เคมีตรงกัน เเต่ผสมกันไม่ลงตัว

กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมจะเล่าเรื่องความรักสมัยมัธยมปลาย    เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนเเห่งหนึ่งย่านพระนคร  ผมเป็นคนที่ หน้าตาไม่ดี     ทำตัวน่าเกลียด  เรื่องผู้หญิงสำหรับผม ตัดไปได้เลยที่จะมี  ผมใช้ชีวิตเเบบนี้อยู่จนถึงมัธยม 5  เพื่อนๆก็เริ่มมีเเฟนมีความรักกันบ้าง  บ้างคนก็คบกระเทยบ้าง คบผู้หญิงบ้าง  คบเกย์บ้าง สำหรับผมมันเป็นเรื่องชินตามากในระยะเวลา5ปีที่ผ่านมา  จนมีอยู่วันนึงเทพเจ้าเริ่มเข้าข้างในดวงความรักของผมบ้างเเล้ว  เมื่อเเฟนของเพื่อนจะจัดหญิงให้กับเรา  ด้วยความที่เราเป็นคนมักมากอยู่เเล้ว จึงไม่สนว่าเเฟนของเพื่อนจะจัด หมู หมา กา ไก่ ก็คงต้องเอาไว้ก่อน    
          
            สิ่งเเรกที่เราได้ คือ e-mail ของผู้หญิงนั้น    อิอิ   ความดิสเพลย์เธอเบลอเหลือเกิน (สมัยนั้นภาพHDไม่มี)    ด้วยความที่เราหน้าตาไม่ดีเเต่เราเป็นคนพูดเก่งออกเเนวกวนตีนก้ชวนเธอคุยสารพัด เเละเธอก็ไม่มีเเนวโน้มที่จะรังเกลียดผมเเม้เเต่นิดเดียว  เราคุยกันได้เกือบอาทิตย์  ผมก็ขอเบอร์โทรศัพท์เธอ
เธอก็ให้เบอร์โทรศัพท์กับผมนะ  ตอนเราโทรไปครั้งเเรก (เสียงเธอเหมือนซิ้มตามสำเพ็ง) เราก็คุยกันทาง Msn บ้าง โทรศัพท์บ้าง   สมัยนั้นผมใช้ PCT  คุยไปเถอะ คุยจนเหงือกเเห้ง ก็ไม่หวั่น    

            เราคุยกันได้เกือบ2อาทิตย์  จนผมเริ่มอยากเจอเธอเเล้ว  เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเริ่มเเซวประมานว่า    " คุยกันเเบบนี้เคยเจอหน้ากันยังว่ะ  "     จนผมขอนัดเจอกับเธอ  ประมานว่าออกเดท ผมถามเธอนัดเจอกันที่ไหนดี   เธอก็พูดว่า " ตอนนี้มีสัปดาห์หนังสือ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต  "
   ซวยเเล้วกูมันคืองานอะไร มันอยู่ที่ไหน       ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายเราก็ตอบกลับไปเเบบไม่ให้เสียหน้า   " ok เจอกันพรุ่งนี้อยากซื้อหนังสือพอดี "

        09.30 ของอีกวัน   เธอนัดผม 09.00   เเต่ผมตื่น 9.30    ในใจผมเอาเเละ ไม่อยากไปเเละ ไปก็คงโดนด่า  หรือไม่เธอก็คงกลับไปเเล้วเเน่ๆ พูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ผมก้สั่นขึ้นมา  เสียงจากที่ปลายเสียง เสียงเธอช่างดูมีความสุขเหลือเกิน  " อยู่ไหนนนนนเเล้วววว "   อ่อ เราไกลถึงเเละอีก10นาที        '   ยังจีบไม่ติดผมก็โกหกเธอซะเเละ      10.30    ผมก็มาถึง ผมเดินอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีที่สุดกับหัวเกรียนขาวๆ
ผมเดินหาที่ที่ผมจะปักหลักยืนในการเฝ้ามองหาเธอ เพื่อผมจะได้เจอหน้าเธอก่อน     คราวนี้ผมเป้นฝ่ายเธอตามเธอบ้าง  เธอบอกผมเธออยู่ข้างหน้า
   ผมกวาดสายตาไปทั่วจนผมเจอ ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งสะดุดตามาก     " โอโห....โอโห  คือที่คุยกะกูเป็นอาทิตย์หรอเนี่ยยย  "     พวกคุณที่อ่านอยู่ผมจะบรรยายเป็นอักษรให้พวกคุณเข้าถึงมากที่สุด                "     ใบหน้าของเธอรุปไข่  หน้านี่ขาวใสยังกะเเดกไฟนีออน  ดวงตาของเธอเเบ๋วอย่างกะนางเอกหนังจีน หลิว อี้เฟย    ปากของเธอคงไม่ต้องบรรยายเเล้ว  เเค่เธอยิ้มสงครามที่มีอยุ่ทั่วโลกคงหยุดลง   "    สรุป   โครตน่ารักเลยสวยว่ะ  

                 เรา2คน ค่อยๆเดินเข้าไปหากัน คำเเรกที่เธอพูดกับผมตอนที่เราเจอกันครั้งเเรก   " สวัสดี  "   ชีวิตนี้ได้ยินคำว่าสวัสดีเป็นหมื่นเป็นเเสน  
ไม่เคยเจอสวัสดีที่ไหน  ไพเราะเท่านี้มาก่อน     ช่วงเวลานั้นนิยามของคนอื่นคือโลกหยุดหมุน  เเต่สำหรับผมความรู้สึกเหมือนปล้นธนาคารเเล้วหนีตำรวจยังไงยังงั้นเลย     ผมกับเธอ   เราใช้เวลาเดินซื้อหนังสือกันเดินดูโน้นดูนี่   จนเกือบ บ่ายโมงเเละ  กิจกกรรมต่อไปคือไรดีล่ะ     หึหึหึ   จะพาผู้หญิงน่ารักสวยๆ เเบบนี้ไปไหนดีน่ะ อิอิ      ผมชวนเธออยากไม่คิดด้วยความปากไวเลยพูดออกไป    " ไปทำบุญกันไม๊ "                                                 อ๊ากกกกกกกูไม่ได้คิดเเบบนั้นน         เธอตอบรับคำชวนผมอย่างไม่ลังเลใจเลย      สักประมานครึ่งชมเราก็มาถึงวัดที่เราจะมาทำบุญกัน   หลังจากที่เราทำบุญกันให้อาหารปลาอาหารเต๋า  ก็ต้องถึงเวลาที่เราต้องเเยกย้ายกันไป   ผมไปส่งเธอที่ MRT หัวลำโพง      วันนี้เป็นวันที่หัวใจชุ่มชื่นจนบอกไม่ถูก

             เออ ลืมบอกไป เธออายุมากกว่าผมปีนึง  เธอกำลังจะเป็น นักษามหาลัย  ส่วนผมกำลังจะขึ้น ม.6  เราก็คุยกันเรื่อยมา ออกไปเจอกันมากขึ้น
ความสัมพันธ์เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อยๆ   ในตอนนั้นจะมีโปรเเกรมที่ชื่อว่า  Hi5   (จำได้ว่าผมเอาเธอขึ้น top friend ตรงกลาง อิอิ )    
ประมาน 2เดือน เราก็เป็นเเฟนกันเเบบ งง ๆ    ทุกวันสำหรับของทุกเดือน  หรือวันเทศกาลต่างๆ  เธอจะมีของขวัญมาให้ผมเสมอ    เชื่อไม๊  ผมยัง งง กับตัวเองอยู่  ว่ากูจีบติดได้ไงว่ะเนี่ย      โอโหดีกว่าเธอ ก็คงมีเเต่เเม่ชี       จนถึงช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินใจ ชีวิตการเรียนของเธอ                         ในตอนนั้นเธอเอ็นทรานซ์  ได้มหาลัยชื่อดัง ทั้ง2ที่  ที่นึงอยู่เเถวสามย่าน    อีกที่เเถวรังสิต          ถ้าเธอเลือกเเถวรังสิต การเดินทางที่ผมจะไปหาเธอคงยากลำบากเเน่ๆ  สำหรับเด็กมัธยมค่าขนมไม่กี่สตางค์    เเต่เเล้วโชคก็เข้าข้างผมอีกเเล้ว อิอิ   เธอตัดสินใจเลือก มหาลัยเเถวสามย่าน            
( ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดเสมอ   ที่เธอเลือกมาเรียนที่นี่เป้นเพราะผมหรือป่าว )       ชีวิตเราดำเนินไปได้อย่างสวยงาม  เวลาผมเลิกเรียนเธอจะมารอที่โรงเรียนผมเสมอ  เหมือนผู้ปกครองมารับ5555        เเต่ถ้ามีความสุขเเบบเดียวมันจะเป้นมันอะไร  มันก้ต้องมีความทุกข์เเทรกบ้าง       ปัญหาที่เราไม่เคยคิดถึงมันก้เริ่ม เกิดขึ้นมา    ผมเริ่มติดเพื่อน ติดเที่ยวเพราะใกล้จบม.6 เเละ    เธอเริ่มจุ้นจ้าน  ขี้ระเเวง ขี้สงสัย  จนเกิดการทะเลาะกัน  งอลกัน  
บ้างครั้งถึงขั้น บอกเลิกกันก็มี  เเต่ดีที่ตอนนั้นเรายังรักกันมากพอ  ที่เราจะยังพยุงความสัมพันธ์ของเราให้ผ่านช่วงนั้นมาได้      

                  จนถึงช่วงเมทัลของชีวิตผม   ผมเรียนหนังสือไม่เอาไหน ม.6 ก้ยังไม่จบ ติดอยู่เกือบ 24 ตัว   เธอก็พูดกรอกหูผมทุกวัน                                      "  ซ่อมเหลือกี่ตัวเเล้ว  อันไหนทำไม่ทันเดียวทำให้   "     น้ำตาจะไหลเเสนดีเหลือเกิน     ผมเริ่มใช้ชีวิตโดยมองเธอเป็นของตาย   เริ่มทำตัวเเย่ลงเเย่ลง
จนเริ่มใช้ถอยคำหยาบคายกับเธอเป็นประจำเสมอ   เริ่มทำให้เธอร้องไห้ จนเธอร้องไห้เป็นเรื่องปกติ   ( สารเลวจริงๆ )        

     จนมีอยู่วันนึงอยู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา   " ตอนนี้เรายังรักเธอ เธอจะเป็นอย่างไงเราก็รัก      เเต่ถ้าวันนึงเราหมดรัก เเต่จะดีเเค่ไหนเราก็ไม่รัก "
พอผมได้ยินคำพูดนั้นจากเธอมันผมให้ผมฉุกคิด ไปสักพักนึง        เเล้วผมก็ปล่อยมันผ่านไป  
   1 ปีกะอีกกี่เดือนจำไม่ได้  ถึงตาผมเป็นฝ่ายเข้ามหาลัยบ้างเเละ ด้วยความที่ผมเรียนไม่เก่ง  เลิกหวังกับการเอนทราซ์เลย     เเต่ก็ว่าเเละเธอเป็นดั่งเเม่คนที่ 2 มหาลัยที่ผมจะเข้าเธอก็จะเป็นคนพาไป   มหาลัยที่เเรก กำลังจะไปสมัคร ก็ทะเลาะกันอีก เห้อ ชีวิต  มหาลัยที่ 2 พอสมัครเสร็จ ผมก็ทิ้งเธอให้กลับบ้านคนเดียวอีก ( ใจหมาจริงๆ )           ตอนนี้ผมคือเจ้าชีวิตเธอโดนสมบูรณ์เเบบ  555555        จบภาพย์ มัธยม


หลังจากห่างหายไปนาน เรามาต่อความสนุกกันต่อดีฟ่า   อิอิ

     ต่อจากความเดิมตอนที่เเล้ว   หลังจากที่ผมได้เข้าศึกษาที่มหาลัยเเห่งนึง ย่านสวนสัตว์ดุสิต   ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบเรียบไปซะทุกอย่างทั้งความรัก การเรียน ทุกอย่างดุสวยหรูจนหน้ากลัว    ตอนเช้าไปนั่งกินข้าวกับเเฟน เเล้วผมก้ไปส่งเเฟนที่มหาลัย  ตอนบ่ายผมก็ไปเรียน ตอนเย็นเเฟนก็จะมาหาผมที่มหาลัย ผมก็จะไปส่งเเฟนกลับบ้าน เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน ชีวิตโครตดีเลย   เเต่เเล้วชีวิตผมก็มาได้ยินคำๆหนึ่งจากปากเเฟนผมที่ทำให้ประหลาดใจ  

    " ละครเวที "  ผมฟังคำนี้เเล้วรู้สึก หนาวๆ  ร้อนๆ ยังไงไม่รู้ ฟังเเล้วรู้สึกไม่ถูกชะตากับเส้นทางชีวิตของตัวเองที่จะมีคำๆนี้มาอยู่กับชีวิตประจำวัน       เเฟนผมชอบละครเวทีหรืออะไร ยังไง ??? เธอเปลี่ยนเส้นทางจากเด็กอักษร มาชอบด้านนี้ได้ยังไง
ผมก็พยายามเฉยๆ ก็คิดว่า อาจจะเป็นสังคมสิ่งเเวดล้อมที่เธออยู่นำพาเธอไป   ผมคิดว่าคงจะไม่มีผลอะไรกับการใช้ชีวิตคู่ของเราหรอก  
  " กูคิดผิด "   จากการที่เราไปดูหนังในโรงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป  เราต้องไปนั่งดู ละครเวที  บางเวทีก็มีเสียง บางเวทีก็เงียบเฉียบ  บรรยากาศข้างในโรงละครเวทีเเต่ละที่ไม่เหมือนกัน    บางโรงบรรยากาศเหมือนห้องดับจิตมองไปทางไหนก็เจอเเต่ซอมบี้  คนพวกนี้เหมือนกำลังบูชาลักธิอะไรสักอย่าง  ผมยังคิดในใจเลยพวกนี้มันขายวิญญาญให้ซาตานไปเเน่ๆเเต่อันนี้ยังไม่เท่าไร   ต้องเจอละครเวทีเเห่งหนึ่งที่จัดเส้นพระอาทิตย์
สถานที่นี้เหมือนเป็นศูนย์รวม คนที่มี IQ 400+ เเน่ๆ  ข้างในมีเเต่ความเงียบไม่พูดอะไรกัน  สีหน้าเเต่ละคนบ่งบอกอารมไปในทิศทางเดียวกันเสมอ  อยู่ๆก็ยิ้ม   อยุ่ๆก็หน้านิ่ง   โดยที่ไม่มีการสื่อสารอะไรที่ผมเข้าใจซักอย่าง   เห้ออ ผมทนกับการไปดูละครเวทีโดยที่ผมต้องตอบ เเฟนผมทุกครั้งเวลาเธอถามผม  " ว่าชอบไม๊ "    ผมตอบเธอเเบบจริงใจสุดๆ   ชอบดิโครตสนุกเลยเข้าใจทุกเรื่องจนต้องยกนิ้วให้  " นิ้วกลางนะอีห่า "  
    ละครเวที ยังไม่เท่าไรพอเข้าใจ    เเต่เรื่องที่ผมช็อคสุดๆคงจะเป็นคำว่า     " โปสการ์ด "   ชีวิตผมอยุ่ๆเธอก็พาผมเข้าสู่ยุดดึกดำบรรพ์

         " โปสการ์ด "    เวลาเธอไปเที่ยวจังหวัด  หรือไปสถานที่ใดที่ไหนมีร้านขายโปสการ์ด เธอจะตรงดิ่งเข้าไปโดยไม่ลังเลใจ  
เหมือนเดิมเธอก็จะหันมาถามผม  สวยไม๊ อิอิ    สวยดิอีห่าน่ะไม่ใช่โปสการ์ด  !!    ตั้งเเต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องเเม่มีจดหมายส่งถึงผมไม่ถึง 10 ฉบับ  เเต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเเล้ว  เป็นอาทิตย์ละ 1-2 ฉบับ  ประเด็นคือ เธอเขียนอะไรมา กว่าผมจะได้อ่าน คนที่บ้านก็อ่านกันไปหมดเเล้ว
ผมก็พยายามบอกเธอน่ะ เราโทรคุยกัน BB หากันก็ได้      ยังไม่ทันไร เธอก็จะด่าจะบ่นเป็นภาษาชาวโปสการ์ด เเล้วก็เงียบเเบบชาวละครเวที

" นี่กูผิดหรอ " เออผมผิดเองเเละจะส่งอะไรก้ส่งมาเถอะ       ตลอดเวลาตอนที่เราครบกันก็เกือบ 1 ปีกว่าได้ ความสวยเธอยังคงไม่สร่างลงไปมีเเต่มากขึ้นมากขึ้น  "ไม่ใช่ความสวยน่ะ  น้ำหนัก "  เธอดูจ้ำม้ำขึ้นผิดหูผิดตา น้ำหนักในการลงไม้ลงมือเเต่ละทีดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไปตามน้ำหนักตัว   ผมก็บอกเธอบ่อยน่ะ    เริ่มอวบเเล้วน่ะ กินน้อยๆหน่อย   เดียวไม่สวยน่ะ     เธอหันหน้ามาทำหน้าบูดใส่ เเล้วก็พูดว่า  " จริงหรอนี่เราอ้วนขึ้นเเล้วหรอ ทำไงดี เสียใจ พุ่งนี้ไปสมัครฟิตเนตกัน...... เห้อไว้ก่อนละกัน พุ่งนี้อยากกินสดจิ้ม หน้าสวนกุหลาบ "  " โถ่อีสัปะหลาด "

       เเต่ตลอดเวลาที่คบกันมาผมแปลกใจอยู่เรื่องนึง  ทำไมผมไม่เคยคิดจะนอกใจเธอเลย  ผมแปลกใจเรื่องนี้มาก ด้วยสันดารส่วนตัวผมเป็นคนสักหมาในระดับหนึ่ง  มันเลยทำให้ผมคิดถึงการ์ตูน วอลดิสนีย์ เรื่อง  โฉมงามกับเจ้าชายอสูร  เรื่องนี้มันเเต่งมาเพื่อชีวิตผมชัดๆ
" ความรักครั้งนี้เเละเธอคนนี้คงเป็นคนสุดท้ายในชีวิตผม ........ถ้าเธออีกคนไม่เข้ามา "    

จบตอนย่อย ปี1 เทอม 1          
" เราอาจจะรู้ตัวว่ารักไปเเล้ว เเต่อาจจะไม่รู้ตัวว่ารักมากขนาดไหน ไม่มีหรอกรักก็คือรัก  มีเเต่รักมากหรือรักน้อยเท่านั้นเอง"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่