บางครั้ง
ผมก็แอบรู้สึกว่าปัญหาระหว่างเรากับ "งาน"
มองไปแล้วก็มีอะไรคล้ายๆกับปัญหาระหว่างเรากับ "ความรักของเรา"
ตอนที่เราเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ อะไรก็ดูน่าสนุก น่าตื่นเต้นไปหมด
ทั้งงาน ทั้งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งหัวหน้า เราสนุกกับการได้ตื่นไปทำงาน
ตื่นเต้นกับการได้ออกไปพบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ
แต่พอวันเวลาผ่านไป งานที่เคยตื่นเต้น อาจเริ่มกลายเป็นความจำเจที่น่าเบื่อ
ในขณะที่ความท้าทาย ค่อยๆเปลี่ยนไป กลายเป็นปัญหาที่แก้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ
และเพื่อนร่วมงานที่เหมือนจะดีในตอนแรก
แต่พอนานวันเข้า เราก็เริ่มมองเห็นความไม่ดีที่แต่ละคนแอบซ่อนไว้
จากที่เคยอยากตื่นมาทำงาน เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เจอเพื่อนใหม่ๆ
กลับกลายเป็นความเบื่อหน่าย ที่ต้องทนทำงานเดิมๆ แก้ปัญหาเรื่องเดิมๆ
ต้องตื่นมาเจอกับเพื่อน และเจ้านายคนเดิม ที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยทุกครั้ง
ที่ต้องพยายามฝืน เสแสร้ง หรือใส่หน้ากากเข้าหากันตลอดทั้งวัน
เมื่อเวลาผ่านไป งานที่เราเคยคิดว่าใช่ ก็ค่อยๆกลายเป็นไม่ใช่ไปโดยไม่รู้ตัว
จนหลายครั้งเราก็นึกอยากลุกขึ้น และวิ่งหนีออกมาจากตรงนั้น
แต่สุดท้ายเหตุผล และความเป็นจำเป็นหลายอย่างก็จะกดไหล่เราลงกับเก้าอี้
และสั่งให้เราก้มหน้าทำงานของเราต่อไป
ในขณะที่ในใจก็เหมือนจะมีระเบิดเวลาค่อยๆนับเวลาถอยหลัง
ให้ถึงวันที่เราจะหมดใจกับงานจริงๆ จนเหตุผล และความจำเป็นเหล่านั้น
ไม่อาจกด หรือมีอำนาจบังคับเราไว้ได้อีกต่อไป แต่คำถามคือ ทำไมเราต้องรอ?
เหมือนปัญหาระหว่างคนสองคน
ในวันที่เริ่มต้น อะไรๆก็ดูสวยงาม โลกนี้เป็นสีชมพู แต่พอเวลาผ่านไป
เมื่อเราได้ใช้เวลาเรียนรู้ ทำความรู้จักกันและกันมากขึ้น ผ่านการทะเลาะ
ผ่านการงอนง้อ ผ่านความขัดแย้ง และความไม่เข้าใจกัน
สิ่งเหล่านั้น จะทำให้เราค่อยๆเข้าใจเองว่า
ทุกอย่างไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างที่เราเห็นในวันแรกเสมอไป
และทุกคนไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เรารู้จักในวันแรกตลอดไป
คนที่เราเคยคิดว่าใช่ในวันนั้น วันนี้อาจกลายเป็นคนที่ไม่ใช่ไปแล้วก็ได้
และปัญหาเดิมๆ ความผิดเดิมๆ ที่เราเหนื่อยที่จะพูดมันออกมา หรือหมดใจจะแก้ไขให้ดีขึ้น
ก็จะเปลี่ยนสิ่งที่เราเคยเรียกมันว่า "การปรับตัว" เข้าหากัน
ให้กลายมาเป็นการ "มองข้าม และทนอยู่กับมันให้ได้"
และรู้สึกแบบนั้นแหละที่เป็นเหมือนมือที่มองไม่เห็น
ที่ค่อยๆถ่างความสัมพันธ์ของเราให้ห่างกันออกไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง
จากคนที่เคยคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็กลายเป็นคนที่ไม่อยากคุยกันเลย..สักเรื่อง
แต่ทำไมเราต้องทน?
ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยใจที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับคนรัก หรือเรากับงาน
ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เราควรจะหยุดตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องทน
ในวันที่คนๆนั้น หรืองานนั้นๆ ทำให้เราเหนื่อยใจ จนเหมือนจะหมดใจ
ถ้าเป็นปัญหาความรัก นอกจากการเลือกที่จะทน
หลายคนก็เลือกที่จะขอ "ห่างกันสักพัก"
พอมานั่งคิดๆดู ความสัมพันธ์ระหว่างคน กับ คน
ก็อาจไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างคน กับงาน
เพราะฉะนั้น "การห่างกันสักพัก" มันก็น่าจะช่วยให้เรา
ได้ลองให้เวลาตัวเอง ได้ทบทวนเรื่องราวระหว่าง เรากับงาน ให้เต็มที่ และแน่ใจอีกครั้ง
ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกไปจริงๆ
ลองใช้เวลาที่มีอยู่หยุดคิด ตั้งคำถาม และหาคำตอบให้กับตัวเอง
ว่า "เรายังต้องการงานนั้นอยู่รึเปล่า?"
ในวันที่เราห่างออกมาจากโต๊ะทำงาน เรายังรู้สึกโหยหา
อยากที่จะกลับไปทำงานของเราอยู่รึเปล่า หรือจริงๆแล้วมันตอกย้ำให้เรารู้ว่า
เราต้องการที่จะเลิกจากงานนั้นจริงๆ
ลองเปรียบเทียบดูว่าเรารู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป
หรือเรารู้สึกเหมือนได้ชีวิตกลับมา เวลาที่เราห่างจากงาน
ลองห่างกันดู เพื่อให้เราได้ "พัก" และใช้เวลาทบทวนดูว่า
เรายังรู้สึก "รัก" หรือหมดรักจนอยาก "เลิก" กับมันจริงๆ
บางครั้ง เรามักคิด และเชื่อว่างานที่รัก คืองานที่ทำแล้วไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย
แต่จริงๆแล้ว งานที่รัก อาจเป็นงานที่ต่อให้เราเบื่อ หรือเหนื่อยแค่ไหน
เราก็ยังอยากจะทำมันต่อไป เพราะหลายครั้ง พอเราได้ใช้เวลาหยุดคิด
และทบทวน เราจะพบว่าปัญหาที่เราเจอ จนทำให้เรารู้สึกเบื่อ เหนื่อย
หรือแม้กระทั่งหมดใจอยู่นี้ จริงๆอาจจะไม่ได้เกิดจาก "งาน" เลย
แต่มันอาจจะเกิดจากเพื่อนร่วมงาน หรือสังคมที่เราอยู่
ซึ่งเราคงต้องหาทางออกให้กับปัญหานั้นต่อไป แต่อย่างน้อย
เราก็ได้คำตอบให้ตัวเองแล้วว่า งานที่เราทำอยู่ทุกวัน จนมันกลายเป็นความเคยชิน
มันยังคงเป็น "งานที่เรารัก" อยู่รึเปล่า?
และถ้ามันยังเป็นงานที่เรารัก
เราจะรู้สึกอยากสู้เพื่อสิ่งที่เรารัก
และสิ่งที่สำคัญที่สุด ของการห่างกันสักพักก็คือ
เราต้องให้เวลามากพอ ที่จะทบทวน และหาคำตอบให้กับตัวเอง
แต่ต้องไม่มากไป หรือเราเองที่หลงไปกับเรื่องอื่นๆที่ผ่านเข้ามา
จนลืมนึกถึงปัญหาที่แท้จริงของเราไป หลายคนพอทำงานเหนื่อยมากๆ
ก็จะเลือกใช้วันหยุดยาว เพื่อพักผ่อน แต่ถ้าเราไม่ได้แค่เหนื่อยมากๆ
แต่รู้สึกเหมือนกำลังจะหมดใจกับงานแล้วล่ะก็ อย่าใช้วันหยุดยาว
เพื่อเป็นข้ออ้างให้เราได้หนีห่างไปจากโต๊ะทำงาน หรือเพื่อนที่ทำงาน
เท่านั้น แต่จงใช้เวลาที่ได้ "ห่างกันสักพัก" นี้ เพื่อถามใจตัวเอง และทบทวน
สิ่งที่ผ่านมาให้ดี ว่าเรายังต้องการ ยังรัก ยังคิดถึง "งาน" ของเราอยู่รึเปล่า?
ทุกๆความสัมพันธ์ ก็เหมือนการวิ่งระยะทางไกล
ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่ไม่เหนื่อย
จึงไม่มีความสันพันธ์ไหน ที่ไม่ต้องการ "การหยุดพัก"
แต่ทุกครั้งที่เราหยุดพัก อย่าลืมใช้เวลาทบทวนถึงระยะทาง
ที่เราวิ่งผ่านมาแล้ว ว่าเราเจออะไรมาบ้าง ระยะทางนั้นสอนอะไรเรา
ระยะทางนั้นให้อะไรกับชีวิตของเรา และเรายังอยากวิ่งต่อไป หรือหันหลังกลับ
ไปหาเส้นทางใหม่ ที่เหมาะกับเรามากกว่านี้
ห่างกันสักพัก..
ไม่ใช่คำที่เราใช้เพื่อหนีปัญหา
แต่เราใช้มัน เพื่อแก้ปัญหา หรืออย่างน้อย ระยะห่าง
ก็ควรจะทำให้เรามองเห็นปัญหานั้น ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ห่างกันสักพัก..ถ้างานที่รัก ทำเราหมดใจ
บางครั้ง
ผมก็แอบรู้สึกว่าปัญหาระหว่างเรากับ "งาน"
มองไปแล้วก็มีอะไรคล้ายๆกับปัญหาระหว่างเรากับ "ความรักของเรา"
ตอนที่เราเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ อะไรก็ดูน่าสนุก น่าตื่นเต้นไปหมด
ทั้งงาน ทั้งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งหัวหน้า เราสนุกกับการได้ตื่นไปทำงาน
ตื่นเต้นกับการได้ออกไปพบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ
แต่พอวันเวลาผ่านไป งานที่เคยตื่นเต้น อาจเริ่มกลายเป็นความจำเจที่น่าเบื่อ
ในขณะที่ความท้าทาย ค่อยๆเปลี่ยนไป กลายเป็นปัญหาที่แก้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ
และเพื่อนร่วมงานที่เหมือนจะดีในตอนแรก
แต่พอนานวันเข้า เราก็เริ่มมองเห็นความไม่ดีที่แต่ละคนแอบซ่อนไว้
จากที่เคยอยากตื่นมาทำงาน เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เจอเพื่อนใหม่ๆ
กลับกลายเป็นความเบื่อหน่าย ที่ต้องทนทำงานเดิมๆ แก้ปัญหาเรื่องเดิมๆ
ต้องตื่นมาเจอกับเพื่อน และเจ้านายคนเดิม ที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยทุกครั้ง
ที่ต้องพยายามฝืน เสแสร้ง หรือใส่หน้ากากเข้าหากันตลอดทั้งวัน
เมื่อเวลาผ่านไป งานที่เราเคยคิดว่าใช่ ก็ค่อยๆกลายเป็นไม่ใช่ไปโดยไม่รู้ตัว
จนหลายครั้งเราก็นึกอยากลุกขึ้น และวิ่งหนีออกมาจากตรงนั้น
แต่สุดท้ายเหตุผล และความเป็นจำเป็นหลายอย่างก็จะกดไหล่เราลงกับเก้าอี้
และสั่งให้เราก้มหน้าทำงานของเราต่อไป
ในขณะที่ในใจก็เหมือนจะมีระเบิดเวลาค่อยๆนับเวลาถอยหลัง
ให้ถึงวันที่เราจะหมดใจกับงานจริงๆ จนเหตุผล และความจำเป็นเหล่านั้น
ไม่อาจกด หรือมีอำนาจบังคับเราไว้ได้อีกต่อไป แต่คำถามคือ ทำไมเราต้องรอ?
เหมือนปัญหาระหว่างคนสองคน
ในวันที่เริ่มต้น อะไรๆก็ดูสวยงาม โลกนี้เป็นสีชมพู แต่พอเวลาผ่านไป
เมื่อเราได้ใช้เวลาเรียนรู้ ทำความรู้จักกันและกันมากขึ้น ผ่านการทะเลาะ
ผ่านการงอนง้อ ผ่านความขัดแย้ง และความไม่เข้าใจกัน
สิ่งเหล่านั้น จะทำให้เราค่อยๆเข้าใจเองว่า
ทุกอย่างไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างที่เราเห็นในวันแรกเสมอไป
และทุกคนไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เรารู้จักในวันแรกตลอดไป
คนที่เราเคยคิดว่าใช่ในวันนั้น วันนี้อาจกลายเป็นคนที่ไม่ใช่ไปแล้วก็ได้
และปัญหาเดิมๆ ความผิดเดิมๆ ที่เราเหนื่อยที่จะพูดมันออกมา หรือหมดใจจะแก้ไขให้ดีขึ้น
ก็จะเปลี่ยนสิ่งที่เราเคยเรียกมันว่า "การปรับตัว" เข้าหากัน
ให้กลายมาเป็นการ "มองข้าม และทนอยู่กับมันให้ได้"
และรู้สึกแบบนั้นแหละที่เป็นเหมือนมือที่มองไม่เห็น
ที่ค่อยๆถ่างความสัมพันธ์ของเราให้ห่างกันออกไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง
จากคนที่เคยคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็กลายเป็นคนที่ไม่อยากคุยกันเลย..สักเรื่อง
แต่ทำไมเราต้องทน?
ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยใจที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับคนรัก หรือเรากับงาน
ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เราควรจะหยุดตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องทน
ในวันที่คนๆนั้น หรืองานนั้นๆ ทำให้เราเหนื่อยใจ จนเหมือนจะหมดใจ
ถ้าเป็นปัญหาความรัก นอกจากการเลือกที่จะทน
หลายคนก็เลือกที่จะขอ "ห่างกันสักพัก"
พอมานั่งคิดๆดู ความสัมพันธ์ระหว่างคน กับ คน
ก็อาจไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างคน กับงาน
เพราะฉะนั้น "การห่างกันสักพัก" มันก็น่าจะช่วยให้เรา
ได้ลองให้เวลาตัวเอง ได้ทบทวนเรื่องราวระหว่าง เรากับงาน ให้เต็มที่ และแน่ใจอีกครั้ง
ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกไปจริงๆ
ลองใช้เวลาที่มีอยู่หยุดคิด ตั้งคำถาม และหาคำตอบให้กับตัวเอง
ว่า "เรายังต้องการงานนั้นอยู่รึเปล่า?"
ในวันที่เราห่างออกมาจากโต๊ะทำงาน เรายังรู้สึกโหยหา
อยากที่จะกลับไปทำงานของเราอยู่รึเปล่า หรือจริงๆแล้วมันตอกย้ำให้เรารู้ว่า
เราต้องการที่จะเลิกจากงานนั้นจริงๆ
ลองเปรียบเทียบดูว่าเรารู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป
หรือเรารู้สึกเหมือนได้ชีวิตกลับมา เวลาที่เราห่างจากงาน
ลองห่างกันดู เพื่อให้เราได้ "พัก" และใช้เวลาทบทวนดูว่า
เรายังรู้สึก "รัก" หรือหมดรักจนอยาก "เลิก" กับมันจริงๆ
บางครั้ง เรามักคิด และเชื่อว่างานที่รัก คืองานที่ทำแล้วไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย
แต่จริงๆแล้ว งานที่รัก อาจเป็นงานที่ต่อให้เราเบื่อ หรือเหนื่อยแค่ไหน
เราก็ยังอยากจะทำมันต่อไป เพราะหลายครั้ง พอเราได้ใช้เวลาหยุดคิด
และทบทวน เราจะพบว่าปัญหาที่เราเจอ จนทำให้เรารู้สึกเบื่อ เหนื่อย
หรือแม้กระทั่งหมดใจอยู่นี้ จริงๆอาจจะไม่ได้เกิดจาก "งาน" เลย
แต่มันอาจจะเกิดจากเพื่อนร่วมงาน หรือสังคมที่เราอยู่
ซึ่งเราคงต้องหาทางออกให้กับปัญหานั้นต่อไป แต่อย่างน้อย
เราก็ได้คำตอบให้ตัวเองแล้วว่า งานที่เราทำอยู่ทุกวัน จนมันกลายเป็นความเคยชิน
มันยังคงเป็น "งานที่เรารัก" อยู่รึเปล่า?
และถ้ามันยังเป็นงานที่เรารัก
เราจะรู้สึกอยากสู้เพื่อสิ่งที่เรารัก
และสิ่งที่สำคัญที่สุด ของการห่างกันสักพักก็คือ
เราต้องให้เวลามากพอ ที่จะทบทวน และหาคำตอบให้กับตัวเอง
แต่ต้องไม่มากไป หรือเราเองที่หลงไปกับเรื่องอื่นๆที่ผ่านเข้ามา
จนลืมนึกถึงปัญหาที่แท้จริงของเราไป หลายคนพอทำงานเหนื่อยมากๆ
ก็จะเลือกใช้วันหยุดยาว เพื่อพักผ่อน แต่ถ้าเราไม่ได้แค่เหนื่อยมากๆ
แต่รู้สึกเหมือนกำลังจะหมดใจกับงานแล้วล่ะก็ อย่าใช้วันหยุดยาว
เพื่อเป็นข้ออ้างให้เราได้หนีห่างไปจากโต๊ะทำงาน หรือเพื่อนที่ทำงาน
เท่านั้น แต่จงใช้เวลาที่ได้ "ห่างกันสักพัก" นี้ เพื่อถามใจตัวเอง และทบทวน
สิ่งที่ผ่านมาให้ดี ว่าเรายังต้องการ ยังรัก ยังคิดถึง "งาน" ของเราอยู่รึเปล่า?
ทุกๆความสัมพันธ์ ก็เหมือนการวิ่งระยะทางไกล
ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่ไม่เหนื่อย
จึงไม่มีความสันพันธ์ไหน ที่ไม่ต้องการ "การหยุดพัก"
แต่ทุกครั้งที่เราหยุดพัก อย่าลืมใช้เวลาทบทวนถึงระยะทาง
ที่เราวิ่งผ่านมาแล้ว ว่าเราเจออะไรมาบ้าง ระยะทางนั้นสอนอะไรเรา
ระยะทางนั้นให้อะไรกับชีวิตของเรา และเรายังอยากวิ่งต่อไป หรือหันหลังกลับ
ไปหาเส้นทางใหม่ ที่เหมาะกับเรามากกว่านี้
ห่างกันสักพัก..
ไม่ใช่คำที่เราใช้เพื่อหนีปัญหา
แต่เราใช้มัน เพื่อแก้ปัญหา หรืออย่างน้อย ระยะห่าง
ก็ควรจะทำให้เรามองเห็นปัญหานั้น ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น