แชร์ประสบการณ์ตัดกราม หลังจากเปรียบเทียบ 3 คลินิค สุดท้ายเราก็เลือกยันฮี

จากการที่เราได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการศัลยกรรมตัดกรามจากพันทิพและเวบบอร์ดอื่นๆ   เราคิดว่าการแชร์ประสบการณ์และข้อมูลต่างๆ ที่เราได้ประสบมาจริงๆ น่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนคนอื่นที่สนใจไม่มากก็น้อย วันนี้เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ของเราให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

สำหรับคลินิคที่เราไปสอบถามมา แต่ไม่ตัดสินใจทำ เราไม่กล้าเอ่ยชื่อคลินิคและพิกัดอย่างชัดเจน   แต่สำหรับยันฮี เราจะมาเล่าประสบการณ์เป็นตอนๆ เลยนะคะ

เราเป็นคนเหนือค่ะ หน้าเหลี่ยมมากจนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนล้อว่า หนูหน้าทักษิณ
พอจบมหาลัย เราเลยตัดสินใจจะตัดกรามก่อนเข้าทำงานค่ะ
ตอนแรกก็ตั้งใจจะตัดในจังหวัดที่อาศัยอยู่เนี่ยแหละค่ะ เพราะจะได้พักฟื้นที่บ้านและคุณแม่จะได้ช่วยดูแลง่าย
เราเลยเข้าไปปรึกษาคลินิค2คลินิคในจังหวัดค่ะ

***
คลินิคแรก เป็นคลินิคของคุณหมอผู้ชายชื่อดังค่ะ มีคนรีวิวหลายคน และพอเสิชชื่อคุณหมอก็มีกล่าวถึงเยอะในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงาม
พอเราเข้าไปปรึกษาคุณหมอที่คลินิค บอกตรงๆ ว่าสภาพคลินิคผิดกับที่คาดไว้มากเลยค่ะ
คุณหมอเค้าดัง คนไข้เยอะ คลินิคใหญ่กว้างขวาง แต่ให้ความรู้สึกว่าเหมือนคลินิคทำแท้งเถื่อนค่ะ ดูเก่า และมืดๆทึมๆ
แต่จากการสังเกตคนไข้คนอื่นที่นั่งรอ และใบประกาศนียบัตรของคุณหมอ ก็ทำให้เราอุ่นใจขึ้นมาหน่อย
เรานั่งรอแป๊บเดียว พยาบาลก็เรียกให้เราขึ้นไปพบคุณหมอค่ะ
คุณหมอเพิ่งผ่าตัดเสร็จ ออกมาพักแป๊บนึง เลยให้เราเข้าไปคุยด้วยได้ประมาณ5นาที
หน้าห้องผ่าตัดก็มีคนไข้รอผ่าอยู่ 2-3 ราย
พอเราเข้าไปพบคุณหมอ บอกตรงๆ ว่าเราตกใจค่ะ โต๊ะที่เรานั่งคุยกับคุณหมออยู่หน้าห้องผ่าตัดเลย และเราก็มองเข้าไปเห็นคนนอนอยู่ เห็นเตียง เครื่องไม้เครื่องมือ และผู้ช่วยคุณหมอค่ะ    ที่บอกว่าเราตกใจก็เพราะว่า ทำไมห้องผ่าตัดถึงดูเหมือนไม่ได้รักษาความสะอาดหรือเป็นห้องปลอดเชื้อเลย
ผู้ช่วยก็แต่งชุดธรรมดา เดินเข้าเดินออกห้องได้โดยไม่มีการเปลี่ยนชุดหรือฆ่าเชื้อใดๆ ค่ะ
เราก็สอบถามคุณหมอเรื่องการตัดกราม สนนราคาที่ 50000 บาทถ้วนค่ะ
คุณหมอบอกว่าทำวันนี้ได้เลย ใช้เวลาผ่าตัด30นาที นอนพักแป๊บนึง แล้วเดินกลับบ้านได้เลยภายในวันนั้น
คือเราก็ตกใจมากค่ะ เห้ยยย นี่มันตัดกระดูกนะ มันควรจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ ทำไมมันรวดเร็ว แล้วไม่มีการพักฟื้นหรือเตรียมตัวอะไรเลยรึไงฟระ
คุณหมอก็บอกเราว่าหมอเชี่ยวชาญมากค่ะ ทำมาหลายเคส หมอคนอื่นที่ใช้เวลา2-3ชั่วโมง คือพวกไม่โปร
คุณหมอพูดด้วยความมั่นใจเกิน 100% จนเราชักหวั่นๆว่าหมอมั่นใจเกินไปจนจะละเลยหรือประมาทกับการผ่าตัดรึป่าว
อีกคำถามที่เราถามคือ คุณหมอจะตัดกรามให้เราแบบในปากหรือนอกปาก
คุณหมอบอกว่าทำได้ทั้งคู่ค่ะ  แต่ปกติจะตัดแบบนอกปาก เพราะว่าถ้าตัดในปาก แผลอาจอักเสบง่าย ดูแลรักษาลำบาก
ทั้งคุณหมอและคุณพยาบาลเชียร์ให้ตัดแบบนอกปาก
แต่เรากังวลเรื่องแผลเป็น กลัวจะเห็นชัด คุณพยาบาลรีบบอกเลยว่าแผลนิดเดียว วัยรุ่นอยู่กลับไปทาฮีรูดอยเดี๋ยวก็จาง
จากการพูดคุยกับคุณหมอและสถานที่ บอกตรงๆว่าเราไม่โอเคเลย ไม่มีความมั่นใจกับที่นี่เลยสักนิด   
แต่คุณแม่เราบอกว่าไม่น่ากลัวหรอก คุณหมอเค้าเชี่ยวชาญ ทำมาหลายเคสแล้ว
เราเลยบอกแม่ว่า ขอไปถามที่อื่นเปรียบเทียบดูก่อน เราเลยมุ่งหน้าไปคลินิคที่สองค่ะ

***
คลินิคที่สอง เป็นคลินิคของคุณหมอผู้หญิง สถานที่ดูดีกว่าคลินิคแรกเยอะ สะอาดสะอ้าน สบายตา
แต่เสิชในกูเกิลแล้ว ไม่มีรีวิวเคสตัดกรามของคุณหมอคนนี้เลยค่ะ
พอเราเข้าไปคุยกับคุณหมอ คุณหมอเค้าพูดเพราะ และอธิบายดีมากค่ะ คือฟังแล้วยังไงคุณหมอคนนี้ก็น่าเชื่อถือ และดูปลอดภัยกว่าคุณหมอคนก่อน
ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ดังเท่า หรือไม่ได้มีประสบการณ์มากเท่าคนก่อนก็เถอะ
คุณหมอบอกว่า ถ้าเราจะตัดกรามกะเค้า เราต้องไป x-ray ก่อนเพื่อดูว่าเส้นประสาทอยู่ลึกแค่ไหน ถ้าอยู่ไม่ลึกก็จะตัดกรามออกได้น้อยค่ะ
(คลินิคแรกไม่มีการบอกให้ไป x-ray หรือตรวจเลือดอะไรใดๆเลยค่ะ สงสัยคุณหมอท่านเชี่ยวชาญมากจริงๆ -.-!!!)
คุณหมอบอกว่าถ้าจะตัดกราม หมอแนะนำให้ตัดแบบในปาก เพราะถ้าตัดข้างนอก มีโอกาสที่จะเห็นแผลเป็นชัด และเป็นแผลเป็นไตๆ ได้ค่ะ
ท่านบอกว่ากลัวเราอายุมากขึ้นจะเสียใจทีหลังที่เลือกทำแบบนอกปาก
นอกจากนี้ การตัดกรามเป็นการผ่าตัดใหญ่ คุณหมอต้องไปเช่าเครื่องมือ ห้องผ่าตัด และห้องพักที่โรงพยาบาลเอกชนค่ะ
เพราะฉะนั้นราคาจึงค่อนข้างแพง  คือ 90000 บาท แต่คุณหมอจะลดให้เหลือ 85000 บาทค่ะ
บอกตรงๆว่าเราโอเคกับคลินิคที่สองมากๆ ในแง่ของตัวคุณหมอและการดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาดและความปลอดภัย
แต่ราคานี้เราสู้ไม่ไหวจริงๆค่ะ จะเป็นลม

***
และในที่สุดก็มาถึง โรงพยาบาลยันฮีค่ะ ตัวเลือกใหม่ที่โผล่มาแบบไม่ได้ตั้งใจ
จากข้อมูลในเว็บไซต์ยันฮี  แพคเกจตัดกรามแบบในปากพร้อมที่พัก2คืน ราคาอยู่ที่ 55000 บาทค่ะ
แต่ละเดือนก็จะมีโปรโมชั่นต่างๆ กันไป   ตอนเราทำเราได้ส่วนลด 5%
เราตัดสินใจโทรเข้าไปที่ยันฮีคอลเซ็นเตอร์ ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่เค้าเป็นกันเอง และให้คำแนะนำได้ดีมากๆ เลยค่ะ
ข้อมูลที่เราได้รับจากเจ้าหน้าที่ทางโทรศัพท์คือ
รายชื่อคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านตัดกราม
การเตรียมตัวโดยคร่าวๆ คือ งดอาหารเสริมและวิตามินก่อนผ่าตัด 2-3 สัปดาห์  งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัด 6-8 ชั่วโมง และเมื่อไปถึงก่อนผ่าตัด เราจะได้ตรวจเลือด x-ray และดูความพร้อมของร่างกายก่อนผ่าตัดค่ะ  เมื่อผ่าตัดเสร็จเราก็จะได้พักฟื้นที่โรงพยาบาล เป็นห้องพิเศษเดี่ยว มีคุณพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทางโทรศัพท์ เราชั่งใจเทียบราคาและความน่าเชื่อถือแล้ว เราก็ชวนคุณแม่ขึ้นเครื่องไปกรุงเทพเพื่อคุยกับคุณหมอเลยค่ะ
เราตั้งใจเข้าไปคุยดู ถ้าคุยแล้วโอเค เชื่อถือได้ เราก็จะผ่าเลย

ต่อไปเราจะเล่าประสบการณ์ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปในโรงพยาบาลเลยนะคะ
- เมื่อเราเข้าไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ และทำบัตรเรียบร้อย   เจ้าหน้าที่จะเดินนำ พาเราไปที่แผนกศัลยกรรม โดยที่ว่าตลอดขั้นตลอดการติดต่อนั้น คนไข้ทุกคนจะมีพยาบาลคอยประกบและนำทางให้ตลอดเลยค่ะ
- หลังจากการซักประวัติและคุยกับคุณหมอแล้ว ถ้าเราตัดสินใจจะทำ เราก็จะต้องไปเซ็นหนังสือยินยอม และจ่ายเงินค่ะ
- เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ก็จะมีพยาบาลพาเราไปเจาะเลือด x-ray และพาเราไปพบวิสัญญีแพทย์
- วิสัญญีแพทย์จะมาอธิบายขั้นตอนการวางยาสลบ และการผ่าตัดโดยคร่าวๆ  โดยเค้าจะซักประวัติเราอย่างละเอียด และจะให้คำแนะนำว่าอาการหลังการผ่าที่เกิดขึ้นได้มีอะไรบ้าง และเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรหลังออกห้องผ่าตัดมา
- จากนั้นพยาบาลก็จะพาเราเข้าไปที่ห้องพักของเราค่ะ เค้าจะให้เราเปลี่ยนชุด และให้น้ำเกลือเพื่อไม่ให้เราหิว
- ก่อนผ่าตัดประมาณ 30นาที-1ชั่วโมง พยาบาลจะนำยานอนหลับมาให้เรากิน เพื่อให้เราผ่อนคลาย ไม่กระวนกระวาย
- ส่วนตัวเราไม่ได้กลัว เพราะเตรียมใจมานานแล้ว และเราก็ง่วงเป็นทุนเดิม พอทานยานอนหลับเสร็จ ก็หลับสบายเลย  รู้ตัวอีกทีก็ตอนโดนปลุกให้เราไปขึ้นรถเข็นเพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้เข็นเราไปห้องผ่าตัดค่ะ
- เราหลับไปบนรถเข็นตั้งแต่ตอนที่อยู่ในลิฟต์ ไม่รู้สึกตัวเลยว่าเข้าห้องผ่าตัดตอนไหน มีใครบ้าง ไม่มีการที่ว่าหลังดมยาสลบแล้วนับเลข ...เพราะเราชิวเกินไป เลยหลับไปตั้งแต่ก่อนดมยาสลบ -*-
- หลังจากผ่าตัดเสร็จ เราต้องนอนรอให้ห้องพักฟื้น1-2ชั่วโมง เพื่อจะมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด   จริงๆ เราก็ไม่รู้สึกตัวว่าต้องรอหรอกค่ะ ที่มาเล่าได้เพราะเจ้าหน้าที่เค้าเล่าให้ฟัง
- เรารู้สึกตัวครั้งแรกหลังผ่าตัดก็ตอนอยู่ในห้องพักฟื้นเนี่ยแหละ แต่มันสลึมสลือ ไม่รู้หรอกค่ะว่าอยู่ที่ไหน รู้ตัวแค่ว่าพยายามยกมือขึ้น แล้วก็มืดไป ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในห้องพักส่วนตัวแล้ว
- ตื่นมาตอนแรกเราไม่เจ็บเลยค่ะ ไม่มีอาการใดๆเลย ไม่หิว ไม่คอแห้งด้วย  เรารู้แค่ว่ามีผ้าพันรอบหัว   คืนแรกหลังการผ่าตัด เราง่วงมาก หลับแทบตลอดเวลา (แอบรำคาญคุณพยาบาลที่เข้ามาวัดความดัน เช็คอาการบ่อยๆ เพราะเราง่วง 555)
- ถึงแม้เราจะไม่คอแห้ง แต่คุณแม่ก็พยายามป้อนให้เรากินน้ำค่ะ แต่คุณหมอบอกว่าให้แค่จิบๆ เพราะถ้าดื่มมากไปจะอ้วกออกมาได้  เราดื่มไปไม่มากก็รู้สึกอยากอ้วก คลื่นไส้ แต่พอดมยาดม ได้ออกซิเจน ก็ดีขึ้นค่ะ สรุปคือหลังผ่าเราไม่อ้วกเลย
- สิ่งเดียวที่ทานได้หลังผ่าตัดคือน้ำเปล่าเท่านั้น วันแรกหลังการผ่าตัดเราสามารถดื่มน้ำหวานได้(ทาง รพ จัดน้ำหวานเฮลบูบอยให้) และวันที่สองสามารถทานโจ๊กปั่นได้ค่ะ
- วันแรกหลังผ่า ช่วงเช้าเราก็ยังนอนเยอะค่ะ และไม่รู้สึกอะไรมาก   แต่ตอนบ่ายเนี่ยสิ เริ่มรู้สึกตึงๆ บวมๆ และเจ็บที่ปาก แต่ก็ไม่ได้ปวดอะไรมาก
- วันที่สองหลังผ่า เป็นอะไรที่บวมอลังการ บวมจนรู้สึกว่าหน้าจะแตกได้ทุกเมื่อ ความปวดก็ไม่มากเหมือนเดิมค่ะ
- ตลอดเวลาที่เรานอนพัก เราจะได้รับน้ำเกลือตลอดเวลาค่ะ และพยาบาลจะมาฉีดยาแก้ปวดให้ด้วย เราเลยไม่ค่อยรู้สึกปวดมากนัก   
- การดูแลคนไข้ที่ยันฮีดีมากค่ะ พยาบาลใจดี เช็ดตัวให้ ขอให้ช่วยอะไรก็ไม่มีหงุดหงิด อันนี้ปลื้มมากๆ
- พอครบวันที่สอง เราก็จะได้รับโบรชัวร์แนะนำการปฏิบัติตัวและยากลับบ้าน  จากนั้น7-10วันก็ต้องมาพบคุณหมออีกทีเพื่อติดตามการผ่าตัด
- หลังออกจาก รพ เราก็นั่งเครื่องกลับบ้านเลยค่ะ ไปทั้งหน้าบวมๆ แบบนั้นแหละ  คุณหมอจะออกใบรับรองให้เราด้วย เพื่อไปแสดงให้ จนท ที่สนามบินเพราะว่าหน้าเราเปลี่ยน บวมเป็นอึ่งอ่าง ไม่เหมือนหน้าในบัตร

ตอนที่เราพิมพ์นี้ เราผ่านการผ่าตัดมาได้ 10 วันแล้วค่ะ ตอนนี้หน้าบวมลดลงจนมีขนาดเท่าเดิมเหมือนก่อนผ่าตัด
คาดว่าอีก 2-3 อาทิตย์น่าจะได้เห็นหน้าเรียวๆ ของตัวเองสมใจ
โดยรวมแล้ว หลังการผ่า เราก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ไม่ได้รู้สึกปวดมากจนทนไม่ได้ จริงๆ ปวดน้อยกว่าผ่าฟันคุดอีก
แต่ที่หงุดหงิดที่สุดคือการไม่ได้ทานของที่เราอยากทานค่ะ
จนถึงวันนี้ทานได้แต่โจ๊ก เต้าหู้ ไข่ตุ๋น ขนาดเคี้ยวผักต้มเปื่อยๆ ยังเมื่อยเลย
นี่เราก็ถือซะว่าเป็นการลดความอ้วนไปในตัว
รอให้เคี้ยวอาหารได้ก่อนเถอะะะะ จะเอาไขมันที่หายไปกลับคืนมา
ถ้าใครมีคำถามอะไรอยากปรึกษาก็ถามเราได้นะคะ จะพยายามช่วยตอบเท่าที่ตอบได้

ปล. เป็นกระทู้คำถามเพราะเราไม่ได้ยืนยันตัวตนค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่