กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมจะเล่าเรื่องความรักสมัยมัธยมปลาย เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนเเห่งหนึ่งย่านพระนคร ผมเป็นคนที่ หน้าตาไม่ดี ทำตัวน่าเกลียด เรื่องผู้หญิงสำหรับผม ตัดไปได้เลยที่จะมี ผมใช้ชีวิตเเบบนี้อยู่จนถึงมัธยม 5 เพื่อนๆก็เริ่มมีเเฟนมีความรักกันบ้าง บ้างคนก็คบกระเทยบ้าง คบผู้หญิงบ้าง คบเกย์บ้าง สำหรับผมมันเป็นเรื่องชินตามากในระยะเวลา5ปีที่ผ่านมา จนมีอยู่วันนึงเทพเจ้าเริ่มเข้าข้างในดวงความรักของผมบ้างเเล้ว เมื่อเเฟนของเพื่อนจะจัดหญิงให้กับเรา ด้วยความที่เราเป็นคนมักมากอยู่เเล้ว จึงไม่สนว่าเเฟนของเพื่อนจะจัด หมู หมา กา ไก่ ก็คงต้องเอาไว้ก่อน
สิ่งเเรกที่เราได้ คือ e-mail ของผู้หญิงนั้น อิอิ ความดิสเพลย์เธอเบลอเหลือเกิน (สมัยนั้นภาพHDไม่มี) ด้วยความที่เราหน้าตาไม่ดีเเต่เราเป็นคนพูดเก่งออกเเนวกวนตีนก้ชวนเธอคุยสารพัด เเละเธอก็ไม่มีเเนวโน้มที่จะรังเกลียดผมเเม้เเต่นิดเดียว เราคุยกันได้เกือบอาทิตย์ ผมก็ขอเบอร์โทรศัพท์เธอ
เธอก็ให้เบอร์โทรศัพท์กับผมนะ ตอนเราโทรไปครั้งเเรก (เสียงเธอเหมือนซิ้มตามสำเพ็ง) เราก็คุยกันทาง Msn บ้าง โทรศัพท์บ้าง สมัยนั้นผมใช้ PCT คุยไปเถอะ คุยจนเหงือกเเห้ง ก็ไม่หวั่น
เราคุยกันได้เกือบ2อาทิตย์ จนผมเริ่มอยากเจอเธอเเล้ว เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเริ่มเเซวประมานว่า " คุยกันเเบบนี้เคยเจอหน้ากันยังว่ะ " จนผมขอนัดเจอกับเธอ ประมานว่าออกเดท ผมถามเธอนัดเจอกันที่ไหนดี เธอก็พูดว่า " ตอนนี้มีสัปดาห์หนังสือ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต "
ซวยเเล้วกูมันคืองานอะไร มันอยู่ที่ไหน ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายเราก็ตอบกลับไปเเบบไม่ให้เสียหน้า " ok เจอกันพรุ่งนี้อยากซื้อหนังสือพอดี "
09.30 ของอีกวัน เธอนัดผม 09.00 เเต่ผมตื่น 9.30 ในใจผมเอาเเละ ไม่อยากไปเเละ ไปก็คงโดนด่า หรือไม่เธอก็คงกลับไปเเล้วเเน่ๆ พูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ผมก้สั่นขึ้นมา เสียงจากที่ปลายเสียง เสียงเธอช่างดูมีความสุขเหลือเกิน " อยู่ไหนนนนนเเล้วววว " อ่อ เราไกลถึงเเละอีก10นาที ' ยังจีบไม่ติดผมก็โกหกเธอซะเเละ 10.30 ผมก็มาถึง ผมเดินอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีที่สุดกับหัวเกรียนขาวๆ
ผมเดินหาที่ที่ผมจะปักหลักยืนในการเฝ้ามองหาเธอ เพื่อผมจะได้เจอหน้าเธอก่อน คราวนี้ผมเป้นฝ่ายเธอตามเธอบ้าง เธอบอกผมเธออยู่ข้างหน้า
ผมกวาดสายตาไปทั่วจนผมเจอ ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งสะดุดตามาก " โอโห....โอโห คือที่คุยกะกูเป็นอาทิตย์หรอเนี่ยยย " พวกคุณที่อ่านอยู่ผมจะบรรยายเป็นอักษรให้พวกคุณเข้าถึงมากที่สุด " ใบหน้าของเธอรุปไข่ หน้านี่ขาวใสยังกะเเดกไฟนีออน ดวงตาของเธอเเบ๋วอย่างกะนางเอกหนังจีน หลิว อี้เฟย ปากของเธอคงไม่ต้องบรรยายเเล้ว เเค่เธอยิ้มสงครามที่มีอยุ่ทั่วโลกคงหยุดลง " สรุป โครตน่ารักเลยสวยว่ะ
เรา2คน ค่อยๆเดินเข้าไปหากัน คำเเรกที่เธอพูดกับผมตอนที่เราเจอกันครั้งเเรก " สวัสดี " ชีวิตนี้ได้ยินคำว่าสวัสดีเป็นหมื่นเป็นเเสน
ไม่เคยเจอสวัสดีที่ไหน ไพเราะเท่านี้มาก่อน ช่วงเวลานั้นนิยามของคนอื่นคือโลกหยุดหมุน เเต่สำหรับผมความรู้สึกเหมือนปล้นธนาคารเเล้วหนีตำรวจยังไงยังงั้นเลย ผมกับเธอ เราใช้เวลาเดินซื้อหนังสือกันเดินดูโน้นดูนี่ จนเกือบ บ่ายโมงเเละ กิจกกรรมต่อไปคือไรดีล่ะ หึหึหึ จะพาผู้หญิงน่ารักสวยๆ เเบบนี้ไปไหนดีน่ะ อิอิ ผมชวนเธออยากไม่คิดด้วยความปากไวเลยพูดออกไป " ไปทำบุญกันไม๊ " อ๊ากกกกกกกูไม่ได้คิดเเบบนั้นน เธอตอบรับคำชวนผมอย่างไม่ลังเลใจเลย สักประมานครึ่งชมเราก็มาถึงวัดที่เราจะมาทำบุญกัน หลังจากที่เราทำบุญกันให้อาหารปลาอาหารเต๋า ก็ต้องถึงเวลาที่เราต้องเเยกย้ายกันไป ผมไปส่งเธอที่ MRT หัวลำโพง วันนี้เป็นวันที่หัวใจชุ่มชื่นจนบอกไม่ถูก
เออ ลืมบอกไป เธออายุมากกว่าผมปีนึง เธอกำลังจะเป็น นักษามหาลัย ส่วนผมกำลังจะขึ้น ม.6 เราก็คุยกันเรื่อยมา ออกไปเจอกันมากขึ้น
ความสัมพันธ์เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นจะมีโปรเเกรมที่ชื่อว่า Hi5 (จำได้ว่าผมเอาเธอขึ้น top friend ตรงกลาง อิอิ )
ประมาน 2เดือน เราก็เป็นเเฟนกันเเบบ งง ๆ ทุกวันสำหรับของทุกเดือน หรือวันเทศกาลต่างๆ เธอจะมีของขวัญมาให้ผมเสมอ เชื่อไม๊ ผมยัง งง กับตัวเองอยู่ ว่ากูจีบติดได้ไงว่ะเนี่ย โอโหดีกว่าเธอ ก็คงมีเเต่เเม่ชี จนถึงช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินใจ ชีวิตการเรียนของเธอ ในตอนนั้นเธอเอ็นทรานซ์ ได้มหาลัยชื่อดัง ทั้ง2ที่ ที่นึงอยู่เเถวสามย่าน อีกที่เเถวรังสิต ถ้าเธอเลือกเเถวรังสิต การเดินทางที่ผมจะไปหาเธอคงยากลำบากเเน่ๆ สำหรับเด็กมัธยมค่าขนมไม่กี่สตางค์ เเต่เเล้วโชคก็เข้าข้างผมอีกเเล้ว อิอิ เธอตัดสินใจเลือก มหาลัยเเถวสามย่าน
( ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดเสมอ ที่เธอเลือกมาเรียนที่นี่เป้นเพราะผมหรือป่าว ) ชีวิตเราดำเนินไปได้อย่างสวยงาม เวลาผมเลิกเรียนเธอจะมารอที่โรงเรียนผมเสมอ เหมือนผู้ปกครองมารับ5555 เเต่ถ้ามีความสุขเเบบเดียวมันจะเป้นมันอะไร มันก้ต้องมีความทุกข์เเทรกบ้าง ปัญหาที่เราไม่เคยคิดถึงมันก้เริ่ม เกิดขึ้นมา ผมเริ่มติดเพื่อน ติดเที่ยวเพราะใกล้จบม.6 เเละ เธอเริ่มจุ้นจ้าน ขี้ระเเวง ขี้สงสัย จนเกิดการทะเลาะกัน งอลกัน
บ้างครั้งถึงขั้น บอกเลิกกันก็มี เเต่ดีที่ตอนนั้นเรายังรักกันมากพอ ที่เราจะยังพยุงความสัมพันธ์ของเราให้ผ่านช่วงนั้นมาได้
จนถึงช่วงเมทัลของชีวิตผม ผมเรียนหนังสือไม่เอาไหน ม.6 ก้ยังไม่จบ ติดอยู่เกือบ 24 ตัว เธอก็พูดกรอกหูผมทุกวัน " ซ่อมเหลือกี่ตัวเเล้ว อันไหนทำไม่ทันเดียวทำให้ " น้ำตาจะไหลเเสนดีเหลือเกิน ผมเริ่มใช้ชีวิตโดยมองเธอเป็นของตาย เริ่มทำตัวเเย่ลงเเย่ลง
จนเริ่มใช้ถอยคำหยาบคายกับเธอเป็นประจำเสมอ เริ่มทำให้เธอร้องไห้ จนเธอร้องไห้เป็นเรื่องปกติ ( สารเลวจริงๆ )
จนมีอยู่วันนึงอยู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา " ตอนนี้เรายังรักเธอ เธอจะเป็นอย่างไงเราก็รัก เเต่ถ้าวันนึงเราหมดรัก เเต่จะดีเเค่ไหนเราก็ไม่รัก "
พอผมได้ยินคำพูดนั้นจากเธอมันผมให้ผมฉุกคิด ไปสักพักนึง เเล้วผมก็ปล่อยมันผ่านไป
1 ปีกะอีกกี่เดือนจำไม่ได้ ถึงตาผมเป็นฝ่ายเข้ามหาลัยบ้างเเละ ด้วยความที่ผมเรียนไม่เก่ง เลิกหวังกับการเอนทราซ์เลย เเต่ก็ว่าเเละเธอเป็นดั่งเเม่คนที่ 2 มหาลัยที่ผมจะเข้าเธอก็จะเป็นคนพาไป มหาลัยที่เเรก กำลังจะไปสมัคร ก็ทะเลาะกันอีก เห้อ ชีวิต มหาลัยที่ 2 พอสมัครเสร็จ ผมก็ทิ้งเธอให้กลับบ้านคนเดียวอีก ( ใจหมาจริงๆ ) ตอนนี้ผมคือเจ้าชีวิตเธอโดนสมบูรณ์เเบบ 555555 จบภาพย์ มัธยม
หลังจากห่างหายไปนาน เรามาต่อความสนุกกันต่อดีฟ่า อิอิ
ต่อจากความเดิมตอนที่เเล้ว หลังจากที่ผมได้เข้าศึกษาที่มหาลัยเเห่งนึง ย่านสวนสัตว์ดุสิต ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบเรียบไปซะทุกอย่างทั้งความรัก การเรียน ทุกอย่างดุสวยหรูจนหน้ากลัว ตอนเช้าไปนั่งกินข้าวกับเเฟน เเล้วผมก้ไปส่งเเฟนที่มหาลัย ตอนบ่ายผมก็ไปเรียน ตอนเย็นเเฟนก็จะมาหาผมที่มหาลัย ผมก็จะไปส่งเเฟนกลับบ้าน เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน ชีวิตโครตดีเลย เเต่เเล้วชีวิตผมก็มาได้ยินคำๆหนึ่งจากปากเเฟนผมที่ทำให้ประหลาดใจ
" ละครเวที " ผมฟังคำนี้เเล้วรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้ ฟังเเล้วรู้สึกไม่ถูกชะตากับเส้นทางชีวิตของตัวเองที่จะมีคำๆนี้มาอยู่กับชีวิตประจำวัน เเฟนผมชอบละครเวทีหรืออะไร ยังไง ??? เธอเปลี่ยนเส้นทางจากเด็กอักษร มาชอบด้านนี้ได้ยังไง
ผมก็พยายามเฉยๆ ก็คิดว่า อาจจะเป็นสังคมสิ่งเเวดล้อมที่เธออยู่นำพาเธอไป ผมคิดว่าคงจะไม่มีผลอะไรกับการใช้ชีวิตคู่ของเราหรอก
" กูคิดผิด " จากการที่เราไปดูหนังในโรงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป เราต้องไปนั่งดู ละครเวที บางเวทีก็มีเสียง บางเวทีก็เงียบเฉียบ บรรยากาศข้างในโรงละครเวทีเเต่ละที่ไม่เหมือนกัน บางโรงบรรยากาศเหมือนห้องดับจิตมองไปทางไหนก็เจอเเต่ซอมบี้ คนพวกนี้เหมือนกำลังบูชาลักธิอะไรสักอย่าง ผมยังคิดในใจเลยพวกนี้มันขายวิญญาญให้ซาตานไปเเน่ๆเเต่อันนี้ยังไม่เท่าไร ต้องเจอละครเวทีเเห่งหนึ่งที่จัดเส้นพระอาทิตย์
สถานที่นี้เหมือนเป็นศูนย์รวม คนที่มี IQ 400+ เเน่ๆ ข้างในมีเเต่ความเงียบไม่พูดอะไรกัน สีหน้าเเต่ละคนบ่งบอกอารมไปในทิศทางเดียวกันเสมอ อยู่ๆก็ยิ้ม อยุ่ๆก็หน้านิ่ง โดยที่ไม่มีการสื่อสารอะไรที่ผมเข้าใจซักอย่าง เห้ออ ผมทนกับการไปดูละครเวทีโดยที่ผมต้องตอบ เเฟนผมทุกครั้งเวลาเธอถามผม " ว่าชอบไม๊ " ผมตอบเธอเเบบจริงใจสุดๆ ชอบดิโครตสนุกเลยเข้าใจทุกเรื่องจนต้องยกนิ้วให้ " นิ้วกลางนะอีห่า "
ละครเวที ยังไม่เท่าไรพอเข้าใจ เเต่เรื่องที่ผมช็อคสุดๆคงจะเป็นคำว่า " โปสการ์ด " ชีวิตผมอยุ่ๆเธอก็พาผมเข้าสู่ยุดดึกดำบรรพ์
" โปสการ์ด " เวลาเธอไปเที่ยวจังหวัด หรือไปสถานที่ใดที่ไหนมีร้านขายโปสการ์ด เธอจะตรงดิ่งเข้าไปโดยไม่ลังเลใจ
เหมือนเดิมเธอก็จะหันมาถามผม สวยไม๊ อิอิ สวยดิอีห่าน่ะไม่ใช่โปสการ์ด !! ตั้งเเต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องเเม่มีจดหมายส่งถึงผมไม่ถึง 10 ฉบับ เเต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเเล้ว เป็นอาทิตย์ละ 1-2 ฉบับ ประเด็นคือ เธอเขียนอะไรมา กว่าผมจะได้อ่าน คนที่บ้านก็อ่านกันไปหมดเเล้ว
ผมก็พยายามบอกเธอน่ะ เราโทรคุยกัน BB หากันก็ได้ ยังไม่ทันไร เธอก็จะด่าจะบ่นเป็นภาษาชาวโปสการ์ด เเล้วก็เงียบเเบบชาวละครเวที
" นี่กูผิดหรอ " เออผมผิดเองเเละจะส่งอะไรก้ส่งมาเถอะ ตลอดเวลาตอนที่เราครบกันก็เกือบ 1 ปีกว่าได้ ความสวยเธอยังคงไม่สร่างลงไปมีเเต่มากขึ้นมากขึ้น "ไม่ใช่ความสวยน่ะ น้ำหนัก " เธอดูจ้ำม้ำขึ้นผิดหูผิดตา น้ำหนักในการลงไม้ลงมือเเต่ละทีดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไปตามน้ำหนักตัว ผมก็บอกเธอบ่อยน่ะ เริ่มอวบเเล้วน่ะ กินน้อยๆหน่อย เดียวไม่สวยน่ะ เธอหันหน้ามาทำหน้าบูดใส่ เเล้วก็พูดว่า " จริงหรอนี่เราอ้วนขึ้นเเล้วหรอ ทำไงดี เสียใจ พุ่งนี้ไปสมัครฟิตเนตกัน...... เห้อไว้ก่อนละกัน พุ่งนี้อยากกินสดจิ้ม หน้าสวนกุหลาบ "
" โถ่อีสัปะหลาด "
เเต่ตลอดเวลาที่คบกันมาผมแปลกใจอยู่เรื่องนึง ทำไมผมไม่เคยคิดจะนอกใจเธอเลย ผมแปลกใจเรื่องนี้มาก ด้วยสันดารส่วนตัวผมเป็นคนสักหมาในระดับหนึ่ง มันเลยทำให้ผมคิดถึงการ์ตูน วอลดิสนีย์ เรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร เรื่องนี้มันเเต่งมาเพื่อชีวิตผมชัดๆ
" ความรักครั้งนี้เเละเธอคนนี้คงเป็นคนสุดท้ายในชีวิตผม ........ถ้าเธออีกคนไม่เข้ามา "
จบตอนย่อย ปี1 เทอม 1
" เราอาจจะรู้ตัวว่ารักไปเเล้ว เเต่อาจจะไม่รู้ตัวว่ารักมากขนาดไหน ไม่มีหรอกรักก็คือรัก มีเเต่รักมากหรือรักน้อยเท่านั้นเอง"
เคมีตรงกัน เเต่ผสมกันไม่ลงตัว
สิ่งเเรกที่เราได้ คือ e-mail ของผู้หญิงนั้น อิอิ ความดิสเพลย์เธอเบลอเหลือเกิน (สมัยนั้นภาพHDไม่มี) ด้วยความที่เราหน้าตาไม่ดีเเต่เราเป็นคนพูดเก่งออกเเนวกวนตีนก้ชวนเธอคุยสารพัด เเละเธอก็ไม่มีเเนวโน้มที่จะรังเกลียดผมเเม้เเต่นิดเดียว เราคุยกันได้เกือบอาทิตย์ ผมก็ขอเบอร์โทรศัพท์เธอ
เธอก็ให้เบอร์โทรศัพท์กับผมนะ ตอนเราโทรไปครั้งเเรก (เสียงเธอเหมือนซิ้มตามสำเพ็ง) เราก็คุยกันทาง Msn บ้าง โทรศัพท์บ้าง สมัยนั้นผมใช้ PCT คุยไปเถอะ คุยจนเหงือกเเห้ง ก็ไม่หวั่น
เราคุยกันได้เกือบ2อาทิตย์ จนผมเริ่มอยากเจอเธอเเล้ว เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเริ่มเเซวประมานว่า " คุยกันเเบบนี้เคยเจอหน้ากันยังว่ะ " จนผมขอนัดเจอกับเธอ ประมานว่าออกเดท ผมถามเธอนัดเจอกันที่ไหนดี เธอก็พูดว่า " ตอนนี้มีสัปดาห์หนังสือ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต "
ซวยเเล้วกูมันคืองานอะไร มันอยู่ที่ไหน ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายเราก็ตอบกลับไปเเบบไม่ให้เสียหน้า " ok เจอกันพรุ่งนี้อยากซื้อหนังสือพอดี "
09.30 ของอีกวัน เธอนัดผม 09.00 เเต่ผมตื่น 9.30 ในใจผมเอาเเละ ไม่อยากไปเเละ ไปก็คงโดนด่า หรือไม่เธอก็คงกลับไปเเล้วเเน่ๆ พูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ผมก้สั่นขึ้นมา เสียงจากที่ปลายเสียง เสียงเธอช่างดูมีความสุขเหลือเกิน " อยู่ไหนนนนนเเล้วววว " อ่อ เราไกลถึงเเละอีก10นาที ' ยังจีบไม่ติดผมก็โกหกเธอซะเเละ 10.30 ผมก็มาถึง ผมเดินอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีที่สุดกับหัวเกรียนขาวๆ
ผมเดินหาที่ที่ผมจะปักหลักยืนในการเฝ้ามองหาเธอ เพื่อผมจะได้เจอหน้าเธอก่อน คราวนี้ผมเป้นฝ่ายเธอตามเธอบ้าง เธอบอกผมเธออยู่ข้างหน้า
ผมกวาดสายตาไปทั่วจนผมเจอ ผู้หญิงอยู่คนหนึ่งสะดุดตามาก " โอโห....โอโห คือที่คุยกะกูเป็นอาทิตย์หรอเนี่ยยย " พวกคุณที่อ่านอยู่ผมจะบรรยายเป็นอักษรให้พวกคุณเข้าถึงมากที่สุด " ใบหน้าของเธอรุปไข่ หน้านี่ขาวใสยังกะเเดกไฟนีออน ดวงตาของเธอเเบ๋วอย่างกะนางเอกหนังจีน หลิว อี้เฟย ปากของเธอคงไม่ต้องบรรยายเเล้ว เเค่เธอยิ้มสงครามที่มีอยุ่ทั่วโลกคงหยุดลง " สรุป โครตน่ารักเลยสวยว่ะ
เรา2คน ค่อยๆเดินเข้าไปหากัน คำเเรกที่เธอพูดกับผมตอนที่เราเจอกันครั้งเเรก " สวัสดี " ชีวิตนี้ได้ยินคำว่าสวัสดีเป็นหมื่นเป็นเเสน
ไม่เคยเจอสวัสดีที่ไหน ไพเราะเท่านี้มาก่อน ช่วงเวลานั้นนิยามของคนอื่นคือโลกหยุดหมุน เเต่สำหรับผมความรู้สึกเหมือนปล้นธนาคารเเล้วหนีตำรวจยังไงยังงั้นเลย ผมกับเธอ เราใช้เวลาเดินซื้อหนังสือกันเดินดูโน้นดูนี่ จนเกือบ บ่ายโมงเเละ กิจกกรรมต่อไปคือไรดีล่ะ หึหึหึ จะพาผู้หญิงน่ารักสวยๆ เเบบนี้ไปไหนดีน่ะ อิอิ ผมชวนเธออยากไม่คิดด้วยความปากไวเลยพูดออกไป " ไปทำบุญกันไม๊ " อ๊ากกกกกกกูไม่ได้คิดเเบบนั้นน เธอตอบรับคำชวนผมอย่างไม่ลังเลใจเลย สักประมานครึ่งชมเราก็มาถึงวัดที่เราจะมาทำบุญกัน หลังจากที่เราทำบุญกันให้อาหารปลาอาหารเต๋า ก็ต้องถึงเวลาที่เราต้องเเยกย้ายกันไป ผมไปส่งเธอที่ MRT หัวลำโพง วันนี้เป็นวันที่หัวใจชุ่มชื่นจนบอกไม่ถูก
เออ ลืมบอกไป เธออายุมากกว่าผมปีนึง เธอกำลังจะเป็น นักษามหาลัย ส่วนผมกำลังจะขึ้น ม.6 เราก็คุยกันเรื่อยมา ออกไปเจอกันมากขึ้น
ความสัมพันธ์เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นจะมีโปรเเกรมที่ชื่อว่า Hi5 (จำได้ว่าผมเอาเธอขึ้น top friend ตรงกลาง อิอิ )
ประมาน 2เดือน เราก็เป็นเเฟนกันเเบบ งง ๆ ทุกวันสำหรับของทุกเดือน หรือวันเทศกาลต่างๆ เธอจะมีของขวัญมาให้ผมเสมอ เชื่อไม๊ ผมยัง งง กับตัวเองอยู่ ว่ากูจีบติดได้ไงว่ะเนี่ย โอโหดีกว่าเธอ ก็คงมีเเต่เเม่ชี จนถึงช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินใจ ชีวิตการเรียนของเธอ ในตอนนั้นเธอเอ็นทรานซ์ ได้มหาลัยชื่อดัง ทั้ง2ที่ ที่นึงอยู่เเถวสามย่าน อีกที่เเถวรังสิต ถ้าเธอเลือกเเถวรังสิต การเดินทางที่ผมจะไปหาเธอคงยากลำบากเเน่ๆ สำหรับเด็กมัธยมค่าขนมไม่กี่สตางค์ เเต่เเล้วโชคก็เข้าข้างผมอีกเเล้ว อิอิ เธอตัดสินใจเลือก มหาลัยเเถวสามย่าน
( ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดเสมอ ที่เธอเลือกมาเรียนที่นี่เป้นเพราะผมหรือป่าว ) ชีวิตเราดำเนินไปได้อย่างสวยงาม เวลาผมเลิกเรียนเธอจะมารอที่โรงเรียนผมเสมอ เหมือนผู้ปกครองมารับ5555 เเต่ถ้ามีความสุขเเบบเดียวมันจะเป้นมันอะไร มันก้ต้องมีความทุกข์เเทรกบ้าง ปัญหาที่เราไม่เคยคิดถึงมันก้เริ่ม เกิดขึ้นมา ผมเริ่มติดเพื่อน ติดเที่ยวเพราะใกล้จบม.6 เเละ เธอเริ่มจุ้นจ้าน ขี้ระเเวง ขี้สงสัย จนเกิดการทะเลาะกัน งอลกัน
บ้างครั้งถึงขั้น บอกเลิกกันก็มี เเต่ดีที่ตอนนั้นเรายังรักกันมากพอ ที่เราจะยังพยุงความสัมพันธ์ของเราให้ผ่านช่วงนั้นมาได้
จนถึงช่วงเมทัลของชีวิตผม ผมเรียนหนังสือไม่เอาไหน ม.6 ก้ยังไม่จบ ติดอยู่เกือบ 24 ตัว เธอก็พูดกรอกหูผมทุกวัน " ซ่อมเหลือกี่ตัวเเล้ว อันไหนทำไม่ทันเดียวทำให้ " น้ำตาจะไหลเเสนดีเหลือเกิน ผมเริ่มใช้ชีวิตโดยมองเธอเป็นของตาย เริ่มทำตัวเเย่ลงเเย่ลง
จนเริ่มใช้ถอยคำหยาบคายกับเธอเป็นประจำเสมอ เริ่มทำให้เธอร้องไห้ จนเธอร้องไห้เป็นเรื่องปกติ ( สารเลวจริงๆ )
จนมีอยู่วันนึงอยู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา " ตอนนี้เรายังรักเธอ เธอจะเป็นอย่างไงเราก็รัก เเต่ถ้าวันนึงเราหมดรัก เเต่จะดีเเค่ไหนเราก็ไม่รัก "
พอผมได้ยินคำพูดนั้นจากเธอมันผมให้ผมฉุกคิด ไปสักพักนึง เเล้วผมก็ปล่อยมันผ่านไป
1 ปีกะอีกกี่เดือนจำไม่ได้ ถึงตาผมเป็นฝ่ายเข้ามหาลัยบ้างเเละ ด้วยความที่ผมเรียนไม่เก่ง เลิกหวังกับการเอนทราซ์เลย เเต่ก็ว่าเเละเธอเป็นดั่งเเม่คนที่ 2 มหาลัยที่ผมจะเข้าเธอก็จะเป็นคนพาไป มหาลัยที่เเรก กำลังจะไปสมัคร ก็ทะเลาะกันอีก เห้อ ชีวิต มหาลัยที่ 2 พอสมัครเสร็จ ผมก็ทิ้งเธอให้กลับบ้านคนเดียวอีก ( ใจหมาจริงๆ ) ตอนนี้ผมคือเจ้าชีวิตเธอโดนสมบูรณ์เเบบ 555555 จบภาพย์ มัธยม
หลังจากห่างหายไปนาน เรามาต่อความสนุกกันต่อดีฟ่า อิอิ
ต่อจากความเดิมตอนที่เเล้ว หลังจากที่ผมได้เข้าศึกษาที่มหาลัยเเห่งนึง ย่านสวนสัตว์ดุสิต ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบเรียบไปซะทุกอย่างทั้งความรัก การเรียน ทุกอย่างดุสวยหรูจนหน้ากลัว ตอนเช้าไปนั่งกินข้าวกับเเฟน เเล้วผมก้ไปส่งเเฟนที่มหาลัย ตอนบ่ายผมก็ไปเรียน ตอนเย็นเเฟนก็จะมาหาผมที่มหาลัย ผมก็จะไปส่งเเฟนกลับบ้าน เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน ชีวิตโครตดีเลย เเต่เเล้วชีวิตผมก็มาได้ยินคำๆหนึ่งจากปากเเฟนผมที่ทำให้ประหลาดใจ
" ละครเวที " ผมฟังคำนี้เเล้วรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้ ฟังเเล้วรู้สึกไม่ถูกชะตากับเส้นทางชีวิตของตัวเองที่จะมีคำๆนี้มาอยู่กับชีวิตประจำวัน เเฟนผมชอบละครเวทีหรืออะไร ยังไง ??? เธอเปลี่ยนเส้นทางจากเด็กอักษร มาชอบด้านนี้ได้ยังไง
ผมก็พยายามเฉยๆ ก็คิดว่า อาจจะเป็นสังคมสิ่งเเวดล้อมที่เธออยู่นำพาเธอไป ผมคิดว่าคงจะไม่มีผลอะไรกับการใช้ชีวิตคู่ของเราหรอก
" กูคิดผิด " จากการที่เราไปดูหนังในโรงเหมือนวัยรุ่นทั่วไป เราต้องไปนั่งดู ละครเวที บางเวทีก็มีเสียง บางเวทีก็เงียบเฉียบ บรรยากาศข้างในโรงละครเวทีเเต่ละที่ไม่เหมือนกัน บางโรงบรรยากาศเหมือนห้องดับจิตมองไปทางไหนก็เจอเเต่ซอมบี้ คนพวกนี้เหมือนกำลังบูชาลักธิอะไรสักอย่าง ผมยังคิดในใจเลยพวกนี้มันขายวิญญาญให้ซาตานไปเเน่ๆเเต่อันนี้ยังไม่เท่าไร ต้องเจอละครเวทีเเห่งหนึ่งที่จัดเส้นพระอาทิตย์
สถานที่นี้เหมือนเป็นศูนย์รวม คนที่มี IQ 400+ เเน่ๆ ข้างในมีเเต่ความเงียบไม่พูดอะไรกัน สีหน้าเเต่ละคนบ่งบอกอารมไปในทิศทางเดียวกันเสมอ อยู่ๆก็ยิ้ม อยุ่ๆก็หน้านิ่ง โดยที่ไม่มีการสื่อสารอะไรที่ผมเข้าใจซักอย่าง เห้ออ ผมทนกับการไปดูละครเวทีโดยที่ผมต้องตอบ เเฟนผมทุกครั้งเวลาเธอถามผม " ว่าชอบไม๊ " ผมตอบเธอเเบบจริงใจสุดๆ ชอบดิโครตสนุกเลยเข้าใจทุกเรื่องจนต้องยกนิ้วให้ " นิ้วกลางนะอีห่า "
ละครเวที ยังไม่เท่าไรพอเข้าใจ เเต่เรื่องที่ผมช็อคสุดๆคงจะเป็นคำว่า " โปสการ์ด " ชีวิตผมอยุ่ๆเธอก็พาผมเข้าสู่ยุดดึกดำบรรพ์
" โปสการ์ด " เวลาเธอไปเที่ยวจังหวัด หรือไปสถานที่ใดที่ไหนมีร้านขายโปสการ์ด เธอจะตรงดิ่งเข้าไปโดยไม่ลังเลใจ
เหมือนเดิมเธอก็จะหันมาถามผม สวยไม๊ อิอิ สวยดิอีห่าน่ะไม่ใช่โปสการ์ด !! ตั้งเเต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องเเม่มีจดหมายส่งถึงผมไม่ถึง 10 ฉบับ เเต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเเล้ว เป็นอาทิตย์ละ 1-2 ฉบับ ประเด็นคือ เธอเขียนอะไรมา กว่าผมจะได้อ่าน คนที่บ้านก็อ่านกันไปหมดเเล้ว
ผมก็พยายามบอกเธอน่ะ เราโทรคุยกัน BB หากันก็ได้ ยังไม่ทันไร เธอก็จะด่าจะบ่นเป็นภาษาชาวโปสการ์ด เเล้วก็เงียบเเบบชาวละครเวที
" นี่กูผิดหรอ " เออผมผิดเองเเละจะส่งอะไรก้ส่งมาเถอะ ตลอดเวลาตอนที่เราครบกันก็เกือบ 1 ปีกว่าได้ ความสวยเธอยังคงไม่สร่างลงไปมีเเต่มากขึ้นมากขึ้น "ไม่ใช่ความสวยน่ะ น้ำหนัก " เธอดูจ้ำม้ำขึ้นผิดหูผิดตา น้ำหนักในการลงไม้ลงมือเเต่ละทีดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไปตามน้ำหนักตัว ผมก็บอกเธอบ่อยน่ะ เริ่มอวบเเล้วน่ะ กินน้อยๆหน่อย เดียวไม่สวยน่ะ เธอหันหน้ามาทำหน้าบูดใส่ เเล้วก็พูดว่า " จริงหรอนี่เราอ้วนขึ้นเเล้วหรอ ทำไงดี เสียใจ พุ่งนี้ไปสมัครฟิตเนตกัน...... เห้อไว้ก่อนละกัน พุ่งนี้อยากกินสดจิ้ม หน้าสวนกุหลาบ " " โถ่อีสัปะหลาด "
เเต่ตลอดเวลาที่คบกันมาผมแปลกใจอยู่เรื่องนึง ทำไมผมไม่เคยคิดจะนอกใจเธอเลย ผมแปลกใจเรื่องนี้มาก ด้วยสันดารส่วนตัวผมเป็นคนสักหมาในระดับหนึ่ง มันเลยทำให้ผมคิดถึงการ์ตูน วอลดิสนีย์ เรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร เรื่องนี้มันเเต่งมาเพื่อชีวิตผมชัดๆ
" ความรักครั้งนี้เเละเธอคนนี้คงเป็นคนสุดท้ายในชีวิตผม ........ถ้าเธออีกคนไม่เข้ามา "
จบตอนย่อย ปี1 เทอม 1
" เราอาจจะรู้ตัวว่ารักไปเเล้ว เเต่อาจจะไม่รู้ตัวว่ารักมากขนาดไหน ไม่มีหรอกรักก็คือรัก มีเเต่รักมากหรือรักน้อยเท่านั้นเอง"