ทุกข์ไม่ได้มีในจิต จิตไม่ได้มีในทุกข์ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

ถ้าเราจะพูดกันไปเรื่องอื่นมันก็ห่างจากทุกข์
แท้ที่จริงคนเรานี้จิตใจเลื่อนลอยฟุ้งซ่าน
ก็เพราะว่าสู้ความทุกข์ไม่ได้นี้เองนะ  

เหตุนั้นจึงอยากจะย้ำเรื่องทุกข์นี้ให้มากๆ
ให้ถือว่า "มันไม่ใช่เราเป็นทุกข์  ความทุกข์ไม่ใช่มีในเรา"
  ให้มันรู้ชัดในใจอย่างนั้น  เรื่องมันน่ะ  

ทุกข์มันเป็นเรื่องของ"ขันธ์ห้า"ที่เคยพูดมาบ่อยๆอยู่นั้นแหละ
ฉะนั้นอย่าไปลืมข้อนี้น่ะ  ก็ให้เตือนจิตของตนอย่างนี้  
เมื่อมันเกิดทุกขเวทนาอะไรขึ้นมาก็ให้เตือนจิตว่า  
ทุกขเวทนาเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ไม่ใช่ตัวตนของเรา
"ทุกขเวทนาเหล่านี้ไม่ได้มีในจิต  จิตไม่ได้มีในทุกข์ "

เราก็หาอุบายแยกจากกันอย่างนี้แหละ  
ถ้าเราไม่หาอุบายแยกอย่างนี้มันก็เป็นอันเดียวกันเลยบัดนี้นะ
เออ มันเป็นอย่างนั้น   เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พ้นทุกข์ไม่ได้แล้ว
ไปสู่โลกหน้าทุกข์นี้ก็ติดตามไปอยู่อย่างนั้นแหละ  

ดังนั้นเราจะรู้ได้ว่าคนเกิดมาในโลกนี้น่ะ
มันเอาทุกข์ติดตามมาด้วยไม่ใช่เหรอ   พอเจ็บไข้ได้ป่วย
หรือพอมีใครกระทบกระทั่งเสียอกเสียใจบ้าง  
ร้องไห้ร่ำไร สาปแช่งคนอื่นหรือพอเจ็บพอปวดอะไร
รุนแรงเข้าไปก็ร้องไห้ร่ำไร  นั่นแหละแสดงว่า จิตมันไม่มั่น  
มันไม่หนักแน่น  มันไม่ได้กำหนดรู้เท่าทุกข์มาแต่ก่อนโน้น  
มันยึดเอาทุกข์ติดตามมา  พอเกิดมาชาตินี้แล้วก็จึงว่า
มาหวั่นไหวกับทุกขเวทนาเหล่านี้จิตใจอันนี้นะมันเป็นอย่างนั้น  

หวั่นไหวกับคนเขาด่าเขาว่าเสียดสี  
ตัวเองเถียงสู้เขาไม่ได้ก็ร้องไห้บางคนมันเป็นอย่างนั้น  
เรื่องหมู่นี้นะมันเป็นเรื่องหลงเรื่องเมาของจิตใจ
เมามาในสงสารนับไม่ถ้วนแล้ว เราควรจะตื่นตัวกันได้แล้วบัดนี้นะ

เกิดมาในชาตินี้ มาได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
บอกว่า "ทุกข์นั้นมีจริง ทีนี้ทุกข์มีจริงแล้วผู้รู้เท่าทุกข์นั้นมันมี" งี้นะ
"ถ้าไม่มีผู้รู้ ..ทุกข์ก็ไม่มี" ขอให้เข้าใจ
เอ้าใครล่ะจะมาบ่นเพ้อพิไรรำพัน
จะมาแสดงออกทางกายทางวาจา ร้องไห้ร่ำไร
อันนี้มันก็เพราะอิทธิพลของจิตนั่นเองแหละ  
จิตสู้กับความทุกข์ไม่ไหวก็เลยแสดงให้กายร้องไห้ร่ำไร  
เศร้าโศกเสียใจออกมา แท้ที่จริงก็จิตนั้นนะร้องไห้
มันเลยกระเทือนถึงร่างกาย  ร่างกายนี้ก็เลยร้องไห้ตามไป  

ถ้าหากว่าจิตไม่ร้องไห้แล้ว ร่างกายนี้ก็ไม่ร้องไห้เลย  
มันเป็นอย่างนั้น  จิตไม่ทุกข์ร้อนอะไรแล้วอย่างนี้  
ร่างกายนี้มันก็ต้องแปรปรวนไปตามเรื่องของมันเท่านั้นแหละ
"ไม่มีผู้เป็นทุกข์" บัดนี้นะ  เพราะว่าจิตใจมันไม่หวั่นไหวแล้ว
มันไม่ถือว่าทุกข์เป็นของตน ไม่ได้ถืออย่างนั้น
กำหนดรู้ว่า "ทุกข์ไม่ใช่ของตน" เป็นเรื่องของขันธ์ห้าต่างหาก


...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "รู้บุญคุณแล้วตอบแทน"

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่