
(สนธิ สัญญาหนานกิง)
ข้อความในสนธิสัญญานานกิงที่สำคัญ มีดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(๑) ประเทศจีนยอมเปิดเมืองท่าที่สำคัญ ๕ เมือง คือ กวางตุ้ง เซี่ยเหมิน (เอ้ห) ฝูโจว หนิงปอ และ
เซี่ยงไฮ้ (ซึ่ง ๕ เมืองนี้ภายหลังเรียก กันว่าเมืองท่าตามสนธิสัญญา) ให้ชาวต่างชาติทำการค้าและ
พักอาศัยได้โดยเสรี และชาวต่างชาติมีสิทธิที่จะแต่งตั้งกงสุลประจำเมืองนั้น ๆ ได้
(๒) ให้กำหนดอัตราภาษีขาเข้า – ขาออกในอัตราที่แน่นอน และในอัตราต่ำพอควร ซึ่งต่อมาได้ตกลงกัน
ในอัตรา ๕ เปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้า
(๓) ให้ยกเลิกระบบโคหอง และชาวอังกฤษมีสิทธิค้ากับเอกชนชาวจีนได้
(๔) ให้จีนชำระราคาฝิ่นที่ถูกทำลาย และค่าสินไหมทดแทนในการสงคราม ๒๑,๐๐๐,๐๐๐ ยวน
(๕) ให้การติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่จีนและอังกฤษเป็นไปในรูปการสื่อสาร ไม่ใช่เป็นรูปร้องเรียน
(petition) ดังที่เป็นมาแต่ก่อน
(๖) ให้ยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษ
(๗) ให้ชนที่มีสัญชาติอังกฤษมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ในการศาลในคดีอาญา (ในคดีแพ่ง ได้ตกลง
รวมอยู่ในสนธิสัญญาอเมริกัน – จีน ในปี ๑๘๔๔)
(๘) ให้อังกฤษได้รับฐานเป็น “ชาติที่จะได้รับอนุเคราะห์อย่างยิ่ง” (most – favored nation)
ในระหว่างศรรตวรรษที่ 18 ชา ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชนิดใหม่สำหรับโลกตะวันตกเป็นที่ต้องการอย่างมหาศาลในตลาด
ยุโรปและอเมริกา ขณะเดียวกัน ความต้องการผ้าไหมจีนและเครื่องปั้นดินเผาจีน ก็มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แต่
ประเทศจีนซึ่งยังมีกำลังผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้พ่อค้าตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษเกิด
ความไม่พอใจ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ชาวอังกฤกจึงหาวิธีทำการค้าใหม่โดยการนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบ
ในประเทศอินเดียและประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ แล้วนำวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูปไปขายในกว่างโจวต้น
ศตวรรษที่ 19 ฝ้ายดิบและฝิ่นดิบจึงเป็นสินค้าหลักที่นำเข้าสู่กว่างโจว แต่เนื่องจากประเทศจีนมีกฏหมายห้ามนำเข้าฝิ่น
ทางอังกฤกจึงนำเข้าอย่างลับ ๆ โดยได้นำเข้ามาในนามบริษัทอีสต์อินเดีย จำกัด
หลังจากรัฐบาลชิงประสบความล้มเหลวในการรณณรงค์ต่อต้านฝิ่น จึงได้แต่งตั้งหลินเจ๋อสวี 林则徐 (ค.ศ. 1785-1850)
ไปกว่างโจว เพื่อปราบปรามเส้นทางลำเลียงฝิ่น หลินประกาศให้ผู้ที่ครอบครองฝิ่นให้เอาออกมามอบให้ทางการภายใน
สามวัน เมื่อพ้นกำหนดจึงได้เข้ายึดคลังสต๊อกฝิ่นจากพ่อค้าคนจีน และเข้าล้อมชุมชนชาวต่างชาติเพื่อเข้ายึดฝิ่นของชาว
อังกฤษจำนวนถึง 20,000 ลังและเผาทิ้งทั้งหมด ชาวอังกฤกไม่พอใจอย่างมาก รัฐบาลอังกฤกจึงส่งเรือรบ 40 ลำ พร้อม
ด้วยกำลังทหารกว่า 4000 นายเข้าตีประเทศจีนจากปากอ่านจูเจียง 珠江 จากการที่รัฐบาลชิงไม่ได้เตรียมการสำหรับสงคราม
และประเมินกำลังฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป รัฐบาลชิงจึงพ่ายแพ้ และถูกบังคับเซ็นสนธิสัญญาหนานจิง 南京条约 ในปี 1842
ซึ่งเซ็นบนเรือรบของอังกฤษ บังคับให้รัฐบาลจีนยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษบังคับให้เปิดเมืองท่า 5 แห่งให้กับอังกฤษ บังคับ
ให้เก็บภาษีเพียง 5เปอร์เซ็น ให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับอังกฤษและชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก และยัง
บังคับให้เปิดช่องให้สิทธิพิเศษแก่อังกฤษ ถ้าหากจีนสิทธิพิเศษใด ๆ แก่ประเทศอื่นในขณะนั้นหรือในอนาคต จะต้องให้แก่
อังกฤษด้วย สนธิสัญญานี้ชาวจีนเรียกว่า “ความอัปยศแห่งชาติ” และเป็นเหตุนำสู่การสงคราม การรุกรานและสุดท้ายเกิด
สนธิสัญญาอัปยศแก่ต่างชาติต่อ ๆ มา
http://www.thaichinese.net/History/history-modern2.html

หนังสือ เบื้องหลังสัญญาเบาริ่ง และประวัติศาสตร์พิสดารของเซอร์จอห์น เบาริ่ง (สำนักพิมพ์มติชน มี.ค.2555)
ไกรฤกษ์ นานา ค้นคว้าเอกสารเก่า ได้ข้อมูลใหม่ เรียบเรียงเรื่องราวของ เจ้าของชื่อสนธิสัญญา ที่บางคนถือว่า
เป็นคุณประโยชน์ต่อสยามอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง
บทชื่อปฐมเหตุของสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ไกรฤกษ์ นานา เขียนว่า เซอร์จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษคนใหม่จาก
ลอนดอน เดินทางมารับตำแหน่งประจำ สถานทูตอังกฤษในฮ่องกงแล้วพบว่า สนธิสัญญาเทียนสิน ที่ทำกันขึ้น
หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก ยังมีปัญหาทำให้เกิดข้อพิพาทตามมามากมาย จึงเริ่มดำเนินการแก้ไข
8 ต.ค. ค.ศ.1856 เรือสินค้าลูกผสมชื่อเรือ "Arrow" เดิมเป็นเรือสำเภาจีน แต่ต่อเติมดัดแปลงจนเหมือนเรือ
สินค้าอังกฤษ ขึ้นทะเบียนเรือสินค้าอังกฤษในฮ่องกง เทียบจอดท่าเมืองกวางตุ้ง ระหว่างการบรรทุกข้าวสาร
เรือรบสองลำของจีนก็เข้าขอตรวจค้น จับกุมลูกเรือ (คนจีน) 12 คน กล่าวหาว่า 3 คนเป็นพวกกบฏไต้ผิง
เซอร์จอห์นยื่นคำขาดให้จีนชดใช้ค่าเสียหาย และให้มีหนังสือขอขมาภายใน 24 ชั่วโมง แต่เย่เจิ้นหมิง ผู้ว่าการ
เมืองกวางตุ้ง ปฏิเสธ
23 ต.ค. ค.ศ.1856 เซอร์จอห์นสั่งเรือรบอังกฤษ ยิงปืนใหญ่ใส่เมืองกวางตุ้ง ทหารจีนตายทันที 5 คน กระสุน
นัดหนึ่งตกใส่หลังคาบ้านผู้ว่าการเมืองกวางตุ้ง เย่เจิ้นหมิงสั่งทหารจีนสู้ 18 ธ.ค.1856 คนจีนเผาโกดังสินค้า
และบ้านเรือนคนอังกฤษ รวมทั้งสถานกงสุลอังกฤษราบเป็นหน้ากลอง ผู้ช่วยกงสุลอังกฤษคนหนึ่งตายในกองไฟ
นับแต่นั้น คนจีนก็ฆ่าคนอังกฤษทุกคนที่พบ มีการตั้งค่าหัวแม่ทัพอังกฤษไว้ 5 พันดอลลาร์ ส่วนเซอร์จอห์นนั้น
ค่าหัว 3 หมื่นดอลลาร์
สงครามนี้มีผลให้ชุมชนคนจีนคนอังกฤษ ที่เคยร่วมคบร่วมค้ากันมานาน แตกแยกออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน อังกฤษ
ระแวงถึงขั้นไม่กล้าจ้างชาวจีนที่ยากจนอาสาเป็นทหารรับจ้างรบ เซอร์จอห์นประกาศให้คนอังกฤษในฮ่องกงและ
เกาลูน ดูแลทรัพย์สินตัวเอง และระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน
แล้วก็มาถึงวันนั้น วันที่ 15 ม.ค. ค.ศ.1857 ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นอังกฤษราว 400 คนล้มป่วยกะทันหัน ถูกหาม
เข้าโรงพยาบาล แพทย์ตรวจแล้วพบว่าต้นเหตุอาการป่วยมาจากยาพิษที่ใส่ไว้ในขนมปังที่วางจำหน่ายในย่านร้านเบเกอรี่
ตำรวจอังกฤษสืบสวนแล้ว จับผู้ต้องสงสัยไว้ 500 คน แต่ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ ตำรวจว่า ฆาตกรน่าจะเป็นคนทำขนมปัง
ที่ไม่สันทัดกับการใช้ยาพิษ บวกกับความแค้น หวังจะให้ยาออกฤทธิ์รวดเร็ว จึงใส่ยาพิษไว้ในอัตราส่วนมากเกินควร ผล
ก็คือคนที่กินเข้าไปเกิดอาคารคลื่นไส้อย่างรุนแรง จนต้องสำรอกออกมา หลายคนจึงรอดตายไปได้
แน่นอนเซอร์จอห์น ภรรยา ลูกๆ และคนในครอบครัวก็ไม่รอด เขาถูกนับเป็นเหยื่อรายแรกๆ ขณะถูกหามเข้าโรงพยาบาล
เขามีอาการเพียบหนักใกล้ขั้นโคม่า แต่แพทย์ก็เยียวยารักษาชีวิตเขาและลูกๆไว้ได้
หลังเหตุการณ์นี้เซอร์จอห์นเขียนจดหมายรายงาน นายลาบูร์แชร์ เลขาฯกระทรวงอาณานิคมของ อังกฤษ ว่า “ข้าพเจ้า
เกือบเอาชีวิตไม่รอด...มันเป็นการลอบฆ่ากันชัดๆ แม้ขณะที่เขียนจดหมาย ข้าพเจ้าก็ยังมีอาการไม่สู้ปกตินัก”
ฟ้องเจ้านายแล้ว เซอร์จอห์นก็เขียนจดหมายไปฟ้องหนังสือพิมพ์ ขอความเห็นใจให้กับตนเอง พร้อมๆกับปรักปรำชาวจีน
และแสดงความอาฆาตทิ้งท้ายไว้ว่า “ประเทศอังกฤษจะได้เห็นการชดใช้ และการตอบแทนผู้ก่อการร้ายอย่างสาสมที่สุด”
จากนั้นเซอร์จอห์นก็ขอกำลังทหารอังกฤษจากอินเดียมาเพิ่มอีก 5 พันนาย เขาคาดการณ์ว่า เขาจะเผด็จศึกเมืองกวางตุ้ง
ได้ราบคาบ มีผู้วิเคราะห์ต่อมาว่า รายได้ 10 ล้านปอนด์จากการขายฝิ่นให้คนจีน มลายหายไปกับสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ภาพ
ของเซอร์จอห์นในสภาอังกฤษ จากวีรบุรุษเปลี่ยนมาเป็นผู้ร้าย ถูกกดดันให้ลาออก
แต่ภาพของเซอร์จอห์น เบาริ่งในสยาม กลับออกไปในทางดี 30 ส.ค.1867 รัฐบาลสยามติดต่อให้เขาเป็นผู้แทนรัฐบาล
สยาม เจรจาการค้ากับประเทศ ต่างๆ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนับเซอร์จอห์นเป็นสหาย โปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงตำแหน่ง พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ
มีผู้บันทึกว่าเซอร์จอห์น เบาริ่ง ยังไม่ทันได้ทำงานให้รัฐบาลสยาม เขาก็ป่วยตาย ด้วยโรคที่ต่อเนื่องมาจากการกินขนมปัง
ใส่ยาพิษ อาวุธลับที่คนจีนตั้งใจทำร้าย...สมัยที่เขาทำสงคราม ชิงเมืองกวางตุ้งนั่นเอง.
http://www.thairath.co.th/content/277684
http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=92100
鸦片战争 สงครามฝิ่น อาวุธลับ คือ ขนมปัง
(สนธิ สัญญาหนานกิง)
ข้อความในสนธิสัญญานานกิงที่สำคัญ มีดังนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในระหว่างศรรตวรรษที่ 18 ชา ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชนิดใหม่สำหรับโลกตะวันตกเป็นที่ต้องการอย่างมหาศาลในตลาด
ยุโรปและอเมริกา ขณะเดียวกัน ความต้องการผ้าไหมจีนและเครื่องปั้นดินเผาจีน ก็มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แต่
ประเทศจีนซึ่งยังมีกำลังผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้พ่อค้าตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษเกิด
ความไม่พอใจ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ชาวอังกฤกจึงหาวิธีทำการค้าใหม่โดยการนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบ
ในประเทศอินเดียและประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ แล้วนำวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูปไปขายในกว่างโจวต้น
ศตวรรษที่ 19 ฝ้ายดิบและฝิ่นดิบจึงเป็นสินค้าหลักที่นำเข้าสู่กว่างโจว แต่เนื่องจากประเทศจีนมีกฏหมายห้ามนำเข้าฝิ่น
ทางอังกฤกจึงนำเข้าอย่างลับ ๆ โดยได้นำเข้ามาในนามบริษัทอีสต์อินเดีย จำกัด
หลังจากรัฐบาลชิงประสบความล้มเหลวในการรณณรงค์ต่อต้านฝิ่น จึงได้แต่งตั้งหลินเจ๋อสวี 林则徐 (ค.ศ. 1785-1850)
ไปกว่างโจว เพื่อปราบปรามเส้นทางลำเลียงฝิ่น หลินประกาศให้ผู้ที่ครอบครองฝิ่นให้เอาออกมามอบให้ทางการภายใน
สามวัน เมื่อพ้นกำหนดจึงได้เข้ายึดคลังสต๊อกฝิ่นจากพ่อค้าคนจีน และเข้าล้อมชุมชนชาวต่างชาติเพื่อเข้ายึดฝิ่นของชาว
อังกฤษจำนวนถึง 20,000 ลังและเผาทิ้งทั้งหมด ชาวอังกฤกไม่พอใจอย่างมาก รัฐบาลอังกฤกจึงส่งเรือรบ 40 ลำ พร้อม
ด้วยกำลังทหารกว่า 4000 นายเข้าตีประเทศจีนจากปากอ่านจูเจียง 珠江 จากการที่รัฐบาลชิงไม่ได้เตรียมการสำหรับสงคราม
และประเมินกำลังฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป รัฐบาลชิงจึงพ่ายแพ้ และถูกบังคับเซ็นสนธิสัญญาหนานจิง 南京条约 ในปี 1842
ซึ่งเซ็นบนเรือรบของอังกฤษ บังคับให้รัฐบาลจีนยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษบังคับให้เปิดเมืองท่า 5 แห่งให้กับอังกฤษ บังคับ
ให้เก็บภาษีเพียง 5เปอร์เซ็น ให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับอังกฤษและชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก และยัง
บังคับให้เปิดช่องให้สิทธิพิเศษแก่อังกฤษ ถ้าหากจีนสิทธิพิเศษใด ๆ แก่ประเทศอื่นในขณะนั้นหรือในอนาคต จะต้องให้แก่
อังกฤษด้วย สนธิสัญญานี้ชาวจีนเรียกว่า “ความอัปยศแห่งชาติ” และเป็นเหตุนำสู่การสงคราม การรุกรานและสุดท้ายเกิด
สนธิสัญญาอัปยศแก่ต่างชาติต่อ ๆ มา
http://www.thaichinese.net/History/history-modern2.html
หนังสือ เบื้องหลังสัญญาเบาริ่ง และประวัติศาสตร์พิสดารของเซอร์จอห์น เบาริ่ง (สำนักพิมพ์มติชน มี.ค.2555)
ไกรฤกษ์ นานา ค้นคว้าเอกสารเก่า ได้ข้อมูลใหม่ เรียบเรียงเรื่องราวของ เจ้าของชื่อสนธิสัญญา ที่บางคนถือว่า
เป็นคุณประโยชน์ต่อสยามอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง
บทชื่อปฐมเหตุของสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ไกรฤกษ์ นานา เขียนว่า เซอร์จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษคนใหม่จาก
ลอนดอน เดินทางมารับตำแหน่งประจำ สถานทูตอังกฤษในฮ่องกงแล้วพบว่า สนธิสัญญาเทียนสิน ที่ทำกันขึ้น
หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก ยังมีปัญหาทำให้เกิดข้อพิพาทตามมามากมาย จึงเริ่มดำเนินการแก้ไข
8 ต.ค. ค.ศ.1856 เรือสินค้าลูกผสมชื่อเรือ "Arrow" เดิมเป็นเรือสำเภาจีน แต่ต่อเติมดัดแปลงจนเหมือนเรือ
สินค้าอังกฤษ ขึ้นทะเบียนเรือสินค้าอังกฤษในฮ่องกง เทียบจอดท่าเมืองกวางตุ้ง ระหว่างการบรรทุกข้าวสาร
เรือรบสองลำของจีนก็เข้าขอตรวจค้น จับกุมลูกเรือ (คนจีน) 12 คน กล่าวหาว่า 3 คนเป็นพวกกบฏไต้ผิง
เซอร์จอห์นยื่นคำขาดให้จีนชดใช้ค่าเสียหาย และให้มีหนังสือขอขมาภายใน 24 ชั่วโมง แต่เย่เจิ้นหมิง ผู้ว่าการ
เมืองกวางตุ้ง ปฏิเสธ
23 ต.ค. ค.ศ.1856 เซอร์จอห์นสั่งเรือรบอังกฤษ ยิงปืนใหญ่ใส่เมืองกวางตุ้ง ทหารจีนตายทันที 5 คน กระสุน
นัดหนึ่งตกใส่หลังคาบ้านผู้ว่าการเมืองกวางตุ้ง เย่เจิ้นหมิงสั่งทหารจีนสู้ 18 ธ.ค.1856 คนจีนเผาโกดังสินค้า
และบ้านเรือนคนอังกฤษ รวมทั้งสถานกงสุลอังกฤษราบเป็นหน้ากลอง ผู้ช่วยกงสุลอังกฤษคนหนึ่งตายในกองไฟ
นับแต่นั้น คนจีนก็ฆ่าคนอังกฤษทุกคนที่พบ มีการตั้งค่าหัวแม่ทัพอังกฤษไว้ 5 พันดอลลาร์ ส่วนเซอร์จอห์นนั้น
ค่าหัว 3 หมื่นดอลลาร์
สงครามนี้มีผลให้ชุมชนคนจีนคนอังกฤษ ที่เคยร่วมคบร่วมค้ากันมานาน แตกแยกออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน อังกฤษ
ระแวงถึงขั้นไม่กล้าจ้างชาวจีนที่ยากจนอาสาเป็นทหารรับจ้างรบ เซอร์จอห์นประกาศให้คนอังกฤษในฮ่องกงและ
เกาลูน ดูแลทรัพย์สินตัวเอง และระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน
แล้วก็มาถึงวันนั้น วันที่ 15 ม.ค. ค.ศ.1857 ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นอังกฤษราว 400 คนล้มป่วยกะทันหัน ถูกหาม
เข้าโรงพยาบาล แพทย์ตรวจแล้วพบว่าต้นเหตุอาการป่วยมาจากยาพิษที่ใส่ไว้ในขนมปังที่วางจำหน่ายในย่านร้านเบเกอรี่
ตำรวจอังกฤษสืบสวนแล้ว จับผู้ต้องสงสัยไว้ 500 คน แต่ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ ตำรวจว่า ฆาตกรน่าจะเป็นคนทำขนมปัง
ที่ไม่สันทัดกับการใช้ยาพิษ บวกกับความแค้น หวังจะให้ยาออกฤทธิ์รวดเร็ว จึงใส่ยาพิษไว้ในอัตราส่วนมากเกินควร ผล
ก็คือคนที่กินเข้าไปเกิดอาคารคลื่นไส้อย่างรุนแรง จนต้องสำรอกออกมา หลายคนจึงรอดตายไปได้
แน่นอนเซอร์จอห์น ภรรยา ลูกๆ และคนในครอบครัวก็ไม่รอด เขาถูกนับเป็นเหยื่อรายแรกๆ ขณะถูกหามเข้าโรงพยาบาล
เขามีอาการเพียบหนักใกล้ขั้นโคม่า แต่แพทย์ก็เยียวยารักษาชีวิตเขาและลูกๆไว้ได้
หลังเหตุการณ์นี้เซอร์จอห์นเขียนจดหมายรายงาน นายลาบูร์แชร์ เลขาฯกระทรวงอาณานิคมของ อังกฤษ ว่า “ข้าพเจ้า
เกือบเอาชีวิตไม่รอด...มันเป็นการลอบฆ่ากันชัดๆ แม้ขณะที่เขียนจดหมาย ข้าพเจ้าก็ยังมีอาการไม่สู้ปกตินัก”
ฟ้องเจ้านายแล้ว เซอร์จอห์นก็เขียนจดหมายไปฟ้องหนังสือพิมพ์ ขอความเห็นใจให้กับตนเอง พร้อมๆกับปรักปรำชาวจีน
และแสดงความอาฆาตทิ้งท้ายไว้ว่า “ประเทศอังกฤษจะได้เห็นการชดใช้ และการตอบแทนผู้ก่อการร้ายอย่างสาสมที่สุด”
จากนั้นเซอร์จอห์นก็ขอกำลังทหารอังกฤษจากอินเดียมาเพิ่มอีก 5 พันนาย เขาคาดการณ์ว่า เขาจะเผด็จศึกเมืองกวางตุ้ง
ได้ราบคาบ มีผู้วิเคราะห์ต่อมาว่า รายได้ 10 ล้านปอนด์จากการขายฝิ่นให้คนจีน มลายหายไปกับสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ภาพ
ของเซอร์จอห์นในสภาอังกฤษ จากวีรบุรุษเปลี่ยนมาเป็นผู้ร้าย ถูกกดดันให้ลาออก
แต่ภาพของเซอร์จอห์น เบาริ่งในสยาม กลับออกไปในทางดี 30 ส.ค.1867 รัฐบาลสยามติดต่อให้เขาเป็นผู้แทนรัฐบาล
สยาม เจรจาการค้ากับประเทศ ต่างๆ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนับเซอร์จอห์นเป็นสหาย โปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงตำแหน่ง พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ
มีผู้บันทึกว่าเซอร์จอห์น เบาริ่ง ยังไม่ทันได้ทำงานให้รัฐบาลสยาม เขาก็ป่วยตาย ด้วยโรคที่ต่อเนื่องมาจากการกินขนมปัง
ใส่ยาพิษ อาวุธลับที่คนจีนตั้งใจทำร้าย...สมัยที่เขาทำสงคราม ชิงเมืองกวางตุ้งนั่นเอง.
http://www.thairath.co.th/content/277684
http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=92100