
สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิปที่น่ารักทุกคน หลังจากได้อ่านรีวิว เรื่องราวท่องเที่ยวและประสบการณ์ต่างๆของเพื่อนๆอยู่พักใหญ่
เลยตัดสินใจว่า อยากจะลองมาเล่าประสบการณ์ ที่ตนเองได้มีโอกาส
เข้าร่วมกับโครงการ Wwoof Japan เมื่อปลายเดือน วันทื30กรกฎาคม ถึงวันที่10 สิงหาคมที่ผ่านมา
รวมทั้งสิ้น12 วัน ณ Hokkaido เมือง Suttsu ซึ่งก่อนไปเรามมีเวลาเตรียมตัวเดินทาง กันไม่ถึง48 ชม.
เนื่องจากหลังสมัครเข้าร่วมโครงการในวันที่ 26 กรกฏาคม ทางเราก็ส่งจดหมายคุยกับทางโฮส
และตอบตกลงกันภายในวันนั้นเลยทันที เรียกว่าใจง่ายมากๆเลยก็ได้ค่ะ ส่งปุ๊บ อีกไม่นานได้รับคำตอบตกลงปั๊บ
เราก็กดซื้อตั๋วภายในวันนั้นเลยทันที แต่ว่าเราไม่ได้ไปคนเดียวนะคะ
เพราะว่าโฮสเองอยากได้Wwoofสองคน ช่วยกันทำงานเป็นทีมเวิร์ค
เราก็เลยทำการล่อหลอกหาสมาชิกไปหาประสบการณ์ด้วยกัน จนได้ผู้ร่วมขบวนการ ไปผจญภัยกับเรา
มิลค์จะเป็นคนชอบวาดภาพ นั่งว่างไม่ได้จะต้องหาอะไรมาวาด ไม่ใช้ดินสอ ปากกา
เธอก็จะใช้โทรศัพท์ขีดๆวาดๆไปมาทั้งวัน
ส่วนตัวเราเองจะเป็นคนชอบขีดๆเขียนๆมากกว่า เพราะเรื่องวาดภาพนี่ไม่เอาไหนเลย
ที่สำคัญเราสองคนเป็นคนชอบธรรมชาติ ลุยๆเหมือนกัน ชอบไปบ้านนอก หรือเมืองเก่าๆ
ไม่ค่อยเน้นช๊อปปิ้งเท่าไหร่ แต่ก็มีบ้างตามอัตภาพเงินในกระเป๋าสตางค์ค่ะ แฮ่ ….
และเราสองคนเคยคุยกันก่อนหน้าเรื่องโครงการนี้มาแล้วเมื่อเดือนก่อน
หลังจากชวนไปสั้นๆ ว่าไปมั้ยเราจะไปWwoof อีกสองวันจะบินแล้วและจะไปเที่ยวก่อนสักสองวันค่อยไปเริ่มงาน
พอมิ้ลค์ได้ฟัง ก็เกิดอาการใจง่ายไม่ต่างกันค่ะ ชวนปุ๊บตกลงปั๊บ อีกเหตุผลที่มิลค์ตอบตกลงง่าย
เพราะโฮสหญิงของเราชอบวาดรูปเหมือนกันค่ะ
มิลค์ก็เลยสมัครWwoofจ่ายเงินทันที พอโฮสเห็นโปรไฟล์แล้วโอเค ตอบตกลง
ก็จัดแจงซื้อตั๋วเครื่องบิน บินไปพร้อมกันกับเรา เพราะเหตุผลเดียวกัน - เป็นคนขี้เที่ยว อยากเที่ยวก่อนสักนิด
ก่อนไปทำงานในฟาร์มกันค่ะ สรุปทริปนี้ก็มี กันสองสาวถ้วนค่ะ
โดยเราเลือกเดินทางไปวันที่28 กรกฎาคมก่อน เพื่อแอบเที่ยวรอบๆตัวเมือง Sapporo และ Otaru ก่อน สักสองวัน อย่างที่บอกไป
เพราะไหนๆก็มาแล้ว ขอเที่ยวสักนิดก็ยังดี มาทั้งทีขอเอาให้คุ้มสักหน่อยเนอะ
เพราะหลังจากนี้เราต้องนั่งรถไฟเข้าสู่ชนบทของHokkaido ไปยังเมืองSuttsu
แต่ขอตัดข้ามวันที่แอบหนีเที่ยวไปนะคะ มาเล่าต่อในวันที่เราต้องเดินทางเข้าบ้านโฮสกันเลย
เราเช็คตารางรถไฟกับทางเวบ Hyperdia พอทราบเวลารถไฟที่จะออก
ก็จัดแจงนัดโฮสค่ะ ผ่านทางอีเมลล์ ของโครงการ เนื่องจากบ้านพักของโฮสอยู่ไกลจากสถานีรถไฟออกไปอีก30นาที
และเวลาที่ไปถุงค่อนข้างจะค่ำแล้ว โฮสจึงให้เรารอที่สถานีรถไฟ แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ
พอไปถึงจะซื้อตั๋วรถไฟ สอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อความแน่ใจ ก็ต้องเกิดอาการเหวอ กระทันหัน
เพราะว่าในวันที่นั้น รถไฟไม่มีรอบเวลาดังกล่าว รอบที่เราเช็ควันเวลากับทางhypediaมา
ด้วยความที่เราไว้ใจเจ้าเวบheperdiaมากไป เนื่องจากที่ผ่านๆมาไม่ว่าจะไปเมืองอื่นๆกี่ครั้งกี่หน
ใช้เจ้าเวบนี้ทีไรก็ได้เวลาและตารางรถไฟที่แม่นยำทุกรอบ แต่หนนี้ทำไมทำกันได้ T T
จึงสอบถามรอบรถไฟที่ใกล้ที่สุด เจ้าหน้าที่ได้แจ้งกลับมา จะมีรถไฟไปเมืองนี้อีกรอบเดียว
คืออีกประมาณ3ชม.เลยค่ะ ด้วยความที่แบกของมาเยอะ เพราะมีทั้งเสื้อผ้ากันหนาว
(ตอนนั้นเป็นฤดูร้อนก็จริงค่ะ แต่โฮสบอกว่าควรมาเสื้ออุ่นๆมานะ เพราะบางวันก็อาจจะหนาวเย็นได้)
ชุดกันฝน ซึ่งช่วงนั้นจะมีฝนค่อนข้างบ่อยค่ะ และชุดทำงานในฟาร์ม ที่เลอะเทอะได้ อันนี้เราไม่มี แต่ก็ไปแวะซื้อในสองวันแรก
เตรียมแบบแขนยาวไปค่ะ เพราะจะได้กันแดดด้วย หมวกทำสวน ช่วงบังแดด และกันละอองเกสรปลิวลงหน้าตา
และไหนจะชุดใส่หลังทำงานอีก คือจริงๆเจ้าของกระทู้เป็นมนุษย์บ้าหอบฟางค่ะ ต้องพร้อม ต้องมีครบ
กระเป๋าโดราเอม่อน ยา ของเครื่องใช้ สบู่ แชมพู ยาสระผม เตรียมมาหมด ซึ่งอันหลังนี่โฮสให้เตรียมมาเองด้วยค่ะ
น้ำยาซักผ้า ยาปรับผ้านุ่มแบบซอง โฮสบอกให้มาใช้เครื่องซักผ้าได้
แต่ต้องเตรียมน้ำยาซักผ้าพกมาเองค่ะ กระติกน้ำไว้ใส่น้ำ เอาไว้ทานตอนทำงานเหนื่อยๆที่ฟาร์ม
รองเท้าบูท และอื่นๆตามที่โฮสแนะนำมาค่ะ และเนื่องจากของที่หนักอึ้ง และกระเป๋าใบโต๊โต
ทำให้ไม่อยากไปแวะเที่ยวไหนฆ่าเวลาแล้วค่ะ เลยหาที่นั่งแถวๆสถานีรถไฟนั่งรอเวลา
ระหว่างนั้นก็พยายามติดต่อโฮสทางเมลล์ ซึ่งก็ไม่มีการตอบรับกลับมาเลย
ตอนนั้นเริ่มร้อนใจ กลัวโฮสจะไปรอเก้อ กลัวถึงเวลาจริงๆเราไปจะไม่มีใครมารับ
เพราะเคยมีประสบการณ์ ยืน งง หลงค้างในบ้านนอกของโอซาก้า กลางป่ากลางเขามาแล้ว
(ไว้มีโอกาสจะเล่าการเดินทางแสนสนุกครั้งนั้นให้ฟังนะคะ)
จึงค้นเบอร์โทรของโฮส เพื่อจะโทรแจ้ง ทั้งเนื้อตัวเหรียญก็มีไม่มาก มีเพียง3 เหรียญค่ะ
และด้วยความฉลาดน้อย ใช้โทรศัพท์สาธารณะของญี่ปุ่นไม่เก่งค่ะ จริงๆต้องบอกว่าใช้ไม่เป็นนั่นแหละ
หยอดไปหนแรกกดไม่ถูกค่ะ และถูกกินเหรียญไป เหรียญไม่ไหลคืน ก็เลยลองหนที่สองค่ะ หนนี้ติดนะคะ
แต่ไม่มีคนรับ และเหรียญก็ไม่ไหลคืนด้วย ตอนนั้นก็คิดแล้วเอาไงดีเนี่ยเหรียญสุดท้ายทำยังไงดี
ก็เลยเดินไปถามคนแถวนั้นว่าเรากดเบอร์แบบนี้ถูกแล้วใช่มั้ย
เค้าก็พยักหน้าตอบหงึกๆมาค่ะ เราก็เลย ลองโทรอีกหนด้วยเหรียญสุดท้ายที่มีอยู่ในตัวตอนนั้น ตู๊ดดด ตู๊ดดดด ตู๊ดดดด ตู๊ดดดด
หลายตู๊ดแล้ว โทรศัพท์จะตัดแล้ว รับเร็วสิค่ะ รับค่ะ รับ และแล้วก็เหมือนเสียงสวรรค์ โฮสรับสายค่ะ
เราก็เลยรีบแจ้งเค้าไปว่ารถไฟรอบที่เราบอกมันไม่มีนะ เราต้องขอโทษด้วยกว่าจะมีอีกรอบก็อีกสามชม.เลย
เราคงไปถึงดึกมากๆเลย ทางโฮสก็ใจดีค่ะ บอกว่าไม่เป็นไร
ฉันจะไปรับตอนเธอมาถึงนะ รออยู่ที่สถานีรถไฟนะ เราก็รีบถามค่ะ คุณจะรอตรงไหน ประตูทางออกexitที่เท่าไหร่
ฉันจะได้ออกไปหาถูก โฮสขำ ฮึ ฮึ ใส่เรา และบอก รอตรงถนนนั้นแหละ จะจอดรอหน้าสถานีเลย และก็วางไป
เราก็เลยเดินกลับมาบ่นงุ้งงิ้ง ให้มิลค์ฟังว่าจะหาโฮสเจอมั้ยน๊า โฮสไม่ได้บอกออกประตูไหน
(ถ้าคนไปญี่ปุ่นจะทราบดี ว่าปกติสถานีรถไฟในเมืองส่วนมากจะมีหลายทางออกค่ะ เวลาไปไหนมาไหนจะต้องเช็คให้ดี
ออกผิดทางนี่มีหลงแน่ๆค่ะ ยิ่งคนไม่ชำนาญเส้นทางในญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้วสถานีตามต่างจังหวัดก็จะมีทางออกเดียวค่ะ
ออกปุ๊บถึงถนนปั๊บ แต่ ณ ตอนนั้นในหัวไม่ได้คิดว่าสถานีมันจะเล็กขนาดนั้น เพิ่งมาคิดได้ตอนหลังค่ะ >.< )
หลังจากนั่งกันไปสักแป๊บ ก็มีคุณป้าท่านนึงเดินมาคุยด้วย คุยเป็นภาษาอังกฤษนะคะ และก็บอกว่าชอบพูดภาษาอังกฤษมาก
แต่คุณป้าพูดอังกฤษผสมญี่ปุ่น ซึ่งทักษะญี่ปุ่นเรานี่ระดับเด็กอนุบาลชนะค่ะ พอจับความได้เป็นคำๆ
และอาศัยการเดาเป็นหลักใหญ่ คุณป้าก็หยิบสมุดออกมาหนึ่งเล่ม และเริ่มเปิดแต่ละหน้าชี้ไป
ซึ่งแต่ละหน้าจะมีชื่อเพลงภาษาอังกฤษอยู่ เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างเป็นเพลงเก่าๆค่ะ
คุณป้าก็เริ่มนั่งร้องเพลงแต่ละเพลงที่เปิดหน้าสมุดไหนไปเจอก็ร้องเพลงนั้นให้เราฟังค่ะ
นั่งฟังอยู่หลายเพลงแบบ งง งง ขำปน อมยิ้ม ในความน่ารักของคุณป้า
คิดว่าแกเองคงเหงาด้วยไม่มีเพื่อนคุย และคงกึ๊บแอลกอฮอล์มาแน่นอน
กลิ่นแอลกอฮอลล์นี่มาชัดเจนมาก และคงบวกความเฟรนลี่ในตัวคุณป้า ก็เลยเดินไปมาหาเพื่อนคุย
จนมาเจอเราสองคนนั่ง งง บวกเซ็งๆอยู่ คงอยากสร้างความบรรเทิงใจให้นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในบ้านเมืองของตน
ได้รู้สึกถึงไมตรีจิต และมีเสียงเพลงในหัวใจ (นี่ก็พูดไป ซะยาวเรื่อยเปื่อย ^^”)
หลังจากร้องเพลงให้ความครื้นเครงอยู่ราวๆสองชั่วโมง คุณป้าก็ขอตัวแยกจากไป
เราสองคนก็เลย ลากกระเป๋าเข้าด้านใน ไปหาซื้อของกินติดไม้ติดมือไปทานบนรถไฟ
และไปยืนรอขบวนรถไฟก่อนเวลาเพราะไม่อยากตกรถไฟขบวนนี้โดยเด็ดขาด
และเนื่องจากเราต้องนั่งนานหลายชม. ก็เลยเลือกจองที่นั่งเพิ่มเติม
จะได้ไม่ต้องไปยืนทรมาณขากันบนรถไฟนานสองนาน
รูปคุณป้าค่ะ นั่งแบบเป็นกันเองมาก จริงๆมีคลิปด้วย ขอบคุณนะคะที่มาช่วยทำให้เวลารอของเราสองคนมีสีสัน
สองสาวชวนกันเก็บมะเขือเทศแสนอร่อยที่ Hokkaido กับโครงการ Wwoof Japan
สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิปที่น่ารักทุกคน หลังจากได้อ่านรีวิว เรื่องราวท่องเที่ยวและประสบการณ์ต่างๆของเพื่อนๆอยู่พักใหญ่
เลยตัดสินใจว่า อยากจะลองมาเล่าประสบการณ์ ที่ตนเองได้มีโอกาส
เข้าร่วมกับโครงการ Wwoof Japan เมื่อปลายเดือน วันทื30กรกฎาคม ถึงวันที่10 สิงหาคมที่ผ่านมา
รวมทั้งสิ้น12 วัน ณ Hokkaido เมือง Suttsu ซึ่งก่อนไปเรามมีเวลาเตรียมตัวเดินทาง กันไม่ถึง48 ชม.
เนื่องจากหลังสมัครเข้าร่วมโครงการในวันที่ 26 กรกฏาคม ทางเราก็ส่งจดหมายคุยกับทางโฮส
และตอบตกลงกันภายในวันนั้นเลยทันที เรียกว่าใจง่ายมากๆเลยก็ได้ค่ะ ส่งปุ๊บ อีกไม่นานได้รับคำตอบตกลงปั๊บ
เราก็กดซื้อตั๋วภายในวันนั้นเลยทันที แต่ว่าเราไม่ได้ไปคนเดียวนะคะ
เพราะว่าโฮสเองอยากได้Wwoofสองคน ช่วยกันทำงานเป็นทีมเวิร์ค
เราก็เลยทำการล่อหลอกหาสมาชิกไปหาประสบการณ์ด้วยกัน จนได้ผู้ร่วมขบวนการ ไปผจญภัยกับเรา
มิลค์จะเป็นคนชอบวาดภาพ นั่งว่างไม่ได้จะต้องหาอะไรมาวาด ไม่ใช้ดินสอ ปากกา
เธอก็จะใช้โทรศัพท์ขีดๆวาดๆไปมาทั้งวัน
ส่วนตัวเราเองจะเป็นคนชอบขีดๆเขียนๆมากกว่า เพราะเรื่องวาดภาพนี่ไม่เอาไหนเลย
ที่สำคัญเราสองคนเป็นคนชอบธรรมชาติ ลุยๆเหมือนกัน ชอบไปบ้านนอก หรือเมืองเก่าๆ
ไม่ค่อยเน้นช๊อปปิ้งเท่าไหร่ แต่ก็มีบ้างตามอัตภาพเงินในกระเป๋าสตางค์ค่ะ แฮ่ ….
และเราสองคนเคยคุยกันก่อนหน้าเรื่องโครงการนี้มาแล้วเมื่อเดือนก่อน
หลังจากชวนไปสั้นๆ ว่าไปมั้ยเราจะไปWwoof อีกสองวันจะบินแล้วและจะไปเที่ยวก่อนสักสองวันค่อยไปเริ่มงาน
พอมิ้ลค์ได้ฟัง ก็เกิดอาการใจง่ายไม่ต่างกันค่ะ ชวนปุ๊บตกลงปั๊บ อีกเหตุผลที่มิลค์ตอบตกลงง่าย
เพราะโฮสหญิงของเราชอบวาดรูปเหมือนกันค่ะ
มิลค์ก็เลยสมัครWwoofจ่ายเงินทันที พอโฮสเห็นโปรไฟล์แล้วโอเค ตอบตกลง
ก็จัดแจงซื้อตั๋วเครื่องบิน บินไปพร้อมกันกับเรา เพราะเหตุผลเดียวกัน - เป็นคนขี้เที่ยว อยากเที่ยวก่อนสักนิด
ก่อนไปทำงานในฟาร์มกันค่ะ สรุปทริปนี้ก็มี กันสองสาวถ้วนค่ะ
โดยเราเลือกเดินทางไปวันที่28 กรกฎาคมก่อน เพื่อแอบเที่ยวรอบๆตัวเมือง Sapporo และ Otaru ก่อน สักสองวัน อย่างที่บอกไป
เพราะไหนๆก็มาแล้ว ขอเที่ยวสักนิดก็ยังดี มาทั้งทีขอเอาให้คุ้มสักหน่อยเนอะ
เพราะหลังจากนี้เราต้องนั่งรถไฟเข้าสู่ชนบทของHokkaido ไปยังเมืองSuttsu
แต่ขอตัดข้ามวันที่แอบหนีเที่ยวไปนะคะ มาเล่าต่อในวันที่เราต้องเดินทางเข้าบ้านโฮสกันเลย
เราเช็คตารางรถไฟกับทางเวบ Hyperdia พอทราบเวลารถไฟที่จะออก
ก็จัดแจงนัดโฮสค่ะ ผ่านทางอีเมลล์ ของโครงการ เนื่องจากบ้านพักของโฮสอยู่ไกลจากสถานีรถไฟออกไปอีก30นาที
และเวลาที่ไปถุงค่อนข้างจะค่ำแล้ว โฮสจึงให้เรารอที่สถานีรถไฟ แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ
พอไปถึงจะซื้อตั๋วรถไฟ สอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อความแน่ใจ ก็ต้องเกิดอาการเหวอ กระทันหัน
เพราะว่าในวันที่นั้น รถไฟไม่มีรอบเวลาดังกล่าว รอบที่เราเช็ควันเวลากับทางhypediaมา
ด้วยความที่เราไว้ใจเจ้าเวบheperdiaมากไป เนื่องจากที่ผ่านๆมาไม่ว่าจะไปเมืองอื่นๆกี่ครั้งกี่หน
ใช้เจ้าเวบนี้ทีไรก็ได้เวลาและตารางรถไฟที่แม่นยำทุกรอบ แต่หนนี้ทำไมทำกันได้ T T
จึงสอบถามรอบรถไฟที่ใกล้ที่สุด เจ้าหน้าที่ได้แจ้งกลับมา จะมีรถไฟไปเมืองนี้อีกรอบเดียว
คืออีกประมาณ3ชม.เลยค่ะ ด้วยความที่แบกของมาเยอะ เพราะมีทั้งเสื้อผ้ากันหนาว
(ตอนนั้นเป็นฤดูร้อนก็จริงค่ะ แต่โฮสบอกว่าควรมาเสื้ออุ่นๆมานะ เพราะบางวันก็อาจจะหนาวเย็นได้)
ชุดกันฝน ซึ่งช่วงนั้นจะมีฝนค่อนข้างบ่อยค่ะ และชุดทำงานในฟาร์ม ที่เลอะเทอะได้ อันนี้เราไม่มี แต่ก็ไปแวะซื้อในสองวันแรก
เตรียมแบบแขนยาวไปค่ะ เพราะจะได้กันแดดด้วย หมวกทำสวน ช่วงบังแดด และกันละอองเกสรปลิวลงหน้าตา
และไหนจะชุดใส่หลังทำงานอีก คือจริงๆเจ้าของกระทู้เป็นมนุษย์บ้าหอบฟางค่ะ ต้องพร้อม ต้องมีครบ
กระเป๋าโดราเอม่อน ยา ของเครื่องใช้ สบู่ แชมพู ยาสระผม เตรียมมาหมด ซึ่งอันหลังนี่โฮสให้เตรียมมาเองด้วยค่ะ
น้ำยาซักผ้า ยาปรับผ้านุ่มแบบซอง โฮสบอกให้มาใช้เครื่องซักผ้าได้
แต่ต้องเตรียมน้ำยาซักผ้าพกมาเองค่ะ กระติกน้ำไว้ใส่น้ำ เอาไว้ทานตอนทำงานเหนื่อยๆที่ฟาร์ม
รองเท้าบูท และอื่นๆตามที่โฮสแนะนำมาค่ะ และเนื่องจากของที่หนักอึ้ง และกระเป๋าใบโต๊โต
ทำให้ไม่อยากไปแวะเที่ยวไหนฆ่าเวลาแล้วค่ะ เลยหาที่นั่งแถวๆสถานีรถไฟนั่งรอเวลา
ระหว่างนั้นก็พยายามติดต่อโฮสทางเมลล์ ซึ่งก็ไม่มีการตอบรับกลับมาเลย
ตอนนั้นเริ่มร้อนใจ กลัวโฮสจะไปรอเก้อ กลัวถึงเวลาจริงๆเราไปจะไม่มีใครมารับ
เพราะเคยมีประสบการณ์ ยืน งง หลงค้างในบ้านนอกของโอซาก้า กลางป่ากลางเขามาแล้ว
(ไว้มีโอกาสจะเล่าการเดินทางแสนสนุกครั้งนั้นให้ฟังนะคะ)
จึงค้นเบอร์โทรของโฮส เพื่อจะโทรแจ้ง ทั้งเนื้อตัวเหรียญก็มีไม่มาก มีเพียง3 เหรียญค่ะ
และด้วยความฉลาดน้อย ใช้โทรศัพท์สาธารณะของญี่ปุ่นไม่เก่งค่ะ จริงๆต้องบอกว่าใช้ไม่เป็นนั่นแหละ
หยอดไปหนแรกกดไม่ถูกค่ะ และถูกกินเหรียญไป เหรียญไม่ไหลคืน ก็เลยลองหนที่สองค่ะ หนนี้ติดนะคะ
แต่ไม่มีคนรับ และเหรียญก็ไม่ไหลคืนด้วย ตอนนั้นก็คิดแล้วเอาไงดีเนี่ยเหรียญสุดท้ายทำยังไงดี
ก็เลยเดินไปถามคนแถวนั้นว่าเรากดเบอร์แบบนี้ถูกแล้วใช่มั้ย
เค้าก็พยักหน้าตอบหงึกๆมาค่ะ เราก็เลย ลองโทรอีกหนด้วยเหรียญสุดท้ายที่มีอยู่ในตัวตอนนั้น ตู๊ดดด ตู๊ดดดด ตู๊ดดดด ตู๊ดดดด
หลายตู๊ดแล้ว โทรศัพท์จะตัดแล้ว รับเร็วสิค่ะ รับค่ะ รับ และแล้วก็เหมือนเสียงสวรรค์ โฮสรับสายค่ะ
เราก็เลยรีบแจ้งเค้าไปว่ารถไฟรอบที่เราบอกมันไม่มีนะ เราต้องขอโทษด้วยกว่าจะมีอีกรอบก็อีกสามชม.เลย
เราคงไปถึงดึกมากๆเลย ทางโฮสก็ใจดีค่ะ บอกว่าไม่เป็นไร
ฉันจะไปรับตอนเธอมาถึงนะ รออยู่ที่สถานีรถไฟนะ เราก็รีบถามค่ะ คุณจะรอตรงไหน ประตูทางออกexitที่เท่าไหร่
ฉันจะได้ออกไปหาถูก โฮสขำ ฮึ ฮึ ใส่เรา และบอก รอตรงถนนนั้นแหละ จะจอดรอหน้าสถานีเลย และก็วางไป
เราก็เลยเดินกลับมาบ่นงุ้งงิ้ง ให้มิลค์ฟังว่าจะหาโฮสเจอมั้ยน๊า โฮสไม่ได้บอกออกประตูไหน
(ถ้าคนไปญี่ปุ่นจะทราบดี ว่าปกติสถานีรถไฟในเมืองส่วนมากจะมีหลายทางออกค่ะ เวลาไปไหนมาไหนจะต้องเช็คให้ดี
ออกผิดทางนี่มีหลงแน่ๆค่ะ ยิ่งคนไม่ชำนาญเส้นทางในญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้วสถานีตามต่างจังหวัดก็จะมีทางออกเดียวค่ะ
ออกปุ๊บถึงถนนปั๊บ แต่ ณ ตอนนั้นในหัวไม่ได้คิดว่าสถานีมันจะเล็กขนาดนั้น เพิ่งมาคิดได้ตอนหลังค่ะ >.< )
หลังจากนั่งกันไปสักแป๊บ ก็มีคุณป้าท่านนึงเดินมาคุยด้วย คุยเป็นภาษาอังกฤษนะคะ และก็บอกว่าชอบพูดภาษาอังกฤษมาก
แต่คุณป้าพูดอังกฤษผสมญี่ปุ่น ซึ่งทักษะญี่ปุ่นเรานี่ระดับเด็กอนุบาลชนะค่ะ พอจับความได้เป็นคำๆ
และอาศัยการเดาเป็นหลักใหญ่ คุณป้าก็หยิบสมุดออกมาหนึ่งเล่ม และเริ่มเปิดแต่ละหน้าชี้ไป
ซึ่งแต่ละหน้าจะมีชื่อเพลงภาษาอังกฤษอยู่ เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างเป็นเพลงเก่าๆค่ะ
คุณป้าก็เริ่มนั่งร้องเพลงแต่ละเพลงที่เปิดหน้าสมุดไหนไปเจอก็ร้องเพลงนั้นให้เราฟังค่ะ
นั่งฟังอยู่หลายเพลงแบบ งง งง ขำปน อมยิ้ม ในความน่ารักของคุณป้า
คิดว่าแกเองคงเหงาด้วยไม่มีเพื่อนคุย และคงกึ๊บแอลกอฮอล์มาแน่นอน
กลิ่นแอลกอฮอลล์นี่มาชัดเจนมาก และคงบวกความเฟรนลี่ในตัวคุณป้า ก็เลยเดินไปมาหาเพื่อนคุย
จนมาเจอเราสองคนนั่ง งง บวกเซ็งๆอยู่ คงอยากสร้างความบรรเทิงใจให้นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในบ้านเมืองของตน
ได้รู้สึกถึงไมตรีจิต และมีเสียงเพลงในหัวใจ (นี่ก็พูดไป ซะยาวเรื่อยเปื่อย ^^”)
หลังจากร้องเพลงให้ความครื้นเครงอยู่ราวๆสองชั่วโมง คุณป้าก็ขอตัวแยกจากไป
เราสองคนก็เลย ลากกระเป๋าเข้าด้านใน ไปหาซื้อของกินติดไม้ติดมือไปทานบนรถไฟ
และไปยืนรอขบวนรถไฟก่อนเวลาเพราะไม่อยากตกรถไฟขบวนนี้โดยเด็ดขาด
และเนื่องจากเราต้องนั่งนานหลายชม. ก็เลยเลือกจองที่นั่งเพิ่มเติม
จะได้ไม่ต้องไปยืนทรมาณขากันบนรถไฟนานสองนาน
รูปคุณป้าค่ะ นั่งแบบเป็นกันเองมาก จริงๆมีคลิปด้วย ขอบคุณนะคะที่มาช่วยทำให้เวลารอของเราสองคนมีสีสัน