หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
ครั้งแรกกับการนั่งรถไฟฟรีไปสังขละบุรี!
กระทู้สนทนา
บันทึกนักเดินทาง
รถไฟ
เที่ยวไทย
เมื่อเสาร์อาทิตย์ต้นเดือนตุลาที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปจอยทริปรถไฟกับเพื่อนโดยบังเอิญ เนื่องจากเพื่อนของเราคนนี้นางอยากไปสังขละบุรีมาก ถึงกับหาเวลาว่างเดินทางมาจากต่างจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอน เสร็จสิ้นธุระที่เมืองหลวงแล้วก็ขอให้ไปสังขละบุรีให้จงได้ แต่แผนที่นางวางไว้ตอนแรกกับเพื่อนอีกคนนึงดันไม่ถึงฝั่งฝันเพราะเพื่อนคนนั้นติดภาระกิจสำคัญกะทะหันทำให้ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนร่วมทางกับนางได้ เรื่องนี้ก็เลยมาเข้าหูเราและพอได้ฟังว่า แม้จะไม่มีใครไปด้วยก็จะขอนั่งรถไฟไปแต่เพียงผู้เดียวให้จงได้ (เพื่อนเป็นคนหน้าตาดีและยังโสด) ด้วยความห่วง(ความโสด)เพื่อน เราจึงอาสาร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อน (ยังไงก็ดีกว่าให้เพื่อนไปคนเดียวล่ะวะ!) และยังได้ผู้ร่วมเดินทางในก๊วนมหาลัยเพิ่มมาอีกหนึ่งนาย เพื่อนนายคนนี้ยังไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อนและท่าจะอยากลองนั่งเป็นประสบการณ์ชีวิตซักครั้งแบบจริงๆจังๆ และการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น ตั้งใจเดินทางไปกันแบบง่ายๆ แบ็คแพค ทริป1คืนสองวันแค่นั้นเอง !
วันแรก: ตื่นมาแต่ ตี 5 เพื่อมาขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย เที่ยว7:50 แต่จริงๆออกแปดโมงนิดๆ ฝนเทมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็คิดในใจละว่ายังไงก็หน้าฝน ฝนตกเป็นเรื่องธรรมดา ยังไงก็ไปต่อเพราะเพื่อนก็ตั้งใจกันไว้แล้ว ไปอ่านกระทู้มาก่อนเล็กน้อยในพันทิปนี่แหละจากคุณหลายๆ คนเอาข้อมูลมารวมๆกัน (ต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ) เค้าบอกว่าต้องนั่งฝั่งซ้าย แต่เนื่องจากฝนตกและทุกคนแย่งกันขึ้นรถไฟ เราเลยได้นั่งฝั่งขวา ตอนนั้นก็คิดนะว่า เดี๋ยวคงมีคนลงระหว่างทางคงได้ย้ายไปฝั่งซ้าย แต่บอกเลยว่าคิดผิด! รถไฟออกจาก กทมพร้อมฝนที่เทกระหน่ำลงมาจนถึงช่วงสาย สภาพรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารเปียกปอน กลิ่นของเสื้อผ้าอับชื้นเนื่องจากเปียกฝน ผสมกับกลิ่นฝนและลมอ่อนที่โชยเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ ที่เปิดไว้แค่หนึ่งในสี่ ทำให้หลายคนที่รู้สึกเพลียเพราะตื่นเช้ามาอยู่แล้ว ผล็อยหลับไปเป็นช่วงๆ บนรถไฟสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มาเป็นกลุ่มๆและเป็นคู่ๆ นั่งคุยกัน ถ่ายรูปเล่นบ้าง คนทั่วไปที่โดยสารรถขบวนนี้กลับบ้านแถบนครปฐมหรือกาญจนบุรีคงชินตากับภาพแบบนี้ แม่ค้าพ่อค้าหายของกินมาขาย หลัก ๆก็ ไข่ต้ม ผัดหมี่ห่อละ 10 บาท ได้ซักสองคำพอดี น้ำดื่มทั้งหลายแหล่ ตอนแรกก็ไม่หิว กะว่าจะเจอแม่ค้าหน้าใหม่ๆจากสถานีอื่นๆ แต่ก็ไม่เลย ไม่ค่อยจะมีหน้าใหม่ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นเฉพาะแม่ค้าพ่อค้าหน้าเดิมๆ เหล่านี้อยู่กับเราไปจนสุดสายที่สถานีน้ำตก นั่งรถไฟไป มองบรรรยากาศภายนอกฟ้าเริ่มโปร่ง แดดเริ่มทอแสง ใกล้เที่ยงกว่าเราเพิ่งมาถึงกาญจนบุรี ข้ามสะพานแม่น้ำแคว แล้วรถไฟก็ค่อยๆเคลื่อนขบวนเนิบนาบ ไต่ริมเขาผ่านตรงจุดที่สวยงามที่สุดของทางรถไฟสายมรณะ เนื่องจากเรานั่งฝั่งขวาเลยไม่เห็นอะไรมากนอกจากหิน ฝั่งภุเขา เรามาถึงสถานีน้ำตกเวลาเกือบบ่ายสอง (ในตั๋วเขียนเที่ยงครึ่ง)
ทันทีที่ถึงก็แวะเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูปกับป้ายสถานีพอเป็นพิธีก็ถามหารถสองแถวไปต่อรถเพื่อไปสังขละ ตรงหน้าสถานีมีรถสองแถวรออยู่คนละ 20-30 บาท พาไปส่งขึ้นรถบัสพัดลมไปทางอำเภอทองผาภูมิ และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนรถบัสอีกคันที่ อ ทองผาภูมิเพื่อไปสังขละบุรี ค่าโดยสารรถเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ไม่เกิน 200 เรานั่งรถไป รถวิ่งตัดอุทยานแห่งชาติ ขึ้นเขาชันพอสมควร มีลุ้นบ้างบางโค้ง ในที่สุดเราก็มาถึง อ สังขละบุรี ตอนหกโมง ทุกคนดีใจมาก นั่งวินไปที่พัก20บาท อ่อ เราพักที่ พี เกสเฮ้าส์ ก็ได้ข้อมูลมาจากท่านๆที่ได้มารีวิวไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน (ขอบคุณมากค่า) มาถึงที่พัก ก็เห็นมีคนสองสามคนคุยเรื่องรถเช่าอยู่แถวๆ รีเซพชั่น เราไปก็ยืนรอ เพื่อจะเช็คอิน มีเจ้าหน้าที่อยู่ สามท่าน ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงสองท่าน น้องผู้หญิงคนนึงทักมาว่าขอทราบชื่อ เราก็แจ้งไปตามระเบียบพร้อมบอกจองไว้แล้ว เอาเป็นว่าขั้นตอนการเช็คอินของทีนี่ค่อนข้างจะสับสนและใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นไม่รู้ท่านอื่นเจอเหมือนเราไหม เราสรุปให้ฟังเลยแล้วกัน เนื่องมาจากว่า เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนึงที่ดูจะใหญ่ทับเจ้าหน้าที่ท่านอื่น พูดเสียงดังและไม่มีหางเสียง ห้วนๆ นางพยานามจะจัดการเองทุกอย่าง เลยสับสนงุงงงกันไปหมด ว่าอะไรเป็นอะไรกว่าจะเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นเกือบยี่สิบนาที ทันทีที่เอาของเก็บเข้าห้องก็ไปถ่ายรูป เก็บวิวยามเย็นเล็กน้อย ก่อนแสงจะหมด อ้อ ที่พักที่นี่ราคาในเว็บบอก250 ต่อคืนห้องน้ำรวม แต่พอมาถึงบอกว่าปรับขึ้นเป็นคืนละ 300 (เงิบ!) ก็ไม่เป็นไร 50 บาท มาตั้งไกล ห้องเราเป็นแบบห้องน้ำรวม ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า ในห้องพักสะอาดเรียบร้อยดี มีเตียงและผ้าห่มการบินไทย เป็นห้องพัดลม เราต้องเตรียมของใช้ส่วนตัวไปเองทั้งหมด ไม่มีผ้าขนหนูให้นะคะ แต่ห้องน้ำรวมก็แยกชายหญิงเป็นสัดส่วน สะอาดและกว้างขวาง บรรยากาศโดยรวมของที่พักถือว่าดี และคุ้มค่า เพราะอยู่ติดแม่น้ำ และเห็นวิวของสะพานมอญด้วย เสร็จสิ้นจากการถ่ายรูปเราก็ไปเดินตลาดคนเดิน ปั่นจักรยานไป เช่ามาวันละ 100 บาท ถ้ามอไซด์วันละ 200 บาท ปั่นขึ้นเนินพอได้เหงื่อเปียกเต็มเสื้อก็มาถึงตลาดพอดี ถนนคนเดินของที่นี่มีสองซอย ไม่ต้องกลัวหลง อาหารที่เค้าว่าต้องลองก็มีหมูจุ่มพม่า ไม้ละบาท ขนมจีนน้ำยาหยวก ร้านหมูจุ่มนี่คนเยอะมาก เพือนเราบอกอร่อย เพราะนางชอบเครื่องใน ส่วนคนไม่ชอบเครื่องในอาจไม่ค่อยถูกปากเพราะหมูจุ่มพม่านั้น ในหม้อมีแต่หนังหมูและเครื่องในเป็นหลัก ขนมจีนน้ำยาหยวกเราว่ารสชาติแปลกดี เรากินเสร็จก็เดินช้อปปิ้ง ได้เสื้อพื้นเมืองมาคนละชุด ราคาชุดละ 200 บาท เม้ามอยวางแผนว่าจะตักบาตรกันตอนเช้า แล้วฝนก็เริ่มเทลงมา เดินดูของในตลาดอีกนิดแล้วก็ปั่นกลับที่พัก อาบน้ำเข้านอน ตั้งนาฬิกาปลุกตี 5!
วันที่สอง: ตื่นตอนตีห้า งัวเงียลุกมาอาบน้ำ แต่งตัว ชมบรรยากาศยามเช้า สดชื่น หมอกบางๆ แต่รู้สึกดีมาก หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ปั่นจักรยานไปยังสะพานมอญ ซื้อชุดตักบาตรตรงหน้าสะพานชุดละ20 บาท ระหว่างที่เดินไปสะพานมอญจะมีพระสงฆ์บางรูป กำลังเดินบิณฑบาตบ้าง เด็กๆชาวมอญแต่งกายแบบพื้นเมืองคือ ผ้าถุง เสื้อแขนยาว และแต่งแก้มเป็นจุด กลมๆ ด้วยแป้งทานาคา น่ารักดี เด็กๆเหล่านี้คุยเก่งมาก สังเกตจะมีป้ายบอกตำแหน่งคือ ไกด์ท้องถิ่นนั่นเอง น้องๆเค้าจะมาชวนเราคุยพร้อมอธิบายประวัติความเป็นมาของสะพาน เราถามอะไรมาน้องเค้าก็จะพยายามตอบได้หมด นักท่องเที่ยวก็เอ็นดูให้ค่าขนมเล็กๆน้อยๆเป็นค่าตอบแทน แถมมีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก หลังจากใส่บาตรและเดินชมวิวบนสะพานกับไกด์ตัวน้อย ก็ชักหิว ตั้งใจกันไว้แล้วว่าจะไปทานข้าวต้มกันฝั่งมอญ เมื่อไปถึงก็เจอร้านนึงที่ขายอาหารเช้า คือข้าวต้ม (โจ๊ก) ชา กาแฟ โอวัลติน และข้าวราดแกงแบบมอญ มีหลายแกงให้เลือก เราเลือกทานโจ๊กใส่ไข่คนละถ้วย และเอาแป้งโรตีมาทานกับแกงฮังเลไข่ ก็อร่อยไปอีกแบบ เสร็จจากอาการเช้าก็เดินซื้อของฝากไปตามทางเดินเรื่อย ๆ เมื่อสุดตลาดจะเป็นสามแยก เราก็นั่งวินไปวัดหลวงพ่ออุตมะ 20 บาท สักการะเสร็จแล้วก็ไปชมเจดีย์ นั่งเรือชมวัดกลางน้ำแล้วเดินข้ามสะพานบวบกลับฝั่ง สังขละบุรี ปาไปก็เกือบเที่ยง ตั้งใจจะไปด่านเจดีย์สามองค์ ก็เลยต้องรีบเช็คเอ้าท์ และต่อรถสองแถวสีเขียวไปด่าน ค่ารถ คนละ 30 บาท ระยะทางประมาณ 30 กม พี่คนขับรถเสนอแพคเกจพาเที่ยวหกวัดฝั่งพม่า หัวละ 300 และมาส่งคิวรถตู้กลับ กทม ตรงด่านเจดีย์ให้ด้วยก็เลยตกลง ไหนๆ ก็มาเที่ยวแล้วก็ไปให้ทั่วเลยล่ะกัน!
พักเบรคดูรูปพลางๆ :
ไปถึงฝั่งพม่า วัดแรกที่แวะคือ วัดเสาร้อยต้น ไม่แน่ใจว่าชื่อภาษาพม่าคืออะไร วัดมีเสาไม้เยอะมาก สมชื่อเลยจริงๆ เราก็ไปวัดซื้อดอกไม้กับกิ่งใบเงินใบทอง ไกด์เด็กที่วัดบอก เอาไปถวายพระ เอาไปถวายพระเสร็จแล้วเค้าว่าให้หักกิ่งใบเงินใบทองเก็บไว้ จะได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย เสร็จแล้วก็ไปไหว้ขอพรพระสงฆ์รูปนึงให้ท่าน พรมน้ำมนต์ให้และให้สายสร้อยลูกประคำมาด้วย เสร็จจากวัดนี้ก็ไปต่ออีก 4 วัด ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน ถนนหนทางลำบากเป็นหลุมเป็นบ่อ นั่งกระบะสองแถวโยกจนเอวเคล็ด สังเกตว่าวัดในพม่าจะมีอาคารเด่นๆแค่หลังเดียว คือที่ๆเราไปไหว้พระ แล้วรอบๆจะเป็นรูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาวางสะเปะสะปะกันไป ไม่มีอานาเขตวัดที่แน่นอน ไม่เหมือนวัดที่เคยเห็นที่อื่น กุฏิพระจะปลูกแยกออกมาเป็นเหมือนบ้านคนที่อาศัยรอบๆวัด มีใต้ถุนและเป็นบ้านไม้สีแดง ลักษณะโปร่ง วัดที่เราไปรู้สึกจะมีวัดพระใหญ่ วัดพระนอน วัดเจดีย์ทองและวัดพระธาตุอินแขวนแบบสร้างจำลองขนาดจริง หลังตากทัวร์วัดก็เที่ยงกว่า สถานที่สุดท้ายคือ duty freeซึ่งเป็นร้านขายของขนาดตึกแถวสองห้องอยู่ในตลาดของตำบลนั้น สินค้าส่วนใหญ่คือบุหรี่และเหล้า เราไม่ได้ซื้ออะไรแต่เพื่อนซื้อขนมสองสามอย่าง เสร็จแล้วพี่คนขับรถบอกว่าจะพาไปตลาดพม่า แต่เนื่องจากไม่เห็นน่าสนใจเลยขอกลับไปฝั่งไทยเพื่อทานข้าวและต่อรถกลับเมืองกาญเลย เพราะเดี๋ยวจะไม่มีรถเข้า กทม ลุงคนขับก็ใจดีมาส่งร้านส้มตำฝั่งไทยไม่ไกลจากท่ารถตู้เข้าเมืองกาญ เราก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิว ตีตั๋วรถเข้าเมืองกาญเวลาบ่ายสามครึ่ง ตลอดทางมีด่านตรวจเป็นระยะๆ และฝนก็ตกเป็นระยะๆเช่นกัน เราลุ้นมากว่าจะไปทันรถตู้เข้า กทมเที่ยวสุดท้ายไหม เพราะรถหมด 2 ทุ่ม เนื่องจากฝนตกกำหนดเวลารถถึงเมืองกาญจึงล่าช้ากว่าปกติถึง 1 ชม โชคดีที่เราโทรบอกพี่ใจดีที่คิวรถตู้ว่าจะไปถึง2ทุ่ม รบกวนให้พี่รอหน่อยเพราะจำเป็นต้องเข้า กทม ด้วย สรุปรถตู้ไปส่งเราที่คิวรถตู้เข้า กทม ที่บ.ข.ส. เมืองกาญ 2 ทุ่มพอดีเป๊ะ เรารีบลงจากรถตู้ไปซื้อตั๋ว พบว่าพี่เค้ารออยู่แล้ว ขอบคุณพี่เค้ามากๆ ถ้าไม่ได้พี่เค้า เราสามคนคงต้องติดแหง็กอยู่เมืองกาญแล้วต้องหาทางกลับ กทม ตั้งแต่เช้าตรู่แน่นอน เราถึง กทม ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ทานข้าวอีกรอบแล้วแยกย้ายกันกลับที่พัก
ทริปไปสังขละบุรีคราวนี้แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แม้จะเหนื่อยแต่เทียบกับการได้ไปเห็นความสวยงามของแม่น้ำรันตีและวิถีชีวิตริมแม่น้ำ ของคนชาวสังขละบุรีทำให้เราไม่เสียดายเวลาเลย เราคิดว่าการท่องเที่ยวสำคัญอยู่ที่สิ่งที่เราเห็นและเรียนรู้จากการเดินทาง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายเสมอไป บางครั้งลำบากนิดลำบากหน่อย นั่นก็เป็นรสชาติชีวิต
หากมีโอกาสคราวหน้าแน่นอนว่าอยากจะกลับมาเยี่ยมเมืองสังขละอีกครั้งและอยู่ให้นานขึ้นอีกหน่อย ขอให้คนเมืองสังขละรักษาสังขละบุรีให้สวยงามอย่างนี้ไปจวบจนรุ่นลูกรุ่นหลานนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
นั่งรถไฟ ไปสัมผัสมนต์เสน่ห์สังขละบุรี ที่ไม่เคยหลับไหล ไปทุกครั้งก็หลงทุกครั้งนการเดินทางจาก กทม.
วันนี้พาไปแถวชายแดนสังขละบุรี สะพานมอญ และเจดีย์ 3 องค์ ไม่ว่าจะมาหน้าไหนบอกเลยฟินหมด อาจจะใช้เวลาในการเดินทางจาก กทม. บ้าง แต่เกินคุ้มเกินราคา จะมาแบบ 2 วัน 1 คืน หรือ 2 คืน 3 วัน ก็ไม่ผิดหวัง
gdbowx
2 วัน 1 คืน ll สังขละบุรี + (พม่า) ผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้
เมื่อมนต์เสน่ห์และวัฒนธรรมอันหลากหลาย ชักชวนให้อยากไปลองใช้ชีวิตและสัมผัสกับวัฒนธรรม อันที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว กับอำเภอ อำเภอหนึ่งที่ติดกับประเทศพม่า ก็คงเป็นที่ไหนไม่ไม่ได้ นอกจาก "สังขละบุ
ITISP
สังขละบุรี - สะพานมอญ - เมืองตองซู พม่า
ทริปการเดินทาง กรุงเทพฯ – ไทรโยค – ทองผาภูมิ – สังขละบุรี – ด่านเจดีย์ 3 องค์ – เมืองตองอู ประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 7-8 มกราคม 2560 เดินทางโดยรถตู้ VIP 8 คน ค่าเดินทางทั้
สมาชิกหมายเลข 2016419
สังขละบุรี - สะพานมอญ - เมืองตองซู พม่า (ภาค 2)
ภาค 1 https://pantip.com/topic/35993700 ทริปการเดินทาง กรุงเทพฯ – ไทรโยค – ทองผาภูมิ – สังขละบุรี – ด่านเจดีย์ 3 องค์ – เมืองตองอู ประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 7-8 มกราคม 2
สมาชิกหมายเลข 2016419
@@ สังขละบุรี 2 วัน 1 คืน....สัมผัสวัฒนธรรม ไทย กะเหรี่ยง รามัญ @@
"สะพานไม้ ด่านเจดีย์ นทีสามประสบ มรดกทุ่งใหญ่ ไทยกะเหรี่ยงรามัญ สารพันธรรมชาติ อภิวาทหลวงพ่ออุตตมะ เมืองสังขละชายแดน สุดแคว้นตะวันตก" สวัสดีครับ นานๆจะได้ทำกระทู้ท่องเที่ยวยาวๆแบบนี้ซักที
เซเว่นหน้าหอใน
พุทธศาสนิกชนเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ “ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน ตักบาตรสะพานมอญ”
กรมการศาสนา นำพุทธศาสนิกชนเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ “ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน ตักบาตรสะพานมอญ”ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น น้อมนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการดำเ
อาคุงกล่อง
สังขละโมโน...ชีวิตขาวดำที่สะพานมอญ
เฮ้ เฮ .... ( ทำเสียงสูงเหมือนชิคกี้พาย ) หลังจากที่ไปเที่ยวสังขละบุรีมา ฉันถ่ายรูปมาเยอะมากจนเม็มเต็ม คัดรูปสวยๆอยู่นาน พบว่ามันทำให้ฉันเวียนหัว สีสันของภาพถ่ายวิ่งพล่านอยู่ในเบ้าตา และนั่นทำให้ฉัน
cholsett
สอบถามทริปสังขละบุรี
อยากทราบว่าถ้าเดินทางจาก กทม.ไปสังขละฯ 2 คืน 3 วัน วางแผนไว้คร่าวๆ ออกเดินทางจาก กทม. ประมาณ 6 โมงเช้า ต่อรถจากเมืองกาญจน์ไปสังขละ 10.00 น่าจะถึง ประมาณ 13.00 น. จะเดินทางไปเที่ยวฝั่งพม่า เช่น -
คุณแม่น้องก้อง
ในวันฝนพรำ ที่...สังขละบุรี
ในวันฝนพรำ ที่..... สังขละบุรี #สังขละบุรี ในหน้าฝน ใครจะรู้ ว่าน่าเที่ยวชะมัด! รอบนี้รอบที่ 2 ละ ถึงแม้ว่าฝน จะทำให้เรารู้สึกเหงา ๆ ก็ไม่เท่ากับความสุขที่เราได้รับ (แต่ถ้าได้คนมาเดินข้างๆก็คงจะดี)
WheretheJourney
อยากทราบรอบรถจากตัวกาญไปทองผาภูมิและสังขละบุรีครับ
พอดีเราจะไปเที่ยวอีต่องกับสะพานมอญ 3 วัน 2 คืน แต่เราไม่มั่นใจเรื่องเที่ยวรถทองผาภูมิกับสังขละบุรีเลย แพลนเที่ยวของเราคือ วันแรกเที่ยวสังขละบุรีก่อน วันที่สองที่สองทราบมาว่ามีเที่ยวรถออกจากสังขละบุรี
สมาชิกหมายเลข 4705013
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
รถไฟ
เที่ยวไทย
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ : 2
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
ครั้งแรกกับการนั่งรถไฟฟรีไปสังขละบุรี!
วันแรก: ตื่นมาแต่ ตี 5 เพื่อมาขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย เที่ยว7:50 แต่จริงๆออกแปดโมงนิดๆ ฝนเทมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็คิดในใจละว่ายังไงก็หน้าฝน ฝนตกเป็นเรื่องธรรมดา ยังไงก็ไปต่อเพราะเพื่อนก็ตั้งใจกันไว้แล้ว ไปอ่านกระทู้มาก่อนเล็กน้อยในพันทิปนี่แหละจากคุณหลายๆ คนเอาข้อมูลมารวมๆกัน (ต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ) เค้าบอกว่าต้องนั่งฝั่งซ้าย แต่เนื่องจากฝนตกและทุกคนแย่งกันขึ้นรถไฟ เราเลยได้นั่งฝั่งขวา ตอนนั้นก็คิดนะว่า เดี๋ยวคงมีคนลงระหว่างทางคงได้ย้ายไปฝั่งซ้าย แต่บอกเลยว่าคิดผิด! รถไฟออกจาก กทมพร้อมฝนที่เทกระหน่ำลงมาจนถึงช่วงสาย สภาพรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารเปียกปอน กลิ่นของเสื้อผ้าอับชื้นเนื่องจากเปียกฝน ผสมกับกลิ่นฝนและลมอ่อนที่โชยเข้ามาทางหน้าต่างรถไฟ ที่เปิดไว้แค่หนึ่งในสี่ ทำให้หลายคนที่รู้สึกเพลียเพราะตื่นเช้ามาอยู่แล้ว ผล็อยหลับไปเป็นช่วงๆ บนรถไฟสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มาเป็นกลุ่มๆและเป็นคู่ๆ นั่งคุยกัน ถ่ายรูปเล่นบ้าง คนทั่วไปที่โดยสารรถขบวนนี้กลับบ้านแถบนครปฐมหรือกาญจนบุรีคงชินตากับภาพแบบนี้ แม่ค้าพ่อค้าหายของกินมาขาย หลัก ๆก็ ไข่ต้ม ผัดหมี่ห่อละ 10 บาท ได้ซักสองคำพอดี น้ำดื่มทั้งหลายแหล่ ตอนแรกก็ไม่หิว กะว่าจะเจอแม่ค้าหน้าใหม่ๆจากสถานีอื่นๆ แต่ก็ไม่เลย ไม่ค่อยจะมีหน้าใหม่ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นเฉพาะแม่ค้าพ่อค้าหน้าเดิมๆ เหล่านี้อยู่กับเราไปจนสุดสายที่สถานีน้ำตก นั่งรถไฟไป มองบรรรยากาศภายนอกฟ้าเริ่มโปร่ง แดดเริ่มทอแสง ใกล้เที่ยงกว่าเราเพิ่งมาถึงกาญจนบุรี ข้ามสะพานแม่น้ำแคว แล้วรถไฟก็ค่อยๆเคลื่อนขบวนเนิบนาบ ไต่ริมเขาผ่านตรงจุดที่สวยงามที่สุดของทางรถไฟสายมรณะ เนื่องจากเรานั่งฝั่งขวาเลยไม่เห็นอะไรมากนอกจากหิน ฝั่งภุเขา เรามาถึงสถานีน้ำตกเวลาเกือบบ่ายสอง (ในตั๋วเขียนเที่ยงครึ่ง)
ทันทีที่ถึงก็แวะเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูปกับป้ายสถานีพอเป็นพิธีก็ถามหารถสองแถวไปต่อรถเพื่อไปสังขละ ตรงหน้าสถานีมีรถสองแถวรออยู่คนละ 20-30 บาท พาไปส่งขึ้นรถบัสพัดลมไปทางอำเภอทองผาภูมิ และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนรถบัสอีกคันที่ อ ทองผาภูมิเพื่อไปสังขละบุรี ค่าโดยสารรถเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ไม่เกิน 200 เรานั่งรถไป รถวิ่งตัดอุทยานแห่งชาติ ขึ้นเขาชันพอสมควร มีลุ้นบ้างบางโค้ง ในที่สุดเราก็มาถึง อ สังขละบุรี ตอนหกโมง ทุกคนดีใจมาก นั่งวินไปที่พัก20บาท อ่อ เราพักที่ พี เกสเฮ้าส์ ก็ได้ข้อมูลมาจากท่านๆที่ได้มารีวิวไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน (ขอบคุณมากค่า) มาถึงที่พัก ก็เห็นมีคนสองสามคนคุยเรื่องรถเช่าอยู่แถวๆ รีเซพชั่น เราไปก็ยืนรอ เพื่อจะเช็คอิน มีเจ้าหน้าที่อยู่ สามท่าน ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงสองท่าน น้องผู้หญิงคนนึงทักมาว่าขอทราบชื่อ เราก็แจ้งไปตามระเบียบพร้อมบอกจองไว้แล้ว เอาเป็นว่าขั้นตอนการเช็คอินของทีนี่ค่อนข้างจะสับสนและใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นไม่รู้ท่านอื่นเจอเหมือนเราไหม เราสรุปให้ฟังเลยแล้วกัน เนื่องมาจากว่า เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนึงที่ดูจะใหญ่ทับเจ้าหน้าที่ท่านอื่น พูดเสียงดังและไม่มีหางเสียง ห้วนๆ นางพยานามจะจัดการเองทุกอย่าง เลยสับสนงุงงงกันไปหมด ว่าอะไรเป็นอะไรกว่าจะเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นเกือบยี่สิบนาที ทันทีที่เอาของเก็บเข้าห้องก็ไปถ่ายรูป เก็บวิวยามเย็นเล็กน้อย ก่อนแสงจะหมด อ้อ ที่พักที่นี่ราคาในเว็บบอก250 ต่อคืนห้องน้ำรวม แต่พอมาถึงบอกว่าปรับขึ้นเป็นคืนละ 300 (เงิบ!) ก็ไม่เป็นไร 50 บาท มาตั้งไกล ห้องเราเป็นแบบห้องน้ำรวม ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า ในห้องพักสะอาดเรียบร้อยดี มีเตียงและผ้าห่มการบินไทย เป็นห้องพัดลม เราต้องเตรียมของใช้ส่วนตัวไปเองทั้งหมด ไม่มีผ้าขนหนูให้นะคะ แต่ห้องน้ำรวมก็แยกชายหญิงเป็นสัดส่วน สะอาดและกว้างขวาง บรรยากาศโดยรวมของที่พักถือว่าดี และคุ้มค่า เพราะอยู่ติดแม่น้ำ และเห็นวิวของสะพานมอญด้วย เสร็จสิ้นจากการถ่ายรูปเราก็ไปเดินตลาดคนเดิน ปั่นจักรยานไป เช่ามาวันละ 100 บาท ถ้ามอไซด์วันละ 200 บาท ปั่นขึ้นเนินพอได้เหงื่อเปียกเต็มเสื้อก็มาถึงตลาดพอดี ถนนคนเดินของที่นี่มีสองซอย ไม่ต้องกลัวหลง อาหารที่เค้าว่าต้องลองก็มีหมูจุ่มพม่า ไม้ละบาท ขนมจีนน้ำยาหยวก ร้านหมูจุ่มนี่คนเยอะมาก เพือนเราบอกอร่อย เพราะนางชอบเครื่องใน ส่วนคนไม่ชอบเครื่องในอาจไม่ค่อยถูกปากเพราะหมูจุ่มพม่านั้น ในหม้อมีแต่หนังหมูและเครื่องในเป็นหลัก ขนมจีนน้ำยาหยวกเราว่ารสชาติแปลกดี เรากินเสร็จก็เดินช้อปปิ้ง ได้เสื้อพื้นเมืองมาคนละชุด ราคาชุดละ 200 บาท เม้ามอยวางแผนว่าจะตักบาตรกันตอนเช้า แล้วฝนก็เริ่มเทลงมา เดินดูของในตลาดอีกนิดแล้วก็ปั่นกลับที่พัก อาบน้ำเข้านอน ตั้งนาฬิกาปลุกตี 5!
วันที่สอง: ตื่นตอนตีห้า งัวเงียลุกมาอาบน้ำ แต่งตัว ชมบรรยากาศยามเช้า สดชื่น หมอกบางๆ แต่รู้สึกดีมาก หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ปั่นจักรยานไปยังสะพานมอญ ซื้อชุดตักบาตรตรงหน้าสะพานชุดละ20 บาท ระหว่างที่เดินไปสะพานมอญจะมีพระสงฆ์บางรูป กำลังเดินบิณฑบาตบ้าง เด็กๆชาวมอญแต่งกายแบบพื้นเมืองคือ ผ้าถุง เสื้อแขนยาว และแต่งแก้มเป็นจุด กลมๆ ด้วยแป้งทานาคา น่ารักดี เด็กๆเหล่านี้คุยเก่งมาก สังเกตจะมีป้ายบอกตำแหน่งคือ ไกด์ท้องถิ่นนั่นเอง น้องๆเค้าจะมาชวนเราคุยพร้อมอธิบายประวัติความเป็นมาของสะพาน เราถามอะไรมาน้องเค้าก็จะพยายามตอบได้หมด นักท่องเที่ยวก็เอ็นดูให้ค่าขนมเล็กๆน้อยๆเป็นค่าตอบแทน แถมมีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก หลังจากใส่บาตรและเดินชมวิวบนสะพานกับไกด์ตัวน้อย ก็ชักหิว ตั้งใจกันไว้แล้วว่าจะไปทานข้าวต้มกันฝั่งมอญ เมื่อไปถึงก็เจอร้านนึงที่ขายอาหารเช้า คือข้าวต้ม (โจ๊ก) ชา กาแฟ โอวัลติน และข้าวราดแกงแบบมอญ มีหลายแกงให้เลือก เราเลือกทานโจ๊กใส่ไข่คนละถ้วย และเอาแป้งโรตีมาทานกับแกงฮังเลไข่ ก็อร่อยไปอีกแบบ เสร็จจากอาการเช้าก็เดินซื้อของฝากไปตามทางเดินเรื่อย ๆ เมื่อสุดตลาดจะเป็นสามแยก เราก็นั่งวินไปวัดหลวงพ่ออุตมะ 20 บาท สักการะเสร็จแล้วก็ไปชมเจดีย์ นั่งเรือชมวัดกลางน้ำแล้วเดินข้ามสะพานบวบกลับฝั่ง สังขละบุรี ปาไปก็เกือบเที่ยง ตั้งใจจะไปด่านเจดีย์สามองค์ ก็เลยต้องรีบเช็คเอ้าท์ และต่อรถสองแถวสีเขียวไปด่าน ค่ารถ คนละ 30 บาท ระยะทางประมาณ 30 กม พี่คนขับรถเสนอแพคเกจพาเที่ยวหกวัดฝั่งพม่า หัวละ 300 และมาส่งคิวรถตู้กลับ กทม ตรงด่านเจดีย์ให้ด้วยก็เลยตกลง ไหนๆ ก็มาเที่ยวแล้วก็ไปให้ทั่วเลยล่ะกัน!
พักเบรคดูรูปพลางๆ :
ไปถึงฝั่งพม่า วัดแรกที่แวะคือ วัดเสาร้อยต้น ไม่แน่ใจว่าชื่อภาษาพม่าคืออะไร วัดมีเสาไม้เยอะมาก สมชื่อเลยจริงๆ เราก็ไปวัดซื้อดอกไม้กับกิ่งใบเงินใบทอง ไกด์เด็กที่วัดบอก เอาไปถวายพระ เอาไปถวายพระเสร็จแล้วเค้าว่าให้หักกิ่งใบเงินใบทองเก็บไว้ จะได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย เสร็จแล้วก็ไปไหว้ขอพรพระสงฆ์รูปนึงให้ท่าน พรมน้ำมนต์ให้และให้สายสร้อยลูกประคำมาด้วย เสร็จจากวัดนี้ก็ไปต่ออีก 4 วัด ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน ถนนหนทางลำบากเป็นหลุมเป็นบ่อ นั่งกระบะสองแถวโยกจนเอวเคล็ด สังเกตว่าวัดในพม่าจะมีอาคารเด่นๆแค่หลังเดียว คือที่ๆเราไปไหว้พระ แล้วรอบๆจะเป็นรูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาวางสะเปะสะปะกันไป ไม่มีอานาเขตวัดที่แน่นอน ไม่เหมือนวัดที่เคยเห็นที่อื่น กุฏิพระจะปลูกแยกออกมาเป็นเหมือนบ้านคนที่อาศัยรอบๆวัด มีใต้ถุนและเป็นบ้านไม้สีแดง ลักษณะโปร่ง วัดที่เราไปรู้สึกจะมีวัดพระใหญ่ วัดพระนอน วัดเจดีย์ทองและวัดพระธาตุอินแขวนแบบสร้างจำลองขนาดจริง หลังตากทัวร์วัดก็เที่ยงกว่า สถานที่สุดท้ายคือ duty freeซึ่งเป็นร้านขายของขนาดตึกแถวสองห้องอยู่ในตลาดของตำบลนั้น สินค้าส่วนใหญ่คือบุหรี่และเหล้า เราไม่ได้ซื้ออะไรแต่เพื่อนซื้อขนมสองสามอย่าง เสร็จแล้วพี่คนขับรถบอกว่าจะพาไปตลาดพม่า แต่เนื่องจากไม่เห็นน่าสนใจเลยขอกลับไปฝั่งไทยเพื่อทานข้าวและต่อรถกลับเมืองกาญเลย เพราะเดี๋ยวจะไม่มีรถเข้า กทม ลุงคนขับก็ใจดีมาส่งร้านส้มตำฝั่งไทยไม่ไกลจากท่ารถตู้เข้าเมืองกาญ เราก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิว ตีตั๋วรถเข้าเมืองกาญเวลาบ่ายสามครึ่ง ตลอดทางมีด่านตรวจเป็นระยะๆ และฝนก็ตกเป็นระยะๆเช่นกัน เราลุ้นมากว่าจะไปทันรถตู้เข้า กทมเที่ยวสุดท้ายไหม เพราะรถหมด 2 ทุ่ม เนื่องจากฝนตกกำหนดเวลารถถึงเมืองกาญจึงล่าช้ากว่าปกติถึง 1 ชม โชคดีที่เราโทรบอกพี่ใจดีที่คิวรถตู้ว่าจะไปถึง2ทุ่ม รบกวนให้พี่รอหน่อยเพราะจำเป็นต้องเข้า กทม ด้วย สรุปรถตู้ไปส่งเราที่คิวรถตู้เข้า กทม ที่บ.ข.ส. เมืองกาญ 2 ทุ่มพอดีเป๊ะ เรารีบลงจากรถตู้ไปซื้อตั๋ว พบว่าพี่เค้ารออยู่แล้ว ขอบคุณพี่เค้ามากๆ ถ้าไม่ได้พี่เค้า เราสามคนคงต้องติดแหง็กอยู่เมืองกาญแล้วต้องหาทางกลับ กทม ตั้งแต่เช้าตรู่แน่นอน เราถึง กทม ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ทานข้าวอีกรอบแล้วแยกย้ายกันกลับที่พัก
ทริปไปสังขละบุรีคราวนี้แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แม้จะเหนื่อยแต่เทียบกับการได้ไปเห็นความสวยงามของแม่น้ำรันตีและวิถีชีวิตริมแม่น้ำ ของคนชาวสังขละบุรีทำให้เราไม่เสียดายเวลาเลย เราคิดว่าการท่องเที่ยวสำคัญอยู่ที่สิ่งที่เราเห็นและเรียนรู้จากการเดินทาง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายเสมอไป บางครั้งลำบากนิดลำบากหน่อย นั่นก็เป็นรสชาติชีวิต
หากมีโอกาสคราวหน้าแน่นอนว่าอยากจะกลับมาเยี่ยมเมืองสังขละอีกครั้งและอยู่ให้นานขึ้นอีกหน่อย ขอให้คนเมืองสังขละรักษาสังขละบุรีให้สวยงามอย่างนี้ไปจวบจนรุ่นลูกรุ่นหลานนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ