่วงนั้นผู้กล้าคนเก่งเข้าร่วมกับก็กไหนมากที่สุด ก็ควรรู้ว่าคือวุยก็กของโจโฉ เพียงแต่การมีคนให้ใช้สอยมากๆ ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดโดดเด่นออกมาเท่าที่ควร ต่างจากจ๊กก็กของเล่าปี่ที่มีคนน้อย แต่ทุกคนมีโอกาศได้ฝากชื่อฝากฝีมือกันอยู่บ่อยครั้ง
แม้ท้ายที่สุดแล้ว สุมาอี้เป็นผู้ชนะในตอนท้าย ก่อตั้งราชวงค์ใหม่ได้สำเร็จ แต่ก็ปล่อยให้เลยตามเลย มิได้กลับไปแก้ไขแต่อย่างใด หาญซิ่นจึงกลายเป้นสัญลักษณ์ของยอดขุนพลกันเรื่อยมา
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โดยคิดและวิเคราะห์เองจากการอ่านเรื่องราวในประวัติศาสตร์ยุคนั้น มีบุคคลอีกมากครับ ที่หน้าประวัติศาสตร์บอกไว้แบบหนึ่ง แต่เทื่อพอได้ลองศึกษาด้วยตัวเองแล้ว กลับรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ผมจะหยิบมาเขียนเป็นบทความให้ท่านได้อ่านกัน ในยามที่การแสดงความเห้นทางการเมืองเป็นเรื่องไร้ค่า เราก็หันมาศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อรู้เท่าทันคนในปัจจุบันกันนะครับ
เหมือนผมเองที่เขียนเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมรู้สึกว่าการที่หานซิ่นมีสติปัญญาสูงและเก่งเรื่องการวางแผนและกลยุทธจริงๆ แต่ผมกลับไม่คล้อยตามในคำกล่าวที่ว่าคนผู้นี้เป็น “ยอดขุนพล” เพราะผมรู้สึกว่า คนที่บกพร่องเรื่องคุณธรรมไม่สำควรได้รับคำชื่นชมเช่นนั้นจากผม เพราะหานซิ่นสำหรับผมแล้วเป็นคนที่ทะนงตนเองว่ามีสติปัญญา จนกระทำรื่องที่ไม่สมควรกระทำหลายๆเรื่องก็แค่นั้นเอง
แต่เขียนเรื่องนี้แล้ว มันทำให้ผมนึกถึงอาชีพหนึ่งในบ้านเมืองเรา ที่พากันยกยอว่าเป็นคนดีผู้ทรงภูมิปัญญา เรียกว่าอะไร กรๆสักอย่างนี้แหละ ชื่ออะไร บริกรอะไรน๊า มันติดอยู่ที่ปาก แต่ก็ช่างมันเถอะครับ อย่าไปนึกถึงเลย
สุดท้ายก็อยากทิ้งท้ายว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม
เพราะบางทีสิ่งที่ร่ำลือกับความเป็นจริงอาจแตกต่างกันก็ได้
ปล.เหมือนเคยนะครับ ไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหน ทำความเข้าใจด้วยตัวเองอย่างไร ผมก็ถ่ายทอดออกมาแบบนั้น และผู้อ่านผู้รู้ทุกท่านสามารถพิจารณาได้เองว่าท่านเคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร
ส่วนใครจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่นไม่ใช่ของเรา ก็ตามสบายนะครับ แต่ผมก็จะเขียนของผมแบบนี้ต่อไป เพราะผมถือว่า “ศึกษาอดีต เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขในปัจจุบันให้ดีขึ้นครับ”
และเหมือนยิ่งเขียนยิ่งมันส์ครับ จึงได้ออกมายาวทุกทีเลย อยากเขียนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องต่อีกหลายเรื่องหลายบุคคลครับ ช่วงนี้ผมกลับมาเขียนบทความอิงประวัติสาสตร์จีนอีกครั้งแล้วนะครับ หลังจากหยุดพักไปเพราะปัญหาสุขภาพแต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้หายไปนานนั้นก็มาจากความเข้มข้นของข้อกฎหมาย ที่ไม่ว่าจะคิดจะเขียนอะไรก็เหมือนจะผิดอยู่เสมอ เลยเบื่อๆครับ ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนได้ไปนานเท่าไร หากว่าโดนเช็คบิลหรือโดนอุ้มอีก ก็คงต้องหยุดเว้นระยะเวลาทำใจก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
เซียวเหอผู้ชักนำหาญซิ่นเข้ากองทัพ ก็ทราบความไม่พอใจของเจ้านายเป็นอย่างดี จึงได้ลอบมาเตือนหานซิ่นให้ระวังตัว หานซิ่นเองก็ไม่รู้จะด้วยเชื่อคำเตือนของเซียวเหอหรือต้องการอำนาจที่มากไปกว่านี้ก็ไม่ทราบได้ เพราะแอบลอบสะสมกองกำลังส่วนตัว เพื่อหวังอะไรบางอย่าง หลิวปังที่ระแวงคนผู้นี้มาตลอดมาตั้งแต่ต้น จึงได้จัดการอะไรบางอย่างเพื่อยุติปัญหา นี้ โดยแสร้งยกทัพไปทำภารกิจที่อื่น ทิ้งเมืองหลวงให้อยู่ใต้การดูแลของลิเฮาผู้เป็นมเหสี ให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เมียผู้มีความแค้นที่หานซิ่นฆ่าญาติของตนเองอยู่เต็มอก ก็ไม่ทำให้หลิวปังผิดหวัง จึงตั้งข้อกล่าวหาว่าหานซิ่นเตรียมก่อกบฏ หาญซิ่น จึงถูกนำตัวมาประหารถูก ประหาร เป็นอันจบชีวิต
และนี้คือจุดจบของคำกล่าวที่ว่า “รุ่งเรืองก็เพราะเซียวเหอ ล่มจมก็เพราะเซียวเหอ รอดตายก็เพราะผู้หญิง ตายก็เพราะผู้หญิง ( 成敗一蕭何, 生死兩婦人 )
แต่ทั้งที่บทบันทึกของประวัติศาสตร์เองก็ได้บันทึกด้วยตัวมันเองแล้วว่า คนผู้นี้เป็น “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” มักใหญ่ใฝ่สูงเป็นที่ตั้ง เพียงเพราะคิดว่าตนเองมีสติปัญญาเหนือใคร แล้วใยนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นจึงได้ให้การยกย่องหานซิ่นถึงเพียงนี้เล่า ทั้งๆที่ตำราเล่มที่ตัวเองเป็นผู้เขียนก็มี ข้อสงสัย จุดสังเกตเต็มไปหมด
และคำตอบที่ผมได้รับก็คือ ชื่อของบุคคลหลายคน เริ่มจาก จางเหลียง ซึ่งเป็นผู้เริ่มบันทึกเรื่องราวในครั้งนี้เอาไว้เป็นคนแรก และเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด คนผู้นี้คือ จางเหลียงกุนซือคู่ใจของหลิวปัง ผู้มีส่วนในการชักนำให้หลิวปังรับหานซิ่นเอาไว้
อาจเป็นเพราะว่า ที่จางเหลียงทำเช่นนี้ก็เพราะความรักตัวกลัวตาย กลัวว่าตัวเองจะเป็นเหยื่อรายต่อไปที่ถูกหลิวปังหรืออุบายของเซียวเหอฆ่าทิ้งเป็นรายต่อไปก็ได้ เพราะรู้ดีว่าตนเองก็เป็นอุปสรรคในการก้าวขึ้นตำแหน่ง“ฉีหวาง” เอกอัครมหาเสนาบดี ที่ตนเองรู้ดีว่านั้นคือสิ่งที่ เซียวเหอต้องการไม่ต่างจากหานซิ่น เพียงแต่ไม่ยอมแสดงออกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จางเหลียง จึงได้ลาออกจากราชการ ปลีกวิเวกมาตั้งสำนัก และมาแต่งตำรา วิถีแห่งเสนาอำมาตย์ ซึ่งถือเป็นแบบเรียนที่ขุนนางในราชวงค์ฮั่นและยุคสมัยต่อมาต้องอ่านและศึกษาทำความเข้าใจ ยาวนานต่อเนื่องมาอีกหลายร้อยปี
จางเหลียงเป็นผู้เริ่มบันทึกจริงล่ะ แต่ในบันทึกของจางเหลียงก็ไม่น่าที่จะยกย่องหานซิ่นขนาดนั้น เพราะเป็นขุนนางรุ่นหลังตัวเอง แถมยังมีพฤติกรรมที่ขัดกับตำรา วิถีแห่งเสนาอำมาตย์ ที่ตัวเองเขียนหลายเรื่อง
แล้วบทบันทึกในแนวทางเชิดชูหาญซิ่นและดูหมิ่นหลิวปัง มาจากใครกันล่ะ..? ผมเก็บงำความรู้สึกสงสัยนี้อยู่หลายปี จนเมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์จีนช่วงต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกัน จนพบข้อสรุปของตัวเองว่า
แนวทางเชิดชูหานซิ่น ดูหมิ่นหลิวปัง เริ่มในสามก็ก หลังยุคสมัยฮั่นช่วงหาญซิ่น หลิวปัง ราว 400 ปี สืบเนื่องมาจากโจโฉผู้ล้มอำนาจตั้งโต๊ะที่เชิด หองจูเหียบ หรือพระเจ้าเล้นเต้ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงค์ฮั่น โจโฉต้องการดิสเครดิตราชวงค์เก่า เพื่อความสะดวกในการตั้งตัวเป็นผู้นำเปลี่ยนแผ่นดิน จึงได้ให้ปราชญ์บัณทิตฝ่ายตน เอาบทบันทึกของจางเหลียงมาแก้ไขใหม่ออกมาในลักษณะ เชิดชูหาญซิ่น กดข่ม หลิวปัง หรือเป้าหมายจริงๆคือการกดทับฝ่ายเล่าปี่ที่เป็นเชื้อสายราชวงค์ฮั่น
และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ บทบันทึกประวัติศาสตร์มักเป็นเช่นนี้ เชิดชูราชวงค์ใหม่ เหยียบย่ำราชวงค์เก่า กรณีของหานซิ่นที่โจโฉยกมาเชิดชูนั้น ก็ยังหวังใช้เรื่องนี้เป็นแรงกระตุ้นแม่ทัพนายกองให้แสดงตัวออกมาเข้าร่วมกับฝ่ายตน เพื่อร่วมแย่งชิงความเป็นใหญ่ ในช่วงนั้นผู้กล้าคนเก่งเข้าร่วมกับก็กไหนมากที่สุด ก็ควรรู้ว่าคือวุยก็กของโจโฉ เพียงแต่การมีคนให้ใช้สอยมากๆ ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดโดดเด่นออกมาเท่าที่ควร ต่างจากจ๊กก็กของเล่าปี่ที่มีคนน้อย แต่ทุกคนมีโอกาศได้ฝากชื่อฝากฝีมือกันอยู่บ่อยครั้ง
แม้ท้ายที่สุดแล้ว สุมาอี้เป็นผู้ชนะในตอนท้าย ก่อตั้งราชวงค์ใหม่ได้สำเร็จ แต่ก็ปล่อยให้เลยตามเลย มิได้กลับไปแก้ไขแต่อย่างใด หาญซิ่นจึงกลายเป้นสัญลักษณ์ของยอดขุนพลกันเรื่อยมา
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โดยคิดและวิเคราะห์เองจากการอ่านเรื่องราวในประวัติศาสตร์ยุคนั้น มีบุคคลอีกมากครับ ที่หน้าประวัติศาสตร์บอกไว้แบบหนึ่ง แต่เทื่อพอได้ลองศึกษาด้วยตัวเองแล้ว กลับรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ผมจะหยิบมาเขียนเป็นบทความให้ท่านได้อ่านกัน ในยามที่การแสดงความเห้นทางการเมืองเป็นเรื่องไร้ค่า เราก็หันมาศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อรู้เท่าทันคนในปัจจุบันกันนะครับ
เหมือนผมเองที่เขียนเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมรู้สึกว่าการที่หานซิ่นมีสติปัญญาสูงและเก่งเรื่องการวางแผนและกลยุทธจริงๆ แต่ผมกลับไม่คล้อยตามในคำกล่าวที่ว่าคนผู้นี้เป็น “ยอดขุนพล” เพราะผมรู้สึกว่า คนที่บกพร่องเรื่องคุณธรรมไม่สำควรได้รับคำชื่นชมเช่นนั้นจากผม เพราะหานซิ่นสำหรับผมแล้วเป็นคนที่ทะนงตนเองว่ามีสติปัญญา จนกระทำรื่องที่ไม่สมควรกระทำหลายๆเรื่องก็แค่นั้นเอง
แต่เขียนเรื่องนี้แล้ว มันทำให้ผมนึกถึงอาชีพหนึ่งในบ้านเมืองเรา ที่พากันยกยอว่าเป็นคนดีผู้ทรงภูมิปัญญา เรียกว่าอะไร กรๆสักอย่างนี้แหละ ชื่ออะไร บริกรอะไรน๊า มันติดอยู่ที่ปาก แต่ก็ช่างมันเถอะครับ อย่าไปนึกถึงเลย
สุดท้ายก็อยากทิ้งท้ายว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม
เพราะบางทีสิ่งที่ร่ำลือกับความเป็นจริงอาจแตกต่างกันก็ได้
ปล.เหมือนเคยนะครับ ไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหน ทำความเข้าใจด้วยตัวเองอย่างไร ผมก็ถ่ายทอดออกมาแบบนั้น และผู้อ่านผู้รู้ทุกท่านสามารถพิจารณาได้เองว่าท่านเคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร
ส่วนใครจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่นไม่ใช่ของเรา ก็ตามสบายนะครับ แต่ผมก็จะเขียนของผมแบบนี้ต่อไป เพราะผมถือว่า “ศึกษาอดีต เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขในปัจจุบันให้ดีขึ้นครับ”
และเหมือนยิ่งเขียนยิ่งมันส์ครับ จึงได้ออกมายาวทุกทีเลย อยากเขียนเรื่องที่เกี่ยวเนื่องต่อีกหลายเรื่องหลายบุคคลครับ ช่วงนี้ผมกลับมาเขียนบทความอิงประวัติสาสตร์จีนอีกครั้งแล้วนะครับ หลังจากหยุดพักไปเพราะปัญหาสุขภาพแต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้หายไปนานนั้นก็มาจากความเข้มข้นของข้อกฎหมาย ที่ไม่ว่าจะคิดจะเขียนอะไรก็เหมือนจะผิดอยู่เสมอ เลยเบื่อๆครับ ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนได้ไปนานเท่าไร หากว่าโดนเช็คบิลหรือโดนอุ้มอีก ก็คงต้องหยุดเว้นระยะเวลาทำใจก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ความคิดเห็นที่ 1
.
ทั้งที่ธรรมเนียมกองทัพก็มีบัญญัติไว้เด่นชัด ว่า ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ต้องมีประเด็นเรื่องความภักดีมาเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณามอบหมายตำแหน่งให้ หานซิ่นเองก็เป็นคนใหม่ เพิ่งเข้ากองทัพมาไม่นาน การได้ตำแหน่งคุมกองเสบียงก็นั้นว่าเซี่ยงอี่มีน้ำใจต่อหานซิ่นมากแล้ว แต่หานซิ่นกลับมักใหญ่ใฝ่สูงกว่านั้น และเป็นจุดเริ่มของความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดของลุกผู้ชายอย่าง ฉ้อป้าอ๋อง
หานซิ่นยังคงทำนายความคิดอ่านการทำศึกของเซี่ยงอี่อยุ่เสมอ เพื่อแลกมากับเสียงชื่นชมของเหล่าบรรดาเพื่อนทหารคนรอบข้าง และการทำนายได้ถูกต้องเสมอ จนเซี่ยงอี่เรียกหานชิ่นมาว่ากล่าวตำหนิตักเตือน เพราะกลยุทธทางทหารไม่สมควรถูกเปิดเผยก่อนทำศึก หานซิ่นรู้สึกเจ็บปวด เหมือนตัวเองเป็นจนเปรียบเปรยตัวเองว่าเป็น สุนัขหลงทาง เลือกเจ้าของผิด (คำเปรียบเปรยที่นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้)
เมื่อครั้งการมาเยือนของจางเหลียงกุนซือของหลัวปัง(ซึ่งยังไม่ได้แยกตัวออกไป แต่มีกองกำลังของตัวเอง มีศักยภาพเป็นคู่แข่งแย่งชิงความเป็นใหญ่กับฉ้อปาอ๋องในวันหน้า ตามความรู้สึกของหานซิ่น และเคยเสนอให้ฉ้อปาอ๋องฆ่าคนผุ้นี้ทิ้งซะเพื่อดับไฟแต่ตนลม
จางเหลียงมาเจรจากับทัพเซี่ยงอี่ขณะเขาเดินทางกับได้เจอหาญซิ่น ตัวหาญซิ่นได้กล่าวลอยๆถึง สถานการณ์บ้านเมือง ลักษณะคล้ายๆแสดงวิสัยทัศน์เพื่อโปรโมทตัวเอง (เพื่อหานายใหม่) จางเหลียงจึงถามชื่อแล้วพูดคุยเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย จึงรู้ได้ว่าหานซิ่นมีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง
ซึ่งก็ได้ผลครั้งที่หลิวปังยังครอบครองพื้นที่อยู่แถวดินแดนปาซุ(เสฉวน) หานซิ่นที่เคยได้แสดงความสามารถให้ จางเหลียงเห็น จนต้องจับตาสังเกตดูเขาตลอดมานับจากการพบเจอครั้งนั้น ก็มาเข้าตาเซียวเหออีกคน(อีกหนึ่งที่ปรึกษาคู่ใจของหลิวปัง) และเซียวเหอได้ออกปากชักชวนไปอยู่กับหลิวปัง หานซิ่น เห็นเป็นหนทางที่ดีจึงหนีไป หาหลิวปังตามคำชวน
แต่พอไปถึงหลิวปังเห็นว่าหานซิ่นเป็นคนเคยลอดขาคนมาก่อน แม้ที่ปรึกษาคู่ใจของตนจะเป็นผู้พามาแนะนำ ก็ยังไม่ไว้วางใจเต็มที่ในครั้งแรก คิดจะไม่รับไว้ แต่เซียวเหอทัดทาน บอกให้ใช้สอยคนผู้นี้ จึงตกลงรับไว้อย่างเสียมิได้ แต่ก็ยังใช้หาญซิ่นในการรบ ยังคงไห้ไปเป็นคนคุมเสบียงเหมือนครั้งที่เคยทำให้กับกองทัพเซี่ยงอี่ หานซิ่นก็สามารถ จัดการเสบียงได้อย่างเรียบร้อย จนเชียวเหอและจางเหลียงรบเร้าแนะนำให้หลิวปังอยู่บ่อยครั้งว่าควรไห้คนผู้นี้ เป็นแม่ทัพใหญ่
แต่หลิวปังยังคงไม่สนใจอะไร จนเซียวเหอต้องคิดแผนการกระตุ้น โดยเล่าเรื่องราวให้หลี่โหวผู้เป็นภรรยาของหลิวปังรู้ถึงความสามารถของหาญซิ่นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อนางมีโอกาสได้รับรู้กิตติศักดิ์การแยกแยะวางกลยุทธของหานซิ่นที่ตัวเขาเองยังเพียรกระทำอยู่เช่นเดิมแม้จะเปลี่ยนนายใหม่แล้ว ฮูหยินของหลิวปังทนไม่ได้ จึงไปว่ากล่าวหลิวปัง หลิวปังซึ่งเป็นคนกลัวเมียอยู่แล้วจึง แต่งตั้งหานซิ่นเป็นแม่ทัพ
คำกล่าวที่ว่า “รุ่งเรืองก็เพราะเซียวเหอ ล่มจมก็เพราะเซียวเหอ รอดตายก็เพราะผู้หญิง ตายก็เพราะผู้หญิง ( 成敗一蕭何, 生死兩婦人 ) มีจุดกำเนิดมาจากเหตุการณ์นี้ในตอนเริ่ม เพราะหากไม่ได้เซียวเหอและฮูหยินของหลิวปังแล้วล่ะก็ หานซิ่นก็คงไม่ถูกรับตัวไว้และใช้งานในกองทัพของหลิวปัง และก็คงไม่พ้นความตายเพราะตัวเองหนีทัพออกมาจากทัพของฉ้อปาอ๋อง
หานซิ่นเพียรพยายามเปิดตัวเองให้ยิ่งใหญ่ เพราะหวังที่เขาจะได้เป็นที่ยำเกรงของเหล่าทหาร จนครั้งหนึ่ง ญาติฝ่ายเมียของหลิวปังผิดระเบียบวินัยกองทัพ เขาสั่ง ประหารทันที เพื่อประกาศให้ทหารทั่งหมดรับรู้ และ เกรงในอำนาจของหาญซิ่นมากขึ้น แต่คนฉลาดอย่างหานซิ่นก็รู้ได้ดีว่า การกระทำของตัวเองนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับหลิวปังและเมียเป็นอย่างมาก เพียงแต่หลิวปังก็ฉลาดพอที่จะอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เพราะหวังที่จะใช้สติปัญญาของตัวหานซิ่นแย่งชิงแผ่นดินกับฉ้อปาอ๋อง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ก็พอน่าจะทำให้พอคาดการณ์ได้ว่า ระหว่างสองคนนี้นี้ ต้องมีจุดจบที่ไม่ค่อยดีรออยู่แน่ๆ เพียงแต่ทั้งคู่ยังคงรอคอยโอกาสต่อไปก็เท่านั้น
เมื่อได้เป็นแม่ทัพของหลิวปัง หานซิ่นได้วางอุบายจนทำไห้ทัพหลิวปังออกจากปาซุที่เซี่ยงอี่ขับไล่ไห้ไปอยู่ ด้วย กลยุทธ ซ่อมแซมทางเดิมแอบสร้างทางใหม่ และยังมีการขยายดินแดนไล่ตีดินแดนของเซี่ยงอี่ ด้วยวิธีกลยุทธต่างๆหลายอย่าง หานซิ่นถือเป็น นักจัดการบริหารที่ดี เข้าได้จัดคนที่มีความสามารถได้อย่างเหมาะสม ฝึกให้กองทัพของหลิวปังแกร่งขึ้นมาจนเป็นอีกทัพที่น่ากลัว ซึ่งนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังต่างยกย่องสติปัญญาคนผู้นี้ว่า ไม่ได้เป็นรอง ขงเบ้งแต่อย่างใด
เซี่ยงอี่เจ็บใจมาก ที่หาญซิ่นช่วยเล่าปังออกมาจากปาซุได้ รบกันราว 5 ปีกว่า เซี่ยงอี่กับหลิวปังเห็นว่าจะเจรจาสงบศึกแบ่งปันแผ่นดินกันปกครองจะดีกว่ามารบราฆ่าฟันกันต่อไป แต่หานซิ่นไม่เห็นด้วย จึงได้ลอบวางแผนหาโอกาสที่ดี โดยปล่อยไห้ ทัพหลิวปังตกตงเจรจากับทัพเซี่ยงอี่ ทำทีเป็นจะเจรจาด้วยแต่ใช้โอกาสที่ทัพเซี่ยงอี่เผลอ ตนเองก็นำทัพอีกส่วนเข้าบุกตี และก็ได้ผลทัพเซ่ยงอี่ที่ไม่ได้ระวังผ่ายแก่หาญซิ่นอย่างย่อยยับ จนต้อง เชือดคอตัวเองริมแม่น้ำกลางสมรภูมิรบครั้งนั้น ตายอย่างลือเลื่องในที่สุด โดยกลยุทธนี้เป็นที่กล่าวขานกันว่า พูดอย่างทำอย่าง เมื่อชนะเซี่ยงอี่หลิวปังจึงตั้งตัวเองเป็น ปฐม จักรพรรดิ์ ราชวงศ์ ฮั่น
และภายหลังปรากฏเหตุการณ์เล็กๆเหตุการณ์หนึ่งบันทึกไว้ว่า หานซิ่นเรียกร้องโน่น นั่น นี้ ให้หลิวปังนึกถึงบุญคุณในการโค่นล้ม ฉ้อปาอ๋องเซี่ยงอี่ ทั้งที่ใช้วิธีที่ลูกผู้ชายไม่สมควรกระทำ คือนัดอีกฝ่ายมาเจรจาแต่วางอีกกองทัพเพื่อเข่นฆ่าสังหาร
แต่เชื่อไหม หลิวปังหรือหลังปราบดาภิเษกแล้วใช้ชื่อว่า ฮั่นโกโจ ฮ่องเต้ กลับต้องเป็นฝ่ายแบกรับผลของการกระทำครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อนึกประวัติศาสตร์ต่างบันทึกว่า การใช้วิธีพูดอย่างทำอย่างกับฉ้อปาอ๋อง เป็นรอยด่างและตราบาปของหลิวปังที่กระทำ ไม่มีใครเอ่ยถึง หานซิ่นว่าสมควรเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบสักครึ่งคำเลยในกรณีนี้
มิหนำซ้ำยังสร้างภาพส่งท้ายให้หานซิ่นเป็นคนดีและกดข่มหลิวปังให้ดูแย่ลงอีก เมื่อบรรดานักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ใช้คำว่า หลิวปังมากระแวงจึงสังหารขุนพลผู้นี้ในตอนที่ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงแล้ว ทั้งๆเงื่อนปมต่างต่างๆที่บันทึกถึงหานซิ่นไว้ ก็พอจะบ่งชี้ว่า แม่ทัพผู้นี้นอกจากจะมีสติปัญญาเป็นเลิศแล้ว ยังมีนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูง ถีบตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าด้วยวิธีต่างๆอยู่ร่ำไป
ทรยศหักหลังนายเก่าบ้างล่ะ
เสนอหน้าโปรโมทตัวเองทั้งที่เป็นคนใหม่บ้างล่ะ
ทำร้ายคนรอบข้างทั้งๆที่เป็นฝ่ายเดียวกัน เพื่อประกาศศักดาบ้างล่ะ
ยอมกระทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะโดยไม่สนใจคุณธรรมบ้างล่ะ
ซึ่งตัวหลิวปังที่ต้องแบกรับข้อครหาไร้คุณธรรมนี้ไว้จากคนทั้งแผ่นดิน อาจรำคาญใจ แต่ก็ยังตอบสนองในทุกอย่างที่หาญซิ่นเรียกร้องและนำเสนอในช่วงแรกของการก่อตั้งราชวงค์
และเป็นข้อสังเกตของผมที่ว่า ที่หาญซิ่นต้องตาย เพราะอาจเรียกร้องไม่ยอมหยุด โดยอ้างความดีความชอบในศึกชี้ขาดสุดท้ายต่อหลิวปัง และฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง เมื่อเรียกร้องตำแหน่ง “ฉีหวาง” เอกอัครมหาเสนาบดีให้กับตนเอง ซึ่งทำเอาหลิวปังไม่พอใจ
อ่านต่อความเห็นต่อไป
ทั้งที่ธรรมเนียมกองทัพก็มีบัญญัติไว้เด่นชัด ว่า ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ต้องมีประเด็นเรื่องความภักดีมาเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณามอบหมายตำแหน่งให้ หานซิ่นเองก็เป็นคนใหม่ เพิ่งเข้ากองทัพมาไม่นาน การได้ตำแหน่งคุมกองเสบียงก็นั้นว่าเซี่ยงอี่มีน้ำใจต่อหานซิ่นมากแล้ว แต่หานซิ่นกลับมักใหญ่ใฝ่สูงกว่านั้น และเป็นจุดเริ่มของความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดของลุกผู้ชายอย่าง ฉ้อป้าอ๋อง
หานซิ่นยังคงทำนายความคิดอ่านการทำศึกของเซี่ยงอี่อยุ่เสมอ เพื่อแลกมากับเสียงชื่นชมของเหล่าบรรดาเพื่อนทหารคนรอบข้าง และการทำนายได้ถูกต้องเสมอ จนเซี่ยงอี่เรียกหานชิ่นมาว่ากล่าวตำหนิตักเตือน เพราะกลยุทธทางทหารไม่สมควรถูกเปิดเผยก่อนทำศึก หานซิ่นรู้สึกเจ็บปวด เหมือนตัวเองเป็นจนเปรียบเปรยตัวเองว่าเป็น สุนัขหลงทาง เลือกเจ้าของผิด (คำเปรียบเปรยที่นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้)
เมื่อครั้งการมาเยือนของจางเหลียงกุนซือของหลัวปัง(ซึ่งยังไม่ได้แยกตัวออกไป แต่มีกองกำลังของตัวเอง มีศักยภาพเป็นคู่แข่งแย่งชิงความเป็นใหญ่กับฉ้อปาอ๋องในวันหน้า ตามความรู้สึกของหานซิ่น และเคยเสนอให้ฉ้อปาอ๋องฆ่าคนผุ้นี้ทิ้งซะเพื่อดับไฟแต่ตนลม
จางเหลียงมาเจรจากับทัพเซี่ยงอี่ขณะเขาเดินทางกับได้เจอหาญซิ่น ตัวหาญซิ่นได้กล่าวลอยๆถึง สถานการณ์บ้านเมือง ลักษณะคล้ายๆแสดงวิสัยทัศน์เพื่อโปรโมทตัวเอง (เพื่อหานายใหม่) จางเหลียงจึงถามชื่อแล้วพูดคุยเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย จึงรู้ได้ว่าหานซิ่นมีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง
ซึ่งก็ได้ผลครั้งที่หลิวปังยังครอบครองพื้นที่อยู่แถวดินแดนปาซุ(เสฉวน) หานซิ่นที่เคยได้แสดงความสามารถให้ จางเหลียงเห็น จนต้องจับตาสังเกตดูเขาตลอดมานับจากการพบเจอครั้งนั้น ก็มาเข้าตาเซียวเหออีกคน(อีกหนึ่งที่ปรึกษาคู่ใจของหลิวปัง) และเซียวเหอได้ออกปากชักชวนไปอยู่กับหลิวปัง หานซิ่น เห็นเป็นหนทางที่ดีจึงหนีไป หาหลิวปังตามคำชวน
แต่พอไปถึงหลิวปังเห็นว่าหานซิ่นเป็นคนเคยลอดขาคนมาก่อน แม้ที่ปรึกษาคู่ใจของตนจะเป็นผู้พามาแนะนำ ก็ยังไม่ไว้วางใจเต็มที่ในครั้งแรก คิดจะไม่รับไว้ แต่เซียวเหอทัดทาน บอกให้ใช้สอยคนผู้นี้ จึงตกลงรับไว้อย่างเสียมิได้ แต่ก็ยังใช้หาญซิ่นในการรบ ยังคงไห้ไปเป็นคนคุมเสบียงเหมือนครั้งที่เคยทำให้กับกองทัพเซี่ยงอี่ หานซิ่นก็สามารถ จัดการเสบียงได้อย่างเรียบร้อย จนเชียวเหอและจางเหลียงรบเร้าแนะนำให้หลิวปังอยู่บ่อยครั้งว่าควรไห้คนผู้นี้ เป็นแม่ทัพใหญ่
แต่หลิวปังยังคงไม่สนใจอะไร จนเซียวเหอต้องคิดแผนการกระตุ้น โดยเล่าเรื่องราวให้หลี่โหวผู้เป็นภรรยาของหลิวปังรู้ถึงความสามารถของหาญซิ่นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อนางมีโอกาสได้รับรู้กิตติศักดิ์การแยกแยะวางกลยุทธของหานซิ่นที่ตัวเขาเองยังเพียรกระทำอยู่เช่นเดิมแม้จะเปลี่ยนนายใหม่แล้ว ฮูหยินของหลิวปังทนไม่ได้ จึงไปว่ากล่าวหลิวปัง หลิวปังซึ่งเป็นคนกลัวเมียอยู่แล้วจึง แต่งตั้งหานซิ่นเป็นแม่ทัพ
คำกล่าวที่ว่า “รุ่งเรืองก็เพราะเซียวเหอ ล่มจมก็เพราะเซียวเหอ รอดตายก็เพราะผู้หญิง ตายก็เพราะผู้หญิง ( 成敗一蕭何, 生死兩婦人 ) มีจุดกำเนิดมาจากเหตุการณ์นี้ในตอนเริ่ม เพราะหากไม่ได้เซียวเหอและฮูหยินของหลิวปังแล้วล่ะก็ หานซิ่นก็คงไม่ถูกรับตัวไว้และใช้งานในกองทัพของหลิวปัง และก็คงไม่พ้นความตายเพราะตัวเองหนีทัพออกมาจากทัพของฉ้อปาอ๋อง
หานซิ่นเพียรพยายามเปิดตัวเองให้ยิ่งใหญ่ เพราะหวังที่เขาจะได้เป็นที่ยำเกรงของเหล่าทหาร จนครั้งหนึ่ง ญาติฝ่ายเมียของหลิวปังผิดระเบียบวินัยกองทัพ เขาสั่ง ประหารทันที เพื่อประกาศให้ทหารทั่งหมดรับรู้ และ เกรงในอำนาจของหาญซิ่นมากขึ้น แต่คนฉลาดอย่างหานซิ่นก็รู้ได้ดีว่า การกระทำของตัวเองนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับหลิวปังและเมียเป็นอย่างมาก เพียงแต่หลิวปังก็ฉลาดพอที่จะอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เพราะหวังที่จะใช้สติปัญญาของตัวหานซิ่นแย่งชิงแผ่นดินกับฉ้อปาอ๋อง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ก็พอน่าจะทำให้พอคาดการณ์ได้ว่า ระหว่างสองคนนี้นี้ ต้องมีจุดจบที่ไม่ค่อยดีรออยู่แน่ๆ เพียงแต่ทั้งคู่ยังคงรอคอยโอกาสต่อไปก็เท่านั้น
เมื่อได้เป็นแม่ทัพของหลิวปัง หานซิ่นได้วางอุบายจนทำไห้ทัพหลิวปังออกจากปาซุที่เซี่ยงอี่ขับไล่ไห้ไปอยู่ ด้วย กลยุทธ ซ่อมแซมทางเดิมแอบสร้างทางใหม่ และยังมีการขยายดินแดนไล่ตีดินแดนของเซี่ยงอี่ ด้วยวิธีกลยุทธต่างๆหลายอย่าง หานซิ่นถือเป็น นักจัดการบริหารที่ดี เข้าได้จัดคนที่มีความสามารถได้อย่างเหมาะสม ฝึกให้กองทัพของหลิวปังแกร่งขึ้นมาจนเป็นอีกทัพที่น่ากลัว ซึ่งนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังต่างยกย่องสติปัญญาคนผู้นี้ว่า ไม่ได้เป็นรอง ขงเบ้งแต่อย่างใด
เซี่ยงอี่เจ็บใจมาก ที่หาญซิ่นช่วยเล่าปังออกมาจากปาซุได้ รบกันราว 5 ปีกว่า เซี่ยงอี่กับหลิวปังเห็นว่าจะเจรจาสงบศึกแบ่งปันแผ่นดินกันปกครองจะดีกว่ามารบราฆ่าฟันกันต่อไป แต่หานซิ่นไม่เห็นด้วย จึงได้ลอบวางแผนหาโอกาสที่ดี โดยปล่อยไห้ ทัพหลิวปังตกตงเจรจากับทัพเซี่ยงอี่ ทำทีเป็นจะเจรจาด้วยแต่ใช้โอกาสที่ทัพเซี่ยงอี่เผลอ ตนเองก็นำทัพอีกส่วนเข้าบุกตี และก็ได้ผลทัพเซ่ยงอี่ที่ไม่ได้ระวังผ่ายแก่หาญซิ่นอย่างย่อยยับ จนต้อง เชือดคอตัวเองริมแม่น้ำกลางสมรภูมิรบครั้งนั้น ตายอย่างลือเลื่องในที่สุด โดยกลยุทธนี้เป็นที่กล่าวขานกันว่า พูดอย่างทำอย่าง เมื่อชนะเซี่ยงอี่หลิวปังจึงตั้งตัวเองเป็น ปฐม จักรพรรดิ์ ราชวงศ์ ฮั่น
และภายหลังปรากฏเหตุการณ์เล็กๆเหตุการณ์หนึ่งบันทึกไว้ว่า หานซิ่นเรียกร้องโน่น นั่น นี้ ให้หลิวปังนึกถึงบุญคุณในการโค่นล้ม ฉ้อปาอ๋องเซี่ยงอี่ ทั้งที่ใช้วิธีที่ลูกผู้ชายไม่สมควรกระทำ คือนัดอีกฝ่ายมาเจรจาแต่วางอีกกองทัพเพื่อเข่นฆ่าสังหาร
แต่เชื่อไหม หลิวปังหรือหลังปราบดาภิเษกแล้วใช้ชื่อว่า ฮั่นโกโจ ฮ่องเต้ กลับต้องเป็นฝ่ายแบกรับผลของการกระทำครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อนึกประวัติศาสตร์ต่างบันทึกว่า การใช้วิธีพูดอย่างทำอย่างกับฉ้อปาอ๋อง เป็นรอยด่างและตราบาปของหลิวปังที่กระทำ ไม่มีใครเอ่ยถึง หานซิ่นว่าสมควรเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบสักครึ่งคำเลยในกรณีนี้
มิหนำซ้ำยังสร้างภาพส่งท้ายให้หานซิ่นเป็นคนดีและกดข่มหลิวปังให้ดูแย่ลงอีก เมื่อบรรดานักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ใช้คำว่า หลิวปังมากระแวงจึงสังหารขุนพลผู้นี้ในตอนที่ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงแล้ว ทั้งๆเงื่อนปมต่างต่างๆที่บันทึกถึงหานซิ่นไว้ ก็พอจะบ่งชี้ว่า แม่ทัพผู้นี้นอกจากจะมีสติปัญญาเป็นเลิศแล้ว ยังมีนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูง ถีบตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าด้วยวิธีต่างๆอยู่ร่ำไป
ทรยศหักหลังนายเก่าบ้างล่ะ
เสนอหน้าโปรโมทตัวเองทั้งที่เป็นคนใหม่บ้างล่ะ
ทำร้ายคนรอบข้างทั้งๆที่เป็นฝ่ายเดียวกัน เพื่อประกาศศักดาบ้างล่ะ
ยอมกระทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะโดยไม่สนใจคุณธรรมบ้างล่ะ
ซึ่งตัวหลิวปังที่ต้องแบกรับข้อครหาไร้คุณธรรมนี้ไว้จากคนทั้งแผ่นดิน อาจรำคาญใจ แต่ก็ยังตอบสนองในทุกอย่างที่หาญซิ่นเรียกร้องและนำเสนอในช่วงแรกของการก่อตั้งราชวงค์
และเป็นข้อสังเกตของผมที่ว่า ที่หาญซิ่นต้องตาย เพราะอาจเรียกร้องไม่ยอมหยุด โดยอ้างความดีความชอบในศึกชี้ขาดสุดท้ายต่อหลิวปัง และฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง เมื่อเรียกร้องตำแหน่ง “ฉีหวาง” เอกอัครมหาเสนาบดีให้กับตนเอง ซึ่งทำเอาหลิวปังไม่พอใจ
อ่านต่อความเห็นต่อไป
ความคิดเห็นที่ 13
หานซิ่น เป็นแม่ทัพฝ่าย หลิวปัง นักประวัติศาสตร์จีน เกือบทั้งหมด ยกย่อง หานซิ่น
ว่าเป็น 1 ใน 10 แม่ทัพที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
แรกเดิมที ทัพฝ่าย หลิวปัง ไม่สามารถสู้ทัพ เซี่ยงหวี่ ได้
แต่พอ หลิวปัง ได้ หานซิ่น มาเป็นแม่ทัพ ศักยภาพของทัพ ฮั่น (ทัพของหลิวปัง)
ก็ค่อยๆพัฒนาขึ้น จนเมื่อ หานซิ่น เห็นว่าพร้อมที่จะรบกับทัพ เซี่ยงหวี่ แล้ว ก็ใช้กลยุทธ
ที่ลือลั่นที่สุดในคือ "ซ่อมทางในที่แจ้ง ลอบเข้าตี เฉินชาง"

ซึ่งกลยุทธ์นี้ ยอดเยี่ยมขนาดเป็น กลยุทธ์ที่ 8 ในสุดยอด 36 กลยุทธ์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนตลอดกาล
ป.ล อักษรตัวที่ 6 ในกลยุทธ์นี้ ต้องเขียน 渡 ไม่ใช่ 度 เพราะคำแรกรากศัพท์แปลว่า "ผ่าน"
ซึ่งผ่านในที่นี้ ต้องหมายถึง ข้ามน้ำ ข้ามเขา จึงจะใช้คำนี้ แต่คำหลังหมายถึงผ่านเฉยๆ (ไม่มีการข้ามน้ำ ข้ามเขา)
ซึ่งถ้าดูตามแผนที่โบราณ จะผ่านเมือง เฉินชาง ได้ ต้องมีการข้ามน้ำ ข้ามเขา จึงต้องใช้คำแรก
(ปัจจุบัน สำนักพิมพ์ นานมี ยังไม่ได้แก้ไข)
ซึ่งเรื่องนี้ จข คห เคยโต้เถียงกับอาจารย์ในมหาลัยเซียะเหมินที่จีนมาแล้ว จนอาจารย์ยอมรับ
ป.ล 2 เซี่ยงหวี่ ก็คือ ฉู่ป้าหวัง หรือ ฉ้อปาอ๋อง นั่นเอง
ว่าเป็น 1 ใน 10 แม่ทัพที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
แรกเดิมที ทัพฝ่าย หลิวปัง ไม่สามารถสู้ทัพ เซี่ยงหวี่ ได้
แต่พอ หลิวปัง ได้ หานซิ่น มาเป็นแม่ทัพ ศักยภาพของทัพ ฮั่น (ทัพของหลิวปัง)
ก็ค่อยๆพัฒนาขึ้น จนเมื่อ หานซิ่น เห็นว่าพร้อมที่จะรบกับทัพ เซี่ยงหวี่ แล้ว ก็ใช้กลยุทธ
ที่ลือลั่นที่สุดในคือ "ซ่อมทางในที่แจ้ง ลอบเข้าตี เฉินชาง"

ซึ่งกลยุทธ์นี้ ยอดเยี่ยมขนาดเป็น กลยุทธ์ที่ 8 ในสุดยอด 36 กลยุทธ์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนตลอดกาล
ป.ล อักษรตัวที่ 6 ในกลยุทธ์นี้ ต้องเขียน 渡 ไม่ใช่ 度 เพราะคำแรกรากศัพท์แปลว่า "ผ่าน"
ซึ่งผ่านในที่นี้ ต้องหมายถึง ข้ามน้ำ ข้ามเขา จึงจะใช้คำนี้ แต่คำหลังหมายถึงผ่านเฉยๆ (ไม่มีการข้ามน้ำ ข้ามเขา)
ซึ่งถ้าดูตามแผนที่โบราณ จะผ่านเมือง เฉินชาง ได้ ต้องมีการข้ามน้ำ ข้ามเขา จึงต้องใช้คำแรก
(ปัจจุบัน สำนักพิมพ์ นานมี ยังไม่ได้แก้ไข)
ซึ่งเรื่องนี้ จข คห เคยโต้เถียงกับอาจารย์ในมหาลัยเซียะเหมินที่จีนมาแล้ว จนอาจารย์ยอมรับ
ป.ล 2 เซี่ยงหวี่ ก็คือ ฉู่ป้าหวัง หรือ ฉ้อปาอ๋อง นั่นเอง
ความคิดเห็นที่ 12
ในเรื่อง สามก็ก ตอน สุมาเต็กโช แนะนำ กุนซือให้ เล่าปี่
ไม่ได้กล่าวถึง หานซิ่น แต่กล่าวเปรียบเทียบกับ ยอดคนในประวัติศาสตร์ 2 คน
คนที่ 1 คือ เจียงไท่กง ซึ่งเป็นผู้ช่วยก่อตั้ง ราชวงค์ โจว
(ก่อนราชวงค์ ฉิน เป็นราชวงค์อยู่ได้นานสุด ประมาณ 800 ปี)
คนที่ 2 คือ จางเหลียง ซึ่งก็คือ กุนซือ ที่ช่วย หลิวปัง ก่อตั้งราชวงค์ ฮั่น นั่นเอง
ถ้าจะเปรียบเทียบ ขงเบ้ง แล้ว ขงเบ้งไม่น่าจะจัดเข้าพวกแม่ทัพ แต่น่าจะเป็นพวก กุนซือ มากกว่า
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ขงเบ้งไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในขบวนกุนซือ อย่างน้อย ขงเบ้งก็แพ้ 2 คนข้างบนที่กล่าว
เพราะสองคนข้างบนนั่น ช่วยเจ้านายจนได้ครองทั้งแผ่นดิน แต่ขงเบ้งแค่แบ่งได้ 1 ใน 3 เท่านั้น
และถ้าศึกษาให้ดี ในช่วง 3 ก็ก คนอย่างขงเบ้งออกศึกประมาณ 28 ปี แต่มีข้อผิดพลาดมากมาย
และข้อผิดพลาดของขงเบ้งหลายประการที่มีส่วนทำให้ จ็กก็ก (ก็กของ เล่าปี่ ) ล่มสลาย
ป.ล เรื่อง ขงเบ้ง ไว้แลกเปลี่ยนกันภายหลัง
ไม่ได้กล่าวถึง หานซิ่น แต่กล่าวเปรียบเทียบกับ ยอดคนในประวัติศาสตร์ 2 คน
คนที่ 1 คือ เจียงไท่กง ซึ่งเป็นผู้ช่วยก่อตั้ง ราชวงค์ โจว
(ก่อนราชวงค์ ฉิน เป็นราชวงค์อยู่ได้นานสุด ประมาณ 800 ปี)
คนที่ 2 คือ จางเหลียง ซึ่งก็คือ กุนซือ ที่ช่วย หลิวปัง ก่อตั้งราชวงค์ ฮั่น นั่นเอง
ถ้าจะเปรียบเทียบ ขงเบ้ง แล้ว ขงเบ้งไม่น่าจะจัดเข้าพวกแม่ทัพ แต่น่าจะเป็นพวก กุนซือ มากกว่า
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ขงเบ้งไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในขบวนกุนซือ อย่างน้อย ขงเบ้งก็แพ้ 2 คนข้างบนที่กล่าว
เพราะสองคนข้างบนนั่น ช่วยเจ้านายจนได้ครองทั้งแผ่นดิน แต่ขงเบ้งแค่แบ่งได้ 1 ใน 3 เท่านั้น
และถ้าศึกษาให้ดี ในช่วง 3 ก็ก คนอย่างขงเบ้งออกศึกประมาณ 28 ปี แต่มีข้อผิดพลาดมากมาย
และข้อผิดพลาดของขงเบ้งหลายประการที่มีส่วนทำให้ จ็กก็ก (ก็กของ เล่าปี่ ) ล่มสลาย
ป.ล เรื่อง ขงเบ้ง ไว้แลกเปลี่ยนกันภายหลัง
แสดงความคิดเห็น
(บทความ)แม่ทัพหานซิ่น ยอดขุนพลจริงหรือ.?
หานซิ่นคือใคร
หาญซิ่น ถือเป็นบุคคลสำคัญของการก่อตั้งราชวงค์ " ฮั่น " ของหลิวปัง แม้แต่ เตียวเหลียง สุมาเต๊กโช(สมัยสามก็ก) ก็ยังกล่าวว่า ก็ยังยกย่องว่าในด้านกลยุทธมีเพียงขงเบ๊งผุ้เดียวที่เทียบเทียมแม่ทัพหานซิ่นผู้นี้
เก่งในระดับที่เทียบเท่าขงเบ้งเชียวหรือ..? นั่นเป็นที่มาของความสงสัย จนผมต้องลงมือศึกษาหาข้อมูลเพื่อรู้ให้ได้ว่า หานซิ่นนั้นเก่งแค่ไหน เมื่อลองศึกษาดูอย่างจริงจัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความกังขาเรื่องความเก่งนั้นหมดไป เพราะพบว่าบุคคลผู้นี้มีความสามารถในการวางกลยุทธจริงๆ
แต่ความสงสัยที่ว่า คนๆนี้เหมาะสมจะเป็นยอดขุนพลจริงหรือเปล่า..? กลับผุดขึ้นมาแทนที่ในความคิดของผม ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ ก็จะรู้ว่าทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น
เริ่มเข้าเรื่องกันเลยครับ แต่ก่อนอื่นถ้าเอ่ยถึง หานซิ่นแล้ว ก็ต้องเอ่ยชื่อ จางเหลียง และเซียวเหอด้วย เพราะทั้งสามคนนี้ เป็นขุนนางที่ปรึกษาและแม่ทัพคู่ใจ ปฐมจักรพรรดิ ฮั่นโกโจ ฮ่องเต้ หรือนามเดิม หลิวปัง และขาดอีกชื่อไม่ได้คือ ฉ้อปาอ๋อง เซี่ยงอี่ ซึ่งบุคคลทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องสำคัญและมีบทบาทมากในยุคสมัยนั้น
หานซิ่นเดิมทีก็เป็นสามัญชนธรรมดาได้ไปสมัครเข้าร่วมเป็นทหารกับ เซี่ยงอี่(ฉ้อป้าอ๋อง) ซึ่งในขณะนั้นหานซิ่นมองว่าหากอยู่กับเซี่ยงอี่เขาจะมีอนาคตมากกว่าอยู่ร่วมกับทัพของจางเหิงจากกองทัพฉิน ก่อนจะเดินทางไปถึงมีเรื่องเล่าขานว่าเขาได้ถูกอันธพาลท้องถิ่นบังคับให้คลานลอดหว่างขา หานซิ่นก็ยอมทำตาม เพราะความชาญฉลาดที่เหล่านักประวัติศาสตร์ให้การยกย่อง เพราะเห็นว่า ที่หานซิ่นยอมทำเช่นนั้น เนื่องจากรู้ตัวเองดีว่าตนไม่สามารถสู้ได้ในขณะนั้น
แต่ผมกลับไม่รู้สึกเห็นด้วยตามมุมมองนี้ เมื่อได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดซ้ำหลายๆรอบ ผมกลับคิดว่าที่หานซิ่นยอมก้มหัวมุดลอดใต้หว่างขา มาจากจิตสำนึกสามัญธรรมดาของมนุษย์ที่รักตัวกลัวตายทั่วไป และเป็นจุดสังเกตแรกว่าคนผู้นี้เป้นยอดขุนพลจริงหรือ เพราะด้วยลักษระนักรบที่ยอดเยี่ยมในยุคสมัยก่อนการต่อสู้กับจำนวนคนที่มากกว่า ไม่น่าจะมีปัญหา กวนอูฝ่าสิบด่านตามฆ่าโจโฉ เตียวหุยฆ่าและเด็ดหัวแม่ทัพเหมือนหยิบส้มในลัง จูล่งแหวกกองทัพนับหมื่นไปช่วยอาเต๋า ลิโป้กำราบยอดนักรบด้วยการประชันศึก หลายๆคนต่อหนึ่ง แต่หาญวิ่นแค่อันธพาล 5-6 คน กลับยอดก้มหัวลดศักดิ์ศรีเพื่อเอาชีวิตรอด อ่านแล้วก็รู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับสมญานามที่หานซิ่นได้รับสักเท่าไร แต่ก็เอาเถอะ หานซิ่นอาจเป็นขุนพลฝ่ายบุ้นถนัดการวางแผนอย่างขงเบ้งก็ได้ (ผมพยายามหาเหตุผลมาหักล้างความสงสัยในใจของตัวเอง)
แต่ยิ่งอ่านไป ยิ่งสงสัย เพราะมีข้อสังเกตหลายจุดหลายเหตุการณ์ ทำให้ผมรู้สึกว่า ขุนพลคนนี้เป็นประเภทหันหางเสือตามลมมากกว่า แสวงหาโอกาสและคิดแต่จะเอาตัวรอดมากกว่า ท่านลองอ่านบทความนี้ไปเรื่อยๆแล้วก็ตัดสินกันเอาเองนะครับ ว่าเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า
ข้อสงสัยต่อมา ประวัติศาสตร์บันทึกว่าพอหานซิ่นได้ไปถึงทัพของเซี่ยงอี่(ฉ้อป้าอ๋อง) หานซิ่น ถูกเซี่ยงอี่มองข้ามความสามารถหลายครั้ง ครั้งแรก หานซิ่น ได้ส่งวิธีการปราบฉินเมื่อเซี่ยงอี่ได้อ่านจึงเรียกหานซิ่นเข้ามาพบคุยกันถึงวิธีการที่จะปราบฉิน หานซิ่นได้แนะนำให้ใช้คนๆนึงและฆ่าคนๆหนึ่งจึงจะทำให้เซี่ยงอี่เป็นใหญ่ คนที่หานซิ่นแนะนำให้เซี่ยงอี่เลือกใช้ก็คือตัวหานซิ่นเอง(มาถึงครั้งแรกก็นำเสนอตัวเองสุดฤทธิ์) ส่วนคนที่หานซิ่นแนะนำให้ฆ่าทิ้งก็คือแม่ทัพหลิวปัง ซึ่งในเวลานั้น ยังไม่ได้แตกทัพออกจากกองทัพใต้การบัญชาการของเซี่ยงอี่ (ซึ่งข้อเสนอนี้ ผมอ่านหลายเที่ยวจากตำราหลายๆเล่ม ก็เชื่อว่าเป็นการเสนอที่อาจไม่บริสุทธิ์ใจ เพราะตัวหานซิ่นเองนั้นอยากได้ตำแหน่งแม่ทัพแทนที่หลิวปังในขณะนั้น)
เซี่ยงอี่เองก็รู้ถึงความรู้สึกนี้ได้ จึงสั่งโบยหานซิ่นแล้วขับไล่ออกไป เพราะขณะที่หานซิ่นเอ่ยเรื่องนี้กับเซี่ยงอี่ หลิวปังที่หานซิ่นแนะนำให้ฆ่าทิ้งได้เดินเข้ามาในตอนนั้นพอดี และนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมเห็นว่านักประวัติศาสตร์จงใจสร้างภาพให้ฉ้อปาอ๋องดูเลวร้ายและชี้นำความสามารถของหาญซิ่นจนเกินจริง และเริ่มไม่เชื่อแล้วว่าการพบปะของคนทั้งสามนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะหากดูจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แล้ว แม้หานซิ่นจะเดินทางมาสมัครเข้าร่วมจริง ก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์ตามที่บันทึก เพราะตัวหาญซิ่นเองก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ไม่ได้มีวงศาคณาญาติ หรือเกียรติประวัติอันใดที่จะมาสมัครครั้งแรก แล้วจะได้เจอกับตัว ฉ้อปาอ่องผู้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังได้เลย
หรือแม้แต่หลิวปังจะเป็นแม่ทัพใต้ร่มธงของฉ้อปาอ๋องที่ร่วมสู้กับจางเหิงในตอนนั้น แต่หาได้มีโอกาสอยู่ในทัพเดียวกันสักเท่าไร เพราะฉ้อปาอ่องเองก็ระแวงหลิวปังจะทรยศอยู่เช่นกัน จึงส่งแม่ทัพผู้นี้ให้ไปครองพื้นที่ห่างไกลยังแคว้นปาซู ดังนั้นโอกาสที่คนสำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งสามคนจะมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในเวลาเดียวกันนั้น ดูแล้วยากเต็มที
ทำไมนักประวัติศาสตร์จึงต้องเขียนเช่นนั้น หรือเพราะว่าต้องการอาศัยเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง ยกย่องภูมิปัญญาของหานซิ่นกระนั้นหรือ..? ด้วยการชี้ชัดตัดปัญหาด้วยการเสนอให้ฆ่าหลิวปังทันที ทั้งๆที่ได้เข้าพบผู้นำกองกำลังคนหนึ่งในครั้งแรก แต่ความสงสัยนี้ก็ไม่ได้มากมายนักสำหรับคนที่อ่านประวัติศาสตร์แนวปราชย์ขุนพลจีนมาพอสมควรอย่างผม เพราะเรื่องราวทำนองนี้ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง ราวกับเป็นพิมพ์นิยมของนักประวัติศาสตร์ ที่มักใช้โอ้อวดสรรพคุณของใครคนหนึ่งจนเกินความจริง
สำหรับผม เหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในการมาสมัครครั้งที่สองน่าจะเป็นความจริงมากกว่า ที่บอกว่าคนอย่างหานซิ่นก็ยังไม่ล่ะความพยายาม ได้เดินทางเพื่อไปสมัครอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้รับไห้เป็นคนหุงข้าวทำครัวของกองเสบียง ซึ่งผมเห็นว่าสมเหตุสมผลแล้ว กลับการรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบเข้าร่วมกองทัพครั้งแรก ใยต้องเอ่ยถึงตัวระดับหัวหน้ากองกำลังหรือแม่ทัพใหญ่ แค่ให้นายกองทั่วไปก็สามารถรับเข้าร่วมและมอบหมายหน้าที่ให้ได้เลย
แต่นักประวัติศาสตร์ก็ยังไม่หยุดที่จะยกย่องหานซิ่นจนเกินจริง เมื่อบอกว่า หานซิ่นทำใจรับสภาพเพื่อรอโอกาส และแล้วโอกาสหานซิ่นมาถึง เขาสามารถทำนายเหตุการณ์ในการยกทัพเซี่ยงอี่ได้เสมอตามวิสัยคนฉลาด จนเพื่อนๆทหารต่างยกย่องหานซิ่นมาก แล้วก็สร้างเหตุการณ์แบบฟ้าประทานโอกาสมาให้ เมื่อให้มาวันหนึ่งหานซิ่นได้ช่วย อี้จี ซึ่งเป็นคนรักของเซี่ยงอี่ จนเป็นเหตุให้หานซิ่นได้ถูกเบิกตัวเข้าพบกับผู้นำกองกำลัง (อ่านถึงตรงนี้ ผมถึงกับอุทาน นี้มันประวัติศาสตร์หรือหนังจีนกำลังภายในฟร่ะเนี๊ยะ ทำอย่างกะช่วยหญิงสาวอ่อนแอ แล้วได้พบหัวหน้าพรรคที่สำนึกในบุณคุณที่ช่วยลูกสาวจึงถ่ายทอดยอดยุทธให้ซะอย่างงั้น)
เมื่อได้เข้าพบกันในที่ประชุมเซี่ยงอี่ที่อยากตอบแทนบุญคุณ จึงถามความเห็นลูกน้องคนอื่นๆว่าควรให้หานซิ่นรับตำแหน่งไหนดี เหล่าขุนนางที่ล่วงรู้กิตติศัพท์คำเล่าลือความสามารถของหานซิ่นที่ทำนายเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างแม่นยำมาก่อน ต่างก็พากันหลงเชื่อและเสนอตำแหน่งต่างๆไปมากมาย แต่เซ่ยงอี่กลับกล่าวว่า ข้าจะไห้เจ้าเป็นคนหุงเข้าวดูแลงานด้านนี้ให้ข้า
ผมศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้จากตำราหลายๆเล่มก็เห็นว่า นักประวัติศาสตร์จงใจทำให้เซี่ยงอี่ดูเป็นคนใจแคบ เพราะคำกล่าวที่ว่า เป็น คนหุงเข้าว และคล้ายใช้ถ้อยคำทำให้หานซิ่นเจ็บใจเหมือนถูกดูถูก ทั้งที่ช่วยคนรักของเซี่ยงอี่กับถูกตอบแทนแบบอย่างที่เจ็บปวดหัวใจอย่างสุดแสนนั้น แท้ที่จริงแล้วตำแหน่งที่เซี่ยงอี่มอบหมายให้ก็ไม่ได้ต่ำทรามเลยเพราะให้หานซิ่นคุมกำลังเสบียงของกองทัพ ทำหน้าที่ดูแลปากท้องและรับประกันสวัสดิ์ภาพการคงอยู่หรือล่มสลายของกองทัพเลย จากที่เคยเป็นแค่คนครัว โดดข้ามมาไม่รู้กี่สิบขั้นเลยทีเดียว
อ่านต่อด้านล่างครับ