"โรงเหล็ก 22" ว่าที่ตำนานแห่งเกาะภูเก็ต

"1 : ............ ว่าที่ตำนานแห่งเกาะภูเก็ต ............"

เกือบร้อยสิบปีมาแล้วตอนที่เรือสำเภาจีนสามเสาลำใหญ่ ขนนักแสวงโชคหลายร้อยคนจากตำบลตั่วโพ้ มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีนเข้ามาจอดเทียบท่าบ้านสะปำ เมืองถลางประมาณปี พ.ศ. 2450 นั้น เตี่ยวก้ายฮ่องซึ่งโดยสารมากับเรือ ยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ มีอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก แต่รายได้อันน้อยนิดจากการทำงานในเมืองจีนทำให้ตัดสิ นใจออกเผชิญโลก ประกอบกับข่าวคราวในทางที่ดีจากคนรุ่นก่อนๆ ที่ไปตั้งหลักที่เมืองไทย เตี่ยวก้ายฮ่องจึงหอบข้าวของอุปกรณ์ ลาจากแผ่นดินบ้านเกิดลงเรือสำเภาลำนั้นมาอยู่ที่เกาะ ภูเก็ต มีครอบครัวลูกหลานสืบทอดมาจนทุกวันนี้

“โรงเหล็ก 22” หนึ่งในโรงตีเหล็กที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน บนเกาะภูเก็ต ดำเนินกิจการตีเหล็กมาร้อยกว่าปี และสืบทอดวิชาตีเหล็กมาอย่างยาวนานกว่า 4 เจเนเรชั่นแล้ว โดยในตอนแรกโรงเหล็กแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านที่เรียกกั นว่า "แถวน้ำ” ในตัวเมืองภูเก็ต แล้วได้ย้ายมาตั้งอยู่ที่เกาะแก้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสถานที่ตั้งเก่านั้นคับแคบจนเกินไป โรงเหล็กแห่งนี้ยังคงอนุรักษ์การตีเหล็กแบบโบราณเอาไ ว้อย่างเหนี่ยวแน่น ซึ่งการตีเหล็กแบบนี้นับวันก็ยิ่งหาชมได้ยากมากขึ้นท ุกที


"2 : ............ รุ่นที่ 3 ............"

“เตี่ยวหงวนจ้อง” หรือคุณปู่ปรีชา ตีรนานุวัฒน์ เจ้าของร้าน เป็นบุตรของเตี่ยวกี้แสง และเป็นหลานของเตี่ยวก้ายฮ่อง เตี่ยวหงวนจ้อง มีสมญาว่า “แป๊ะหมี่” ปัจจุบันอายุ 83 ปี สืบทอดอาชีพตีเหล็กมานานกว่า 60 ปี

“แป๊ะหมี่” สืบทอดอาชีพการตีเหล็กโบราณมาเป็นรุ่นที่ 3 ต่อจากคุณปู่ และคุณพ่อตามลำดับ ซึ่งนับจำนวนปีคร่าวๆ ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ จนกระทั่งปัจจุบันแล้ว ก็น่าจะประมาณร้อยสิบปี แต่เนื่องจากเวลาผ่านมานานมากแล้วทำให้แป๊ะหมี่หลงลื มตัวเลขที่แน่นอนไปบ้าง ในบางครั้ง

แป๊ะหมี่ มีลูกทั้งหมด 6 คน ลูกสาว 4 คน ลูกชาย 2 คน โดยลูกชายทั้งสองมาช่วยงานโรงเหล็กคือ "เตี่ยวเช้งโห" บุตรชายคนโต ชื่อไทย คุณสุเทพ ตีรนานุวัฒน์ กับ "เตี่ยวเซ้งบ่าน" บุตรชายคนเล็ก ชื่อไทย คุณสุวัฒน์ ตีรนานุวัฒน์


"3 : ............ ยังไม่วางค้อนง่ายๆ ............"

แม้จะ 83 ปีแล้ว แต่อายุก็เป็นเพียงตัวเลข เพราะว่าทุกวันนี้    แป๊ะหมี่ ยังคงทำหน้าที่ตีเหล็กมีดพร้า อยู่ทุกวัน เพราะงานทุกชิ้นต้องผ่านมือของแป๊ะหมี่ คล้ายๆ กับเป็นหน่วยตรวจสอบคุณภาพอะไรประมาณนั้น

“แป๊ะหมี่” เป็นคนสูงอายุที่ยังแข็งแรงอยู่ แกบอกว่าถ้าวันไหนไม่ได้ตีเหล็ก ร่างกายจะอ่อนล้า ปวดเมื่อย เลยต้องตีเหล็กทุกวัน แม้ทุกวันนี้จะทำหน้าที่เพียงตีเหล็กในเฉพาะขั้นตอนส ุดท้าย แต่นั่นก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

นอกจากนี้แป๊ะหมี่ ยังเป็นคนคุยสนุก อารมณ์ดี สายตาแกยังแจ๋วเหมือนคนหนุ่ม ผมถามแป๊ะหมี่ว่า “โรงเหล็ก 22 นี้ คุณพ่อของแป๊ะยกโรงเหล็กแห่งนี้ให้แป๊ะเหรอครับ” แป๊ะหมี่ตอบว่า ไม่ได้ยกให้ เพียงแต่ว่าใครมีความสามารถและสนใจที่จะทำก็ให้ทำ ใครไม่อยากทำก็ไปทำอย่างอื่น แป๊ะหมี่เลยเลือกที่จะสานงานโรงเหล็กต่อ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ก็เลือกไปทำงานที่ตนเองถนัด


"4 : ............ ขุนฆ้อนมือหนึ่ง ............"

เตี่ยวเช้งโห" หรือ คุณสุเทพ ชื่อเล่น “โห” ปัจจุบันอายุก็ปาเข้าไปจะหกสิบปีแล้ว นอกจากจะรับหน้าที่เป็นช่างตีเหล็กมือหนึ่งประจำโรงเ หล็กแล้ว หน้าที่ประจำอีกอย่างหนึ่งของช่างโห ก็คือการเจียรมีดพร้า เพื่อลับคม และตกแต่งชิ้นงาน ก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการชุบแข็งต่อไป
ช่างโห เล่าว่าจริงๆ เมื่อก่อนอยากที่จะลองเปลี่ยนงานไปทำอย่างอื่น นอกจากการตีเหล็กบ้าง แต่เนื่องจากเป็นการปูทางของผู้เป็นพ่อ จึงต้องสืบทอดและรักษาธุรกิจนี้ไว้ให้นานที่สุด ซึ่งเป็นปรัชญาสำคัญที่ว่า จะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ซึ่งทั้งช่างโหและช่างอ๊อด ต่างก็ทำหน้าที่ในการสืบทอดวิชาการตีเหล็กไว้ได้อย่า งสมบูรณ์แบบ จนถึงทุกวันนี้


"5 : ............ ลูกชายคนเล็ก ............"

"เตี่ยวเซ้งบ่าน" หรือ “ช่างอ๊อด” บุตรชายคนเล็กของแป๊ะหมี่ อายุ 51 ปี ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นขุนค้อนมือสองประจำโรงเหล็ก 22 ยึดอาชีพตีเหล็กมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ช่างอ๊อดรับผิดชอบหน้าที่อีกอย่าง คือการเจียรขวาน ซึ่งก็คล้ายกับการเจียรมีดของช่างโห โดยหน้าที่การเจียรเหล็กแต่ละอย่างนั้นได้แบ่งกันอย่ างชัดเจน นอกจากนี้ยังเป็นคนจัดเตรียมเหล็กที่จะตีในแต่ละวัน และยังรับผิดชอบงานเชื่อมทั้งหมดอีกด้วย

แม้ว่าโรงเหล็กจะเป็นธุรกิจในครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากๆ ก็คือ “การตรงต่อเวลา” เมื่อถึงเวลาทำงานช่างทั้งสองต่างก็รีบทำหน้าที่ของต นอย่างตั้งใจ และขณะทำงานก็มีสมาธิ จดจ่ออยู่ในงานที่ทำเป็นอย่างมาก จะไม่คุยจนเสียสมาธิ เพราะถ้าหากขาดสมาธิก็อาจจะทำให้ชิ้นงานที่กำลังตีนั ้นเสีย ไปจนถึงได้รับบาดเจ็บจากการตีเหล็กได้

ช่างอ๊อดชอบฟังเพลงลูกทุ่งเป็นอย่างมาก ระหว่างทำงานก็จะเปิดวิทยุเครื่องเล็กที่อยู่ข้างๆ ฟังตลอดเพื่อความเพลิดเพลิน และบางครั้งผมตอนที่ผมไปโรงเหล็ก ผมก็จะติดแผ่น MP3 เพลงลูกทุ่งไปฝากด้วย


"6 : ............ เตรียมเชื้อเพลิง ............"

“ช่างอ๊อด” กำลังเตรียมถ่าน ซึ่งเป็นเชื้อพลิงในการเผาเหล็ก และฝุ่นของถ่านที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณ ประกอบกับแสงจากดวงอาทิตย์ ที่ส่องผ่านหลังคาใสลงมา ทำให้เกิดลำแสงอยู่ด้านหลังของช่างอ๊อด ผมไม่รอช้าในจังหวะนี้ รีบยกกล้องกดซัตเตอร์ทันที

ตอนที่ผมไปเก็บภาพที่โรงเหล็ก 22 แห่งนี้ บางครั้งช่างก็จะวานให้ผมช่วยยกกระสอบถ่านจากด้านหลั งมาไว้บริเวณด้านหน้า และใช้ให้ผมทำอย่างอื่นบ้าง ซึ่งผมก็ช่วยทำด้วยความเต็มใจ ถือว่าเป็นการตอบแทนทางโรงเหล็กที่อนุญาตและเอื้อเฟื ้อให้ผมได้ถ่ายภาพ


"7 : ............ ลามิเนต กับภูมิปัญญาการตีเหล็ก ............"

เทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน ทำให้การผลิตมีดป็นเรื่องง่ายไปเลยทีเดียว เพียงป้อนเหล็กเข้าเครื่องพิมพ์ก็จะได้มีดรูปทรงต่าง ๆ และจำนวนตามที่ต้องการได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่จะมีสักกี่แห่งในปัจจุบันนี้ ที่ยังคงรักษาการตีมีดแบบโบราณเอาไว้ ที่โรงเหล็ก 22 แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ยังคงรักษาภูมิปัญญาการตีเหล็กแบ บโบราณ ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเลยทีเดียว
“ลามิเนต” หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าการตีเหล็กแบบ “แซนด์วิช” คือกระบวนการหลอมเหล็กเหนียวกับเหล็กกล้าให้เป็นเนื้ อเดียวกัน โดยการผ่าเหล็กเหนี่ยวแล้วนำเหล็กกล้าไปสอดใส้ตรงบริ เวณคมของมีด หรือขวานแล้วตีให้เข้ากัน

จุดเด่นของมีดลามิเนต คือ แข็งแรง ทนทาน ไม่บิ่นหรือหักง่ายๆ เพราะใช้เหล็กเหนียวเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งต่างจากมีดที่ใช้เหล็กกล้าในการตีทั้งหมด โดยช่างบอกว่า ข้อเสียของการใช้เหล็กกล้าทั้งหมด ก็คือ เนื้อเหล็กขาดความยืดหยุ่น เวลาฟัน หรือกระแทกกับของแข็งแรงๆ จะทำให้มีดบิ่นและหักได้ง่าย ดังนั้นคนโบราณจึงทิ้งสำนวนหนึ่งที่ว่า “กล้านัก มักบิ่น” คือ กล้าเกินไปมักจะเป็นอันตราย ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะมาจากการตีเหล็กนี่แหละ


"8 : ............ ลามิเนต เคล็ดลับความทนทาน ............"

“ลามิเนต” หรือการตีเหล็กแบบแซนด์วิช แม้ว่าการตีเหล็กแบบนี้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่โรงเหล็กแห่งนี้ยังยืนหยัดในวิธีการตีเหล็กแบบนี้ ต่อไป
จากภาพ เป็นเหล็กที่ผ่านการผ่า และทำการสอดเหล็กกล้า ซึ่งที่นี่จะใช้เหล็กกล้าหัวแดงในการตี ซึ่งหลังจากขั้นตอนนี้เสร็จสิ้น ก็จะถึงกระบวนการเผาไฟ เพื่อหลอมละลายเหล็ก จากนั้นก็ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน และตีขึ้นรูปในลำดับต่อไป
นอกจากนี้ถ่านไฟที่ใช้ในการหลอมละลายเหล็ก ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ช่างบอกว่า ถ่านไฟที่ดีต้องเป็นถ่านไฟของไม้เนื้อแข็ง เพราะให้ความร้อนได้ดี ทำให้เหล็กละลายเป็นเนื้อเดียวกันได้ง่าย แต่ถ้าหากเป็นถ่านไฟของไม้เนื้ออ่อน ความร้อนที่ได้จะไม่เพียงพอที่จะละลายเหล็ก และยังสิ้นเปลืองมากกว่าถ่านไม้เนื้อแข็งอีกด้วย


"9 : ............ ตี ............"

ผมได้สัมผัสกับอาชีพการตีเหล็กอย่างใกล้ชิดก็คราวนี้ แหละ ผมเฝ้าถ่ายภาพการตีเหล็กแบบทุกมุม เพื่อให้ได้ภาพที่ถูกใจที่สุด
ภาพนี้เป็นการตีมีดพร้า แม้ว่าการตีเหล็กทุกครั้ง ช่างอ๊อดจะเป็นคนให้สัญญาณผม ว่ากำลังจะตีเหล็ก แต่ก็มีบ่อยครั้ง ที่ผมจับจังหวะผิด และกดชัตเตอร์เร็วหรือช้าจนเกินไป จนทำให้บางครั้งที่ผมต้องพลาดแสงสวยๆ ของสะเก็ดไฟในครั้งนั้นไป
แต่ช่างทั้งสองก็คอยปลอบใจผมว่ายังมีอีก และให้เตรียมตัวใหม่ ถึงวันนี้ถ่ายไม่ได้ วันหลังค่อยมาถ่ายอีก จนหลังๆ ผมไปเกือบทุกวัน และเริ่มจับจังหวะได้แม่นยำขึ้น


"10 : ............ กระจาย ............"
จากภาพเป็นการตีขวาน โดยช่างบอกว่า ระหว่างการตีขวานกับตีมีด การตีขวานสะเก็ดไฟจะเยอะกว่าการตีมีด เพราะเหล็กที่ใช้หลอมละลายนั้นมีจำนวนชั้นมากกว่า
มีบ้างเหมือนกันที่สะเก็ดไฟจากการตีเหล็ก ทำให้ช่างทั้งสองได้รับบาดเจ็บ ตามบริเวณลำตัว และก็มีเข้าตาบ้างในบางครั้ง ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของการตีเหล็กก็คือสมาธิ และการทำงานที่เข้าขากันเป็นอย่างดี เพื่อลดความผิดพลาดและอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น


"11 : ............ ลุ้นอย่างจดจ่อ ............"
แม้ผมจะใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่กับขั้นตอนการตีเหล็ก แต่ทุกๆ ครั้งที่ช่างทั้งสองทำการตีนั้น ก็ทำให้ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เฝ้ามอง เพราะว่าแม้แต่ตัวช่างเองก็บอกไม่ได้ว่าในการตีแต่ละ ครั้งนั้น สะเก็ดไฟจะมากหรือน้อย จะพุ่งไปทางไหน หรือจะสวยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนี่แหละที่ทำให้ผมได้ลุ้นและตื่นเต้นอยู่ตลอดวลา


"12 : ............ พร้อมใช้งาน ............"


"13 : ............ ยี่ห้อ 22 ............"


"14 : ............ ปากกาจับเหล็กรุ่นลายคราม ............"
ปากกาจับเหล็กชิ้นนี้ ช่างโหกับช่างอ๊อด เล่าว่า มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี ใช้งานมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่สมัยตั้งโรงตีเหล็กใหม่ๆ เลยทีเดียว


"15 : ............ ปลดระวาง ............"
เครื่องมือเครื่องใช้เก่าๆ จำนวนไม่น้อย ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ บางอย่างก็ชำรุดไปตามกาลเวลา และบางอย่างก็ถูกปล่อยทิ้งไว้เพราะไม่ได้ใช้งาน


"16 : ............ เตาที่ไร้ไฟ ............"
ปัจจุบันนี้โรงตีเหล็กคงมีให้เห็นเพียงไม่กี่แห่งแล้ ว ที่ยังเหลือให้เห็นอยู่ก็มีแต่เตา..ที่ไร้ไฟ (ดังภาพ) ก็คงจะเป็นเพราะยุครุ่งเรืองของเหมืองแร่หมดลง ประกอบกับมีเครื่องมือเครื่องใช้ผลิตจากโรงงานออกมาว างขายกันเกลื่อนกลาด พอผลิตมากๆ ที่เรียกกันว่า Mass Production ต้นทุนก็ถูก ก็ขายกันราคาถูกๆ แล้วอย่างนี้ช่างฝีมือประเภท Custom Made หรือ made to order จะทานทนอยู่ได้อย่างไร จึงต้องวางค้อน ดับไฟ ปิดเตา ปิดตัวเองลงไปจนแทบจะไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว


เนื้อหาบางส่วนถูกตัดบ้างเนื่องจากสามารถพิมพ์ข้อความได้ไม่เกิน 10,000 อักษรครับ
ติดตามอ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ : https://www.facebook.com/phanuwatnandee/media_set?set=a.297756000352141.65558.100003532316610&type=3

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่