ในฐานะที่วันนี้ (15 ตุลาคม 2558) เป็นอีกวันสำคัญของคนตาบอดทั่วโลก
นั่นก็คือ "วันไม้เท้าขาวโลก" (White Cane Safety Day)
เพราะไม้เท้าขาวได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนตาบอดได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้มากขึ้น
ปัญหาคนตาบอดในประเทศไทยมีมาช้านานแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยปรากฏให้คนส่วนมากได้เห็นและรับรู้
ทั้งนี้ย่อมมาจากอิทธิพลของสื่อในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย
แต่ด้วยอิทธิพลของสื่อในปัจจุบัน เราได้เห็นกลุ่มคนตาบอดได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทั้งด้านการศึกษาและอาชีพ
ในที่นี้จขกท. จะพูดถึงเรื่องอาชีพ เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้จขกท. ได้มีโอกาสไปใช้บริการร้านนวดแผนไทยแห่งหนึ่งที่หมอนวดส่วนมากเป็นคนตาบอดเป็นครั้งแรก ก็ตั้งคำถามในใจว่า พวกเขาจะนวดได้ดีเท่ากับคนตาดีได้อย่างไรในเมื่อพวกเขามองไม่เห็น ในระหว่างที่นวดก็สังเกตไป คนนวดมีสมาธิดีมาก ดูไม่ลนลาน ต้องบอกเลยว่าฟินมาก (ถึงตอนนวดจะรู้สึกปวดจี๊ดๆ บ้างก็เถอะ) แต่หลังนวดเสร็จรู้สึกสบายตัวมากกกกกกกก จริงๆ นะ
คำถามคือ ทำไมคนตาบอดถึงนวดได้ดียิ่งกว่าที่คาดไว้
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังคิดแบบตื้นๆ ว่า ตาบอดก็เหมือนกับตายทั้งเป็น
แต่เชื่อหรือเปล่าว่า คนตาบอดมีความสามารถพิเศษบางอย่างที่คนปกติจับต้องไม่ได้ซ่อนเร้นอยู่ นั่นก็คือ
"ประสาทสัมผัส"
อย่าลืมว่า ถึงพวกเขาตาจะบอด แต่ก็ยังมี 2 มือ 2 หู และ 2 เท้าที่ยังเหลืออยู่ และใช้การได้อย่างดีเยี่ยม
ไม่เชื่อก็ลองหลับตาเวลาคุยโทรศัพท์หรืออาบน้ำดูสิ แล้วจะพบว่าความรู้สึกของประสาทสัมผัสมันต่างจากตอนลืมตาอย่างลิบลับ
แถมรู้สึกว่ามีสมาธิในการรับรู้ได้ดีกว่าตอนลืมตาด้วย
เพราะฉะนั้น จขกท. มองว่า การที่ไม่ได้มองเห็นอะไรเลยในขณะที่เรากำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เป็นการทำสมาธิที่ดีอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของคนตาบอด ที่พวกเขาได้มีโอกาสฝึกจิต ฝึกสมาธิจากประสาทสัมผัสที่เหลือได้อย่างเต็มที่
นี่จึงเป็นสิ่งที่สังคมควรให้โอกาส และเชื่อมั่นในศักยภาพของพวกเขา อย่ามองว่ามนุษย์ที่สูญเสียอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งไป
กลายเป็นภาระก้อนใหญ่ที่คนทั่วไปต้องแบกรับ เพราะมนุษย์จะสูญสิ้นศักยภาพทุกสิ่งอย่างก็ต่อเมื่อ...
วันลาโลกได้มาถึง
ความโชคดีของคนตาบอดที่ใครๆ ก็มักมองข้าม
นั่นก็คือ "วันไม้เท้าขาวโลก" (White Cane Safety Day)
เพราะไม้เท้าขาวได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนตาบอดได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้มากขึ้น
ปัญหาคนตาบอดในประเทศไทยมีมาช้านานแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยปรากฏให้คนส่วนมากได้เห็นและรับรู้
ทั้งนี้ย่อมมาจากอิทธิพลของสื่อในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย
แต่ด้วยอิทธิพลของสื่อในปัจจุบัน เราได้เห็นกลุ่มคนตาบอดได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทั้งด้านการศึกษาและอาชีพ
ในที่นี้จขกท. จะพูดถึงเรื่องอาชีพ เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้จขกท. ได้มีโอกาสไปใช้บริการร้านนวดแผนไทยแห่งหนึ่งที่หมอนวดส่วนมากเป็นคนตาบอดเป็นครั้งแรก ก็ตั้งคำถามในใจว่า พวกเขาจะนวดได้ดีเท่ากับคนตาดีได้อย่างไรในเมื่อพวกเขามองไม่เห็น ในระหว่างที่นวดก็สังเกตไป คนนวดมีสมาธิดีมาก ดูไม่ลนลาน ต้องบอกเลยว่าฟินมาก (ถึงตอนนวดจะรู้สึกปวดจี๊ดๆ บ้างก็เถอะ) แต่หลังนวดเสร็จรู้สึกสบายตัวมากกกกกกกก จริงๆ นะ
คำถามคือ ทำไมคนตาบอดถึงนวดได้ดียิ่งกว่าที่คาดไว้
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังคิดแบบตื้นๆ ว่า ตาบอดก็เหมือนกับตายทั้งเป็น
แต่เชื่อหรือเปล่าว่า คนตาบอดมีความสามารถพิเศษบางอย่างที่คนปกติจับต้องไม่ได้ซ่อนเร้นอยู่ นั่นก็คือ
"ประสาทสัมผัส"
อย่าลืมว่า ถึงพวกเขาตาจะบอด แต่ก็ยังมี 2 มือ 2 หู และ 2 เท้าที่ยังเหลืออยู่ และใช้การได้อย่างดีเยี่ยม
ไม่เชื่อก็ลองหลับตาเวลาคุยโทรศัพท์หรืออาบน้ำดูสิ แล้วจะพบว่าความรู้สึกของประสาทสัมผัสมันต่างจากตอนลืมตาอย่างลิบลับ
แถมรู้สึกว่ามีสมาธิในการรับรู้ได้ดีกว่าตอนลืมตาด้วย
เพราะฉะนั้น จขกท. มองว่า การที่ไม่ได้มองเห็นอะไรเลยในขณะที่เรากำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เป็นการทำสมาธิที่ดีอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของคนตาบอด ที่พวกเขาได้มีโอกาสฝึกจิต ฝึกสมาธิจากประสาทสัมผัสที่เหลือได้อย่างเต็มที่
นี่จึงเป็นสิ่งที่สังคมควรให้โอกาส และเชื่อมั่นในศักยภาพของพวกเขา อย่ามองว่ามนุษย์ที่สูญเสียอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งไป
กลายเป็นภาระก้อนใหญ่ที่คนทั่วไปต้องแบกรับ เพราะมนุษย์จะสูญสิ้นศักยภาพทุกสิ่งอย่างก็ต่อเมื่อ...
วันลาโลกได้มาถึง