วันนี้ (15 ต.ค.) เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีรื้อบาร์เบียร์ สุขุมวิท 10 ที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร กับพวกรวม 131 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืนและกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลอื่นปราศจากเสรีภาพ
จากกรณีเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 ม.ค. ปี 2546 จำเลยได้สั่งกลุ่มชายฉกรรจ์ไปรื้อบาร์เบียร์ 60 ร้าน ในซอยสุขุมวิท 10 จนได้รับความเสียหาย ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 8 เดือน นายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความที่นำเอกสารสิทธิการครอบครองที่ดินไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวันให้คนอื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนของกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนจำเลยอื่นยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ในชั้นศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษากลับว่า นายชูวิทย์ กับพวกอีก 2 คน ที่เป็นนายทหาร มีความผิดจริงสั่งจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งต่อมานายทหารทั้ง 2 ได้ยื่นเงิน 5 แสนบาท เพื่อประกันตัว ส่วนด้านนายชูวิทย์ ได้ปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ ส.ส.คุ้มครองในขณะนั้น
ทั้งนี้ เมื่อครั้งศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา มีจำเลย 4 คน จากทั้งหมด 8 คน ไม่ได้เดินทางมาศาลตามนัด ศาลจึงเลื่อนอ่านคำพิพากษา ขณะที่นายชูวิทย์นั้นเดินทางมาศาลโดยเตรียมขันน้ำ สบู่ ยาสีฟันมาด้วย พร้อมยืนยันว่าหากผิดตนก็พร้อมรับกรรมตามคำพิพากษา ยืนยันจะไม่หลบหนีไปไหน
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า "พรุ่งนี้ 15 ตุลาคม เวลา 9 โมง ผมจะเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดี "บาร์เบียร์" โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 5 ปี"
"แม้ใครจะสมน้ำหน้าสาปแช่ง ชูวิทย์ติดแน่ พรุ่งนี้จ๋อย คอตก แต่ผมไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดเหล่านั้น เพราะชีวิตคนเราอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ควรเตรียมพร้อมไว้เสมอ บางคนบอกว่ามีเงินอย่างชูวิทย์ อย่าไปฟังเลย หนีดีกว่า ไปใช้เงินอยู่เมืองนอก แต่ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยคิดจะหนีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ชีวิตผมพลิกผันมาหลายครั้งหลายครา จากสูงสุดสู่ต่ำสุด จากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กเยาวราช เป็นเจ้าของอาบอบนวด จนกระทั่งเป็นหัวหน้าพรรค เป็น ส.ส. เข้าไปอยู่ในสภา แค่นี้ก็เกินคุ้ม ที่เหลือคือกำไรชีวิต
อันที่จริงผมควรจะตายไปเสียหลายครั้งหลายคราแล้วด้วยซ้ำ ค่ำคืนนี้ใครจะอวยพรหรือด่าส่ง เชิญคอมเม้นต์ได้ตามสบาย ผมจะได้มีอะไรอ่านจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาเช้าพรุ่งนี้" นายชูวิทย์กล่าว
JJNY : "ชูวิทย์"ลุ้นคุก5ปี คดีรื้อบาร์เบียร์ ปี′46 โพสต์เฟซฯสั่งลา ใช้ชีวิตเกินคุ้มแล้ว
จากกรณีเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 ม.ค. ปี 2546 จำเลยได้สั่งกลุ่มชายฉกรรจ์ไปรื้อบาร์เบียร์ 60 ร้าน ในซอยสุขุมวิท 10 จนได้รับความเสียหาย ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 8 เดือน นายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความที่นำเอกสารสิทธิการครอบครองที่ดินไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวันให้คนอื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนของกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนจำเลยอื่นยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ในชั้นศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษากลับว่า นายชูวิทย์ กับพวกอีก 2 คน ที่เป็นนายทหาร มีความผิดจริงสั่งจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งต่อมานายทหารทั้ง 2 ได้ยื่นเงิน 5 แสนบาท เพื่อประกันตัว ส่วนด้านนายชูวิทย์ ได้ปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ ส.ส.คุ้มครองในขณะนั้น
ทั้งนี้ เมื่อครั้งศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา มีจำเลย 4 คน จากทั้งหมด 8 คน ไม่ได้เดินทางมาศาลตามนัด ศาลจึงเลื่อนอ่านคำพิพากษา ขณะที่นายชูวิทย์นั้นเดินทางมาศาลโดยเตรียมขันน้ำ สบู่ ยาสีฟันมาด้วย พร้อมยืนยันว่าหากผิดตนก็พร้อมรับกรรมตามคำพิพากษา ยืนยันจะไม่หลบหนีไปไหน
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า "พรุ่งนี้ 15 ตุลาคม เวลา 9 โมง ผมจะเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดี "บาร์เบียร์" โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 5 ปี"
"แม้ใครจะสมน้ำหน้าสาปแช่ง ชูวิทย์ติดแน่ พรุ่งนี้จ๋อย คอตก แต่ผมไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดเหล่านั้น เพราะชีวิตคนเราอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ควรเตรียมพร้อมไว้เสมอ บางคนบอกว่ามีเงินอย่างชูวิทย์ อย่าไปฟังเลย หนีดีกว่า ไปใช้เงินอยู่เมืองนอก แต่ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยคิดจะหนีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ชีวิตผมพลิกผันมาหลายครั้งหลายครา จากสูงสุดสู่ต่ำสุด จากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กเยาวราช เป็นเจ้าของอาบอบนวด จนกระทั่งเป็นหัวหน้าพรรค เป็น ส.ส. เข้าไปอยู่ในสภา แค่นี้ก็เกินคุ้ม ที่เหลือคือกำไรชีวิต
อันที่จริงผมควรจะตายไปเสียหลายครั้งหลายคราแล้วด้วยซ้ำ ค่ำคืนนี้ใครจะอวยพรหรือด่าส่ง เชิญคอมเม้นต์ได้ตามสบาย ผมจะได้มีอะไรอ่านจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาเช้าพรุ่งนี้" นายชูวิทย์กล่าว