9 Days : Leh - Ladakh
02 - 10 OCT 2015
เมื่อนึกถึงประเทศอินเดียหลาย ๆ คน คงนึกถึง หมองู ฤาษี อาหารการกิน หรือสภาพบ้านเมืองที่ดูจะวุ่นวาย
แต่คราวนี้ลองมาดูสภาพบ้านเมืองทางตอนเหนือของอินเดีย ที่ชื่อว่า เลห์ (LEH) มีชายแดนติดปากีสถาน และจีน กันว่าสภาพบ้านเมืองจะแตกต่างจากอินเดียในความคิดหรืออุดมคติของหลายคนกัน
อย่างไรบ้าง
สำหรับผมรู้จักเมืองนี้เมื่อตอนเกือบ ๆ สี่ปีที่แล้ว จากเวปไซท์ภาพถ่ายแห่งหนึ่งในประเทศไทย และคิดว่าต้องมาเยือนสักครั้งสักครา แล้วก็ลากเพื่อนไปด้วยอีกหนึ่งคนเพื่อหารค่าห้องพัก ค่ารถ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์
สรุปค่าใช้จ่ายตอนสุดท้ายนะครับ
Dreamliner to Delhi
การเดินทางไป เลห์-ลาดักห์ ผมเลือกที่จะเดินทางโดยนั่งเครื่องบินจาก กรุงเทพฯ - นิวเดลี ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง
และ นิวเดลี - เลห์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือว่าหากใครมีเวลามากพอที่จะนั่งรถจากนิวเดลี ไปยัง เลห์ ก็ไม่ว่ากัน
***เวลาที่นู้นช้ากว่าไทย 1:30 ชั่วโมงนะครับ
สายการบินที่จะบิน กรุงเทพ - นิวเดลี
1. IndiGO
2. Jet Airways
3. Air India
4. การบินไทย
5. Airasia
สายการบินที่จะบิน นิวเดลี - เลห์
1. Go Air
2. Jet Airways
3. Air India
*** สำหรับการขอวีซ่า ผมใช้ e-Tousist VISA สามารถกรอกทางออนไลน์ล่วงหน้าได้ 4-34 วัน วีซ่ามีอายุ 30 วันหลังจากเข้าประเทศ โดยจะต้องเข้าประเทศทางสนามบินที่กำหนดไว้เท่านั้น เสียค่าธรรมเนียมสำหรับขอวีซ่าประมาณ 2000 บาท วีซ่าออกประมาณ 2-4 วันหลังการกรอก
***เมื่อวีซ่าออกจะส่งมาทางอีเมลอย่าลืมปริ้นท์อีเมลทั้งหมดและติดรูปถ่าย 2”x2” พร้อมเซ็นชื่อให้เรียบร้อยและพกติดตัวไปด้วย
***สำหรับที่สนามบินที่นิวเดลีจะมีช่องสำหรับตรวจพาสปอร์ตของ e-Tourist VISA โดยเฉพาะ
***
http://pantip.com/topic/32955885 หรือ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=honeynut&month=27-12-2014&group=20&gblog=1
สายการบินที่ผมจองได้นั้นคือ Air India จองได้ในราคา 13005 บาท/คน ซึ่งจากที่หาๆมาหลายเดือน ผมว่าเป็นราคาที่ถูกใช้ได้เลยที่เดียว
***หากจองผ่านบัตรเครดิตและเจ้าของบัรเครดิตไม่ได้เดินทางไปด้วย ผมแนะนำให้นำบัตรประชาชนแและบัตรเครดิตของเจ้าของบัตรด้านหน้าและด้านหลัง (ปิดรหัส CVT 3 ตัว) ถ่ายเอกสารและเซ็นต์รับรองว่าใช้ไปซื้อตั๋วให้ผู้เดินทางและเซ็นต์กำกับให้เรียบร้อย
หลังจากที่เดินทางออกจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 9 โมงเช้า ก็มาถึงนิวเดลีประมาณเที่ยงหน่อย ตามแผนคือหาที่ฝากกระเป๋าแล้ว นั่งรถไฟฟ้าเข้าไปเดินเที่ยวในเมืองนิวเดลี
สำหรับที่ฝากกระเป๋าจะอยู่ตรงทางลง Metro เราเดินตามป้าย Metro ไปได้เลย ค่าฝากจะคิดตามน้ำหนักและเวลา ผมฝาก 2 ใบน้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม 3 ชั่วโมง โดนไป 300 Rs.
แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าไปในเมือง
ตั๋วรถไฟฟ้าราคา 60 Rs./เที่ยว ผมนั่งไปลงสถานี New Delhi ไปขอแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวเมืองที่ไหนก็ไม่มี ที่ไหนๆ ก็ไม่มี สุดท้ายนั่งรถตุ๊ก ตุ๊ก ที่แถวนั้นเรียกว่า ออโต้ ริ๊กซอว์ (Auto Rickshaw) ไปมัสยิดจามา
จ่ายค่าธรรมเนียมไป 300 Rs. แพงชะมัด !!! แล้วก็หาที่เก็บรองเท้าดี ทางที่ดีคือฝากคนเก็บค่าธรรมเนียมเลย
เด็กๆมาให้ถ่ายรูปให้ ถ่ายเสร็จขอตังค์อีก แต่ก็นะ !!! เด็กๆไม่ได้สัมผัสเงินรูปีที่ผมเเลกไปจากไทยหรอก
***การเเลกเงินผมแนะนำให้เเลกที่ไทยไปนะครับ แลกเป็นรูปีไปแค่พอใช้ หากต้องการสำรองแลกเป็นดอลล่าห์ไปก็ได้ครับ
แล้วเราก็ไป RED FORT เมื่อไปถึง RED FORT คนขับริ๊กชอว์บอกว่าไม่จอด ๆ ผมขอห้านาทีก็ไม่ได้
งั้นโอเค !!! ถ่ายมันตรงนี้แหละ
ด้วยความที่ตอนนี้ประมาณบ่ายหน่อย ๆ อากาศประมาณ 30’ และค่าริ๊กชอว์ก็กดไป 600 Rs. เลยตัดสินใจยกเลิกการตะลุยนิวเดลี เปลี่ยนแผนให้คนขับพาไปกิน KFC แล้วไปส่งที่สถานี METRO NEW DELHI กลับไปนอนสนามบินดีกว่า
ที่สนามบิน Indhara Ghandhi International Airport มีที่นอนพักสำหรับผู้โดยสารถ้าผจำไม่ผิดป้ายน่าจะเขียนว่า Visitor’s Lounge ที่นี้มีร้านกาแฟ ขายกาแฟ ขายน้ำ ขายขนม และมาม่า มีปลี๊กไฟ มีเก้าอี้นอน มี WIFI นะ แต่ไปขอพาสวิร์ดไม่ได้สักกะอัน
สำหรับผมกับเพื่อนเราสองคนสิงสถิตอยู่ที่นี้ตั้งแต่ บ่ายสามโมงกว่าๆ ถึงตีสามกว่า ๆ ซึ่งเป็นเวลาที่เคาเตอร์เช็คอินเปิด

เห้ย ๆ ถ่ายรูปกัน !!! เอากล้องไปตั้งที่เก้าอี้ตรงข้าม เเล้วรีบวิ่งมานอน ใช้หน่วงเวลาถ่ายนะครับ
***เราสามารถลงไปเข้าห้องน้ำได้แต่ทุกครั้งที่เข้าออกอย่าลืมเอาพาสปอร์ตและเอกสารการจองตั๋วไปด้วยนะ
*** ที่สนามมีที่อาบน้ำด้วยนะ แต่ต้องเสียคนละ 500 Rs. แต่ไม่ได้กินตังค์ผมหรอก เก็บไว้ไปอาบที่เกสเฮ้าท์ที่เลห์ ดีกว่า
พนักงานขายกาแฟมาขอให้ถ่ายรูปให้ !!!
ผมถามไปว่าจะเอารูปมั๊ย เขาตอบมาทันควัน ไม่ ๆ อ่าว !!! แล้วจะให้ผมถ่ายทำไมเนี้ยยย
To Leh : To + 3.5 Kilometer
เมื่อทำการเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าไปหลับต่อที่เกทท์ ที่นอนในเกทท์นี้วิวดีนะ
เครื่องออกประมาณ 6 โมงหน่อย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อย ๆ ก็ถึงเลห์
***การจองที่นั่งสำหรับไปเลห์ผมแนะนำ หรือจะออกแนวบังคับ ให้นั่งฝั่งซ้ายของตัวเครื่องเพื่อเราะจะได้เห็นวิวภูเขาที่สุดลูกหูลูกตา หรือใครบอว่าไม่เอาอะ ผมอยากนั่งฝั่งขวา อยากนั่งให้แดดส่องหน้าก็ไม่ว่ากัน
*** เนื่องจากที่นี้สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นอย่างมาก อาจทำให้เราเกิดอาการ Altitude Sickness เราควรไปซื้อยา Diamox มากินแก้ล่วงหน้า 1-2 วันก่อนไป โดยหาซื้อได้ที่ โอสถศาลา ของจุฬา - ตรงข้ามมาบุญครอง เบอร์โทร 02 218 8428-9 เม็ดละประมาณ 6 บาท
สำหรับเรื่องสภาพอากาศที่นี้เดือน ตุลาคมคงจะเป็นต้นฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็น จนถึงเย็นมาก สำหรับคนไทยอย่างผม
เมื่อเดินทางมาถึงเห์ก็นั่งรถแท๊กซี่เข้าไปในเมืองในราคา 250 Rs
สำหรับเรื่องที่พักผมก็ให้พี่คนขับแท๊กซี่พาไปหา บอกไปว่าเราอยากได้ราคาเท่าไหร่ อะไรยังไง เดี๋ยวเขาพาไปดู โอเคไม่โอเคว่ากันอีกที
ผมเลือกราคาไม่เกิน 1000 Rs./คืน ห้องพักดูสะอาด มีน้ำอุ่น มี WIFI ที่เล่นได้บ้างไม่ได้บ้างตามดวงชะตา แต่ก็ถือว่าโอเค และห่างจาก Main Barzaa ประมาณ 10 นาทีโดยการเดิน
เกสท์เฮ้าท์ชื่อ Yountan Guesthouse , Fort Rd. , Leh
คุณป้าเจ้าของที่นี้ใจดีมากพอดึก ๆ หรือตอนเช้า ๆ มักจะเอา Milk tea (ที่นู้นออกเสียง มิล-ลิค-ที) รสชาติคล้ายชานมบ้านเรา มาให้เรากิน และบางวันมีคุกกี้มาด้วย
บางวันผมก็ให้คุณป้าต้มมาม่าให้ ไม่ใช่ไม่มีตังค์นะครับ

การที่ไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารเสร็จสองสามทุ่มแล้วเดินกลับที่พัก ภายใต้อากาศเย็นมากๆไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะครับ หลังจากที่รอบแรกจัดมาทดลอง 2 ซอง รอบเราเลยจัดซื้อมา 4 ซอง ได้มาครึ่งหม้อ !!! มาม่ารส มาซาร่า นะ ใช้ได้เลยทีเดียวว
Lamayuru Monastery : 120 Kilometer
หลังจากเก็บของ อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว คนขับเเท๊กซี่ก็มาเสนอโรดทริประยะสั้นให้ ในราคา 5200 Rs. ผมต่อราคาเหลือ 5000 Rs.
*** ที่นี้มีราคาแท๊กซี่สำหรับการเดินทางไปสถานที่ต่างๆที่ถูกกำหนดดดยรัฐบาลครับไม่ต้องห่วงที่จะโดนโก่งราคา
http://devilonwheels.com/leh-ladakh-taxi-rates-2015-16/comment-page-3/#comment-351893 ลองเข้าไปเช็คกันดูคร่าวๆนะครับ (1 Rs.= 0.56 THB โดยประมาณ)
คนขับรถชื่อ TASHI

พยามยามจะแอบถ่ายลุงแกตอนเท่ห์ ๆ แต่ไม่ได้เลย .... ลุงแกหลบตลอด
วันแรกที่ เลห์ เป้าหมายเรามี Lamayuru Monastery
ที่นี้เสียค่าธรรมเนียมประมาณ 30 หรือ 50 Rs. ผมจำไม่ได้

และปิดให้เข้าชมประมาณ 13:30 น.
แล้วก็ต่อด้วยมูนแลนด์ (Moon land)
กลับมาพักกินข้าวเที่ยง
Mo Mo (โม โม่ ) คืออาหารมื้อแรกที่เลห์ เป็นแป้งห่อไส้ข้างในเป็นผัก จิ้มกับซอสมะเขือเทศและซอสพริก และมีน้ำซุปร้อน ๆ ตามมา รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ราคา 80 Rs./จาน
หลังจากเติมพลังงานเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ
เดินทางต่อไปยังวัดอีกหนึ่งวัด แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะรู้สึกว่าเหนื่อยจากเมื่อคืนที่นอนหลับๆตื่นๆ และยังต้องตื่นมาตีสามกว่า ๆ
และลุงคนขับถามว่าจะแวะอีกวัดหรือเปล่า ... ด้วยความเหนื่อยล้าผมตอบไปทันควันเลยว่า ไม่ ผมเหนื่อยยยยยย
ลืมบอกไปว่าตอนขาไปเราผ่านจุดที่แม่น้ำสองเม่น้ำมาบรรจบกันด้วย
[CR] 9 Days : Leh - Ladakh
02 - 10 OCT 2015
เมื่อนึกถึงประเทศอินเดียหลาย ๆ คน คงนึกถึง หมองู ฤาษี อาหารการกิน หรือสภาพบ้านเมืองที่ดูจะวุ่นวาย
แต่คราวนี้ลองมาดูสภาพบ้านเมืองทางตอนเหนือของอินเดีย ที่ชื่อว่า เลห์ (LEH) มีชายแดนติดปากีสถาน และจีน กันว่าสภาพบ้านเมืองจะแตกต่างจากอินเดียในความคิดหรืออุดมคติของหลายคนกัน อย่างไรบ้าง
สำหรับผมรู้จักเมืองนี้เมื่อตอนเกือบ ๆ สี่ปีที่แล้ว จากเวปไซท์ภาพถ่ายแห่งหนึ่งในประเทศไทย และคิดว่าต้องมาเยือนสักครั้งสักครา แล้วก็ลากเพื่อนไปด้วยอีกหนึ่งคนเพื่อหารค่าห้องพัก ค่ารถ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์
สรุปค่าใช้จ่ายตอนสุดท้ายนะครับ
Dreamliner to Delhi
การเดินทางไป เลห์-ลาดักห์ ผมเลือกที่จะเดินทางโดยนั่งเครื่องบินจาก กรุงเทพฯ - นิวเดลี ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง
และ นิวเดลี - เลห์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือว่าหากใครมีเวลามากพอที่จะนั่งรถจากนิวเดลี ไปยัง เลห์ ก็ไม่ว่ากัน
***เวลาที่นู้นช้ากว่าไทย 1:30 ชั่วโมงนะครับ
สายการบินที่จะบิน กรุงเทพ - นิวเดลี
1. IndiGO
2. Jet Airways
3. Air India
4. การบินไทย
5. Airasia
สายการบินที่จะบิน นิวเดลี - เลห์
1. Go Air
2. Jet Airways
3. Air India
*** สำหรับการขอวีซ่า ผมใช้ e-Tousist VISA สามารถกรอกทางออนไลน์ล่วงหน้าได้ 4-34 วัน วีซ่ามีอายุ 30 วันหลังจากเข้าประเทศ โดยจะต้องเข้าประเทศทางสนามบินที่กำหนดไว้เท่านั้น เสียค่าธรรมเนียมสำหรับขอวีซ่าประมาณ 2000 บาท วีซ่าออกประมาณ 2-4 วันหลังการกรอก
***เมื่อวีซ่าออกจะส่งมาทางอีเมลอย่าลืมปริ้นท์อีเมลทั้งหมดและติดรูปถ่าย 2”x2” พร้อมเซ็นชื่อให้เรียบร้อยและพกติดตัวไปด้วย
***สำหรับที่สนามบินที่นิวเดลีจะมีช่องสำหรับตรวจพาสปอร์ตของ e-Tourist VISA โดยเฉพาะ
***http://pantip.com/topic/32955885 หรือ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=honeynut&month=27-12-2014&group=20&gblog=1
สายการบินที่ผมจองได้นั้นคือ Air India จองได้ในราคา 13005 บาท/คน ซึ่งจากที่หาๆมาหลายเดือน ผมว่าเป็นราคาที่ถูกใช้ได้เลยที่เดียว
***หากจองผ่านบัตรเครดิตและเจ้าของบัรเครดิตไม่ได้เดินทางไปด้วย ผมแนะนำให้นำบัตรประชาชนแและบัตรเครดิตของเจ้าของบัตรด้านหน้าและด้านหลัง (ปิดรหัส CVT 3 ตัว) ถ่ายเอกสารและเซ็นต์รับรองว่าใช้ไปซื้อตั๋วให้ผู้เดินทางและเซ็นต์กำกับให้เรียบร้อย
หลังจากที่เดินทางออกจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 9 โมงเช้า ก็มาถึงนิวเดลีประมาณเที่ยงหน่อย ตามแผนคือหาที่ฝากกระเป๋าแล้ว นั่งรถไฟฟ้าเข้าไปเดินเที่ยวในเมืองนิวเดลี
สำหรับที่ฝากกระเป๋าจะอยู่ตรงทางลง Metro เราเดินตามป้าย Metro ไปได้เลย ค่าฝากจะคิดตามน้ำหนักและเวลา ผมฝาก 2 ใบน้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม 3 ชั่วโมง โดนไป 300 Rs.
แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าไปในเมือง
ตั๋วรถไฟฟ้าราคา 60 Rs./เที่ยว ผมนั่งไปลงสถานี New Delhi ไปขอแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวเมืองที่ไหนก็ไม่มี ที่ไหนๆ ก็ไม่มี สุดท้ายนั่งรถตุ๊ก ตุ๊ก ที่แถวนั้นเรียกว่า ออโต้ ริ๊กซอว์ (Auto Rickshaw) ไปมัสยิดจามา
จ่ายค่าธรรมเนียมไป 300 Rs. แพงชะมัด !!! แล้วก็หาที่เก็บรองเท้าดี ทางที่ดีคือฝากคนเก็บค่าธรรมเนียมเลย
เด็กๆมาให้ถ่ายรูปให้ ถ่ายเสร็จขอตังค์อีก แต่ก็นะ !!! เด็กๆไม่ได้สัมผัสเงินรูปีที่ผมเเลกไปจากไทยหรอก
***การเเลกเงินผมแนะนำให้เเลกที่ไทยไปนะครับ แลกเป็นรูปีไปแค่พอใช้ หากต้องการสำรองแลกเป็นดอลล่าห์ไปก็ได้ครับ
แล้วเราก็ไป RED FORT เมื่อไปถึง RED FORT คนขับริ๊กชอว์บอกว่าไม่จอด ๆ ผมขอห้านาทีก็ไม่ได้
งั้นโอเค !!! ถ่ายมันตรงนี้แหละ
ด้วยความที่ตอนนี้ประมาณบ่ายหน่อย ๆ อากาศประมาณ 30’ และค่าริ๊กชอว์ก็กดไป 600 Rs. เลยตัดสินใจยกเลิกการตะลุยนิวเดลี เปลี่ยนแผนให้คนขับพาไปกิน KFC แล้วไปส่งที่สถานี METRO NEW DELHI กลับไปนอนสนามบินดีกว่า
ที่สนามบิน Indhara Ghandhi International Airport มีที่นอนพักสำหรับผู้โดยสารถ้าผจำไม่ผิดป้ายน่าจะเขียนว่า Visitor’s Lounge ที่นี้มีร้านกาแฟ ขายกาแฟ ขายน้ำ ขายขนม และมาม่า มีปลี๊กไฟ มีเก้าอี้นอน มี WIFI นะ แต่ไปขอพาสวิร์ดไม่ได้สักกะอัน
สำหรับผมกับเพื่อนเราสองคนสิงสถิตอยู่ที่นี้ตั้งแต่ บ่ายสามโมงกว่าๆ ถึงตีสามกว่า ๆ ซึ่งเป็นเวลาที่เคาเตอร์เช็คอินเปิด
เห้ย ๆ ถ่ายรูปกัน !!! เอากล้องไปตั้งที่เก้าอี้ตรงข้าม เเล้วรีบวิ่งมานอน ใช้หน่วงเวลาถ่ายนะครับ
***เราสามารถลงไปเข้าห้องน้ำได้แต่ทุกครั้งที่เข้าออกอย่าลืมเอาพาสปอร์ตและเอกสารการจองตั๋วไปด้วยนะ
*** ที่สนามมีที่อาบน้ำด้วยนะ แต่ต้องเสียคนละ 500 Rs. แต่ไม่ได้กินตังค์ผมหรอก เก็บไว้ไปอาบที่เกสเฮ้าท์ที่เลห์ ดีกว่า
พนักงานขายกาแฟมาขอให้ถ่ายรูปให้ !!!
ผมถามไปว่าจะเอารูปมั๊ย เขาตอบมาทันควัน ไม่ ๆ อ่าว !!! แล้วจะให้ผมถ่ายทำไมเนี้ยยย
To Leh : To + 3.5 Kilometer
เมื่อทำการเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าไปหลับต่อที่เกทท์ ที่นอนในเกทท์นี้วิวดีนะ
เครื่องออกประมาณ 6 โมงหน่อย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อย ๆ ก็ถึงเลห์
***การจองที่นั่งสำหรับไปเลห์ผมแนะนำ หรือจะออกแนวบังคับ ให้นั่งฝั่งซ้ายของตัวเครื่องเพื่อเราะจะได้เห็นวิวภูเขาที่สุดลูกหูลูกตา หรือใครบอว่าไม่เอาอะ ผมอยากนั่งฝั่งขวา อยากนั่งให้แดดส่องหน้าก็ไม่ว่ากัน
*** เนื่องจากที่นี้สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นอย่างมาก อาจทำให้เราเกิดอาการ Altitude Sickness เราควรไปซื้อยา Diamox มากินแก้ล่วงหน้า 1-2 วันก่อนไป โดยหาซื้อได้ที่ โอสถศาลา ของจุฬา - ตรงข้ามมาบุญครอง เบอร์โทร 02 218 8428-9 เม็ดละประมาณ 6 บาท
สำหรับเรื่องสภาพอากาศที่นี้เดือน ตุลาคมคงจะเป็นต้นฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็น จนถึงเย็นมาก สำหรับคนไทยอย่างผม
เมื่อเดินทางมาถึงเห์ก็นั่งรถแท๊กซี่เข้าไปในเมืองในราคา 250 Rs
สำหรับเรื่องที่พักผมก็ให้พี่คนขับแท๊กซี่พาไปหา บอกไปว่าเราอยากได้ราคาเท่าไหร่ อะไรยังไง เดี๋ยวเขาพาไปดู โอเคไม่โอเคว่ากันอีกที ผมเลือกราคาไม่เกิน 1000 Rs./คืน ห้องพักดูสะอาด มีน้ำอุ่น มี WIFI ที่เล่นได้บ้างไม่ได้บ้างตามดวงชะตา แต่ก็ถือว่าโอเค และห่างจาก Main Barzaa ประมาณ 10 นาทีโดยการเดิน
เกสท์เฮ้าท์ชื่อ Yountan Guesthouse , Fort Rd. , Leh
คุณป้าเจ้าของที่นี้ใจดีมากพอดึก ๆ หรือตอนเช้า ๆ มักจะเอา Milk tea (ที่นู้นออกเสียง มิล-ลิค-ที) รสชาติคล้ายชานมบ้านเรา มาให้เรากิน และบางวันมีคุกกี้มาด้วย
บางวันผมก็ให้คุณป้าต้มมาม่าให้ ไม่ใช่ไม่มีตังค์นะครับ
Lamayuru Monastery : 120 Kilometer
หลังจากเก็บของ อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว คนขับเเท๊กซี่ก็มาเสนอโรดทริประยะสั้นให้ ในราคา 5200 Rs. ผมต่อราคาเหลือ 5000 Rs.
*** ที่นี้มีราคาแท๊กซี่สำหรับการเดินทางไปสถานที่ต่างๆที่ถูกกำหนดดดยรัฐบาลครับไม่ต้องห่วงที่จะโดนโก่งราคา http://devilonwheels.com/leh-ladakh-taxi-rates-2015-16/comment-page-3/#comment-351893 ลองเข้าไปเช็คกันดูคร่าวๆนะครับ (1 Rs.= 0.56 THB โดยประมาณ)
คนขับรถชื่อ TASHI
พยามยามจะแอบถ่ายลุงแกตอนเท่ห์ ๆ แต่ไม่ได้เลย .... ลุงแกหลบตลอด
วันแรกที่ เลห์ เป้าหมายเรามี Lamayuru Monastery ที่นี้เสียค่าธรรมเนียมประมาณ 30 หรือ 50 Rs. ผมจำไม่ได้
แล้วก็ต่อด้วยมูนแลนด์ (Moon land)
กลับมาพักกินข้าวเที่ยง
Mo Mo (โม โม่ ) คืออาหารมื้อแรกที่เลห์ เป็นแป้งห่อไส้ข้างในเป็นผัก จิ้มกับซอสมะเขือเทศและซอสพริก และมีน้ำซุปร้อน ๆ ตามมา รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ราคา 80 Rs./จาน
หลังจากเติมพลังงานเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ
เดินทางต่อไปยังวัดอีกหนึ่งวัด แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะรู้สึกว่าเหนื่อยจากเมื่อคืนที่นอนหลับๆตื่นๆ และยังต้องตื่นมาตีสามกว่า ๆ และลุงคนขับถามว่าจะแวะอีกวัดหรือเปล่า ... ด้วยความเหนื่อยล้าผมตอบไปทันควันเลยว่า ไม่ ผมเหนื่อยยยยยย
ลืมบอกไปว่าตอนขาไปเราผ่านจุดที่แม่น้ำสองเม่น้ำมาบรรจบกันด้วย