ฝ่ากระแสยี้จนได้ดี! 'โบ ธัญญะสุภางค์' ดาวดวงใหม่ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง

นางเอกเด็กเนิร์ดพูดได้ 6 ภาษา 'โบ ธัญญะสุภางค์' ที่ฝ่าฟันกระแสยี้จากแฟนละคร 7 สี กลายเป็นนักแสดงฝีมือคุณภาพเพราะความพยายามแก้ไขข้อบกพร่อง ใฝ่เรียนรู้สิ่งใหม่ เพื่อการพัฒนาตัวเองที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

กลายเป็นนักแสดงคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนในบรรดานักแสดงวิกหมอชิตสำหรับ โบ ธัญญะสุภางค์ จิรปรีชานนท์ ที่แจ้งเกิดจากบทร้ายสุดแซ่บ “พักตรา” จากละครฮอตในเวลานี้ “รอยรักแรงแค้น” ทางช่อง 7 สี ที่เธอได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก ต่างจากช่วงแรกเข้าวงการบันเทิง ที่การแสดงของเธอทำให้แฟนละครรุมยี้ กระหน่ำถึงขั้นตั้งกระทู้วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนทุกครั้งที่ละครของเธอออกอากาศ แต่วันนี้เธอฝ่าฟันกระแสดังกล่าวมาได้เพราะความพยายามในการฝึกฝนตัวเอง ตั้งใจทุ่มเทกับโอกาสที่ได้รับจนลบคำสบประมาทที่เคยมีมาหมดสิ้น เรียกว่า "เปลี่ยนคําด่าว่าให้เป็นสติ เปลี่ยนคําตําหนิให้เป็นวิชา" ก็ว่าได้

แต่ใช่ว่าโบจะมีดีแค่การแสดงที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนคนยอมรับในฝีมือเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงของโบเป็นเด็กเนิร์ดที่ขยันเรียน ใฝ่รู้ ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง มีดีกรีจบจากคณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จาก Ritsumeikan Asia Pacific University ประเทศญี่ปุ่น และมีความสามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา (ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส สเปน) ซะด้วย!! สวยและเก่งครบเครื่องแบบนี้มิน่าหวานใจอย่างเด็กวัดร้อยล้าน เอก ศุภากร ประทีปถิ่นทอง ถึงรักและชื่นชมสาวโบมากๆ เลยทีเดียว วันนี้ “บันเทิงไทยรัฐออนไลน์” เลยเปิดพื้นที่ยาวๆ ให้เธอได้เปิดใจถึงชีวิตการแสดงไปจนถึงชีวิตส่วนตัวของเธอแบบเต็มอิ่ม


โบมาพร้อมความสดใสเป็นกันเอง
จุดเริ่มต้นตั้งแต่เข้าวงการของโบ?
ที่ผ่านมาก็เล่นละครมา 3-4 เรื่องค่ะ ละครเวที 1 เรื่อง ซิทคอม 1 เรื่อง มีหนังใหญ่อีกเรื่องนึงค่ะ ก็ประมาณ 2 ปีกว่าค่ะ จุดเริ่มต้นก็มาจากการแคสติ้งหนังเรื่อง “เขาเรียกผมว่าความรัก” เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้วค่ะ เล่นกับพี่เป้ อารักษ์ หลังจากนั้นก็เซ็นเข้าช่อง 7 แล้วเริ่มเล่นละครค่ะ จากเล่นหนังมาเล่นละครก็ต่างกันเยอะเหมือนกัน ทำให้โบเข้าใจว่าการแสดงมันมีหลายศาสตร์ของมัน ซึ่งการเล่นหนังจะเล่นน้อยๆ เป็นธรรมชาติ ส่วนละครจะมีซีนอารมณ์เยอะ ถ่ายวันนึงก็จะหลายซีนมากกว่า อาจจะต้องเล่นใหญ่กว่าหนังนิดนึง ละครเวทีก็จะใหญ่สุดเลยค่ะ ต้องเล่นไปทั้งตัว แอ๊กติ้งให้คนที่นั่งหลังสุดเห็นเราที่อยู่บนเวทีด้วย โบว่าสนุกดีนะคะ แต่ก็ยังเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ตอนแรกที่เล่นหนังแล้วมาเล่นละครก็ปรับตัวเยอะเหมือนกันค่ะ เลยกลายเป็นว่าช่วงแรกๆ จะเล่นละครค่อนข้างแข็งๆ เวลาพูดไดอะล็อกยาวๆ เสียงอาจจะฟังดูเรียบๆ โมโนโทนค่ะ

เล่นละครช่วงแรกๆ เจอกระแสคนว่าเราเยอะมากเลย?
เล่นเรื่องแรก “ไฟหวน” คนว่าเยอะมาก มีกระแสตำหนิเกือบหมดเลยมั้งคะ ตอนนั้นก็ตกใจมากเหมือนกันค่ะ เวลาเราเล่นละคร เราตั้งใจเล่นเต็มที่ ไม่ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี มันก็คือความตั้งใจของเรา แต่พอกระแสมาแรงมากก็ช็อกหนักเหมือนกัน จำได้ว่าร้องไห้ทุกวัน ร้องกับคุณแม่ เราเล่นละครแล้วอยากดูฟีดแบ็ก แล้วเป็นคนที่หยุดอ่านไม่ได้ค่ะ ยิ่งเขาว่าเราก็อยากรู้ว่าจริงๆ ข้อเสียเราคืออะไร อะไรที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้ แต่บางทีความที่เราอยากรู้มันก็มีความเจ็บเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าโห มันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ ก็มีนอยด์มีจิตตกบ้างเหมือนกัน พอเล่นเรื่อง “สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย” ก็ยังไม่สามารถทำลายกำแพงนั้นได้ คนก็บอกว่าเล่นดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถลบภาพติดลบที่คนดูรู้สึกกับเราไปได้ค่ะ


ปลื้มเลยค่ะ "รอยรักแรงแค้น" กระแสดีมาก
มีคำพูดแรงๆ ที่คนวิจารณ์เราแล้วรู้สึกว่าเจ็บที่สุดไหม?
ก็มีคอมเม้นต์ว่า “ไม่ได้เวอร์นะ แต่โบ ธัญญะสุภางค์ เป็นนางเอกที่ไม่สวยและแอ๊กติ้งแย่ที่สุดที่ช่อง 7 เคยมีมาเลยรึเปล่า” คือโบโตมากับช่อง 7 มีความรู้สึกว่าเวลาตอนเด็กๆ เราดูละครก็ดูช่อง 7 เราก็รู้สึกว่าโห นี่ประวัติศาสตร์ทั้งช่อง 7 เลยนะ แล้วเราแย่ที่สุด เวลาเราดูละครตัวเอง อันดับแรกโบรู้อยู่แล้วว่ามันต้องได้ดีกว่านี้ เราไม่เคยพอใจกับผลงานของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอเราได้อ่านได้เห็นสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกโซเชียลมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ แล้วมีอีกคอมเม้นต์นึงตอนโบเล่นละคร “ไฟหวน” ซึ่งเป็นละครพีเรียด โบก็จะเล่นเนิบๆ ช้าๆ แต่อาจจะช้าเกินไปจนหลุดกรอบของความเป็นจริง การตีความไม่เหมือนกัน เขาก็วิจารณ์ว่า “นางเอกคนนี้ชาติที่แล้วเกิดเป็นหอยทากเหรอ ทำไมถึงเล่นละครแบบนี้” เป็นคอมเม้นต์ที่หัวเราะทั้งน้ำตา จำได้ว่าพูดให้แม่ฟังก็น้ำตาไหลไปด้วยแต่ก็ขำค่ะ

เจอกระแสขนาดนี้ทำให้เรารู้สึกบั่นทอนหรือคิดว่าเราจะไปต่อกับวงการนี้ได้รึเปล่า?
ไม่เคยรู้สึกแบบนั้น เพียงแต่เรารู้สึกว่าเรายังปรับตัวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแสดง รูปร่างหน้าตา และหลายอย่างที่เราควรพัฒนามากกว่านี้ ความสามารถเรามันควรได้รับการพัฒนาให้เท่ากับโอกาสที่ผู้ใหญ่ให้มามากกว่านี้ เราก็รู้สึกว่าเราควรทำไงดี เราควรอยู่กับตัวเองพักนึง ก็เลยขอคุณแม่บินไปญี่ปุ่นประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ ก็ไปอยู่คนเดียวซะส่วนใหญ่ แต่ก็เจอเพื่อนบ้าง พอกลับมาก็พร้อมลุยใหม่ เลยไปเรียนแอ๊กติ้งเพิ่มเติม


โบเต็มที่กับการทำงานค่ะ
เราผ่านจุดนั้นมาได้ยังไง หลังจากเจอกระแสวิจารณ์รุนแรงขนาดนี้?
ตอนนั้นกำลังใจของครอบครัวและคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญมากจริงๆ ค่ะ มันทำให้โบรู้สึกว่าตราบใดที่คนดูยังสละเวลามาคอมเม้นต์ถึงเรา ดีกว่าเขาไม่พูดถึงเลย ดีกว่าเขาคิดว่าเขายอมแพ้ในตัวเราและไม่พูดถึงอะไรเลย อย่างน้อยเขาก็สละเวลามาคอมเม้นต์ให้โบรู้ว่าจุดที่เราควรแก้ไขคืออะไร ดังนั้นมันเป็นเรื่องของจิตใจว่าเราควรจะฮึด จากการที่เราเสียใจแล้วเราไปญี่ปุ่นมา เราก็คิดว่าเราควรจะอ่านพวกนี้แล้วดูว่าสิ่งที่เราควรแก้ไขคืออะไร ก็เลยรู้ว่าเราต้องปรับปรุงเรื่องหน้าตา ความสามารถด้านการแสดง เสียงที่ต้องปรับปรุง ก็เลยขอช่องพักแป๊บนึงแล้วไปแก้จมูกตัวเอง เอาซิลิโคนออก เรียนแอ๊กติ้งกับครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) เพิ่มเติม เรียนด้านการออกเสียงกับอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ค่ะ จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายก็ต้องออกกำลังกาย ทุกอย่างที่ปรับได้ปรับหมดค่ะ ตอนนั้นเราคิดว่าอยากทำให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และอยากรู้ว่าในจุดที่เราคิดว่ามันดีที่สุดเท่าที่ทำได้ คนดูจะโอเคไหม เรารู้สึกว่าไม่อยากทำให้ช่อง 7 หรือผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเราผิดหวังค่ะ เราก็อยากชนะใจตัวเองด้วยค่ะ

หลังจากไปพักแล้วกลับมาอีกครั้งในละคร “กุหลาบเล่นไฟ” เรารู้สึกกดดันหรือหนักใจไหม?
ก็มีความกลัวเกิดขึ้นว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราจะกลับมาหลังจากเราเตรียมตัวเต็มที่แล้ว เราจะทำได้จริงเหมือนที่เราเรียนในห้องไหม เสียงที่เราเรียนการออกเสียงมา อยู่ในทีวีมันจะโอเครึเปล่า เช็กเทปบ่อยมากค่ะเรื่องนั้น อัดกลับไปดูที่บ้าน ทุกซีนที่เราคิดว่าสำคัญและทำไม่ได้ก็ให้ครูเงาะไล่ดูทีละซีน คือซ้อมก่อนไปเล่นเลยว่าเราควรจะเล่นยังไงค่ะ ถามว่าบทยากไหมมันมีความยากในตัวของมันเองอยู่แล้ว คือบท “ดาว” เป็นเด็กที่เรียบร้อยมาก แม่เข้มงวดมาก แล้วต้องประสบอุบัติเหตุเดินไม่ได้อีก หลายอย่างไกลตัวเราด้วย ก็ต้องทำการบ้านหนักเหมือนกันค่ะ ครูเงาะก็จะให้เราลองเล่นให้ดูและคอมเม้นต์ และบอกว่าหลายๆ อย่างต้องใช้วิธีเทียบเคียงถ้าเราไม่มีประสบการณ์นั้นๆ โบก็ต้องไล่นึกกลับมาว่าเวลาเราดูรายการทีวีเกี่ยวกับเรื่องชีวิตคนที่เดินไม่ได้จริงๆ เป็นยังไง เวลาไปเล่นจริงๆ เราไม่สามารถคิดได้แบบเดิม เราต้องคิดขั้นกว่า สมมติว่าโบคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองเดินไม่ได้จะรู้สึกยังไง แต่โบจะสะเทือนใจมากถ้ารู้ว่าแม่ตัวเองรู้ว่าโบเดินไม่ได้อีก คนเป็นแม่จะเจ็บขนาดไหน แล้วอารมณ์เหมือนมันมาค่ะ ก็เลยค่อยๆ ผ่านไปได้ทีละสเต็ปค่ะ

จากเรื่องนี้คนอินกับการแสดงของเราแล้วด่าว่าแอ๊บแบ๊วเยอะมาก?
ใช่ค่ะ กลายเป็นว่าคนเรียกว่ายัยดาวแอ๊บแบ๊ว จริงๆ ตอนเล่นเราไม่เคยรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่ร้ายหรือไม่โอเค สิ่งที่โบเล่นคือรู้แค่ว่ารักพระเอก เวลาอยู่กับแม่ก็จะรู้สึกว่าทำไมแม่ใจร้ายกับเราจังเลย แต่พอร้อยเรื่องออกมาแล้วก็ดูเป็นคนที่ทำให้คนดูรู้สึกหมั่นไส้ได้บ้างไม่มากก็น้อย คอมเม้นต์เริ่มดีขึ้น คนชมเยอะมากเหมือนกัน คนว่าแทบจะไม่มีเลยค่ะ (คนมองว่าเราทำลายกำแพงที่เคยมีจากละครเรื่องนี้เลย?) ก็รู้สึกดีใจมากจริงๆ หายเหนื่อย ชื่นใจว่าอย่างน้อยคนดูเห็นพัฒนาการของเราค่ะ ตอนเล่นละครเรื่องนี้ ผู้กำกับบอกว่าถึงแม้เราจะตายประมาณตอน 10 แต่ผลของการกระทำของเราหลายๆ อย่างมันจะยังคงอยู่ ยังมีภาพที่เพื่อนๆ นึกถึงเราอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของละครที่มันสำคัญมากเหมือนกัน ซึ่งตัวละครนี้ตอนเล่นโบก็รู้สึกว่ามันมีมุมค่อนข้างน่ารำคาญ พระเอกไม่รัก แต่เราตามแบบจงใจ ทำทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความรักเป็นคนโลกสวยมาก เราคิดว่าบางทีคนดูก็น่าจะรำคาญ แต่ไม่นึกว่าคนดูจะรู้สึกว่าเราร้ายลึก ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น โบคิดว่าอันนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของคน แต่ตราบใดที่คนดูรู้สึกอินกับบทบาทที่เราได้รับ โบก็รู้สึกดีใจมากค่ะ ก็เป็นผลของความพยายาม ความตั้งใจจริงๆ โบโชคดีด้วยที่มีผู้จัดการ ทีมงานรอบตัวที่ดี ครอบครัวที่ดีที่พร้อมส่งเสริม พูดให้เราสู้ต่อไป เป็นกำลังใจที่ดีค่ะ


บอกรักทุกคนค่ะ
กับเรื่องล่าสุด “รอยรักแรงแค้น” เป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญเลย?
จริงๆ คนอาจจะมองว่าโบทำลายกรอบหลายๆ อย่างจากเรื่องกุหลาบเล่นไฟ แต่อันนั้นโบคิดว่าเป็นกรอบระดับนึง แต่อันนี้เป็นกรอบอันใหญ่ของโบเลย ตัวละคร “พักตรา” ไม่มีอะไรเหมือนโบเลยสักอย่างเดียวในความรู้สึกของโบ ทั้งการพูด การแต่งตัว ครูเงาะบอกว่าเรื่องนี้ต้องพูดเร็วขึ้น ปกติโบจะผมสั้นกว่านี้ก็ต้องไปต่อผมให้ยาวขึ้น ต้องปรับลุคให้เป็นผู้หญิงที่มั่นใจมากขึ้น เปรี้ยวมากขึ้น คำพูดหลายๆ อย่างเวลาเรามีอารมณ์ เวลาด่า มันจะเป็นผู้หญิงที่มั่นใจตัวเองมากๆ (ทำการบ้านหนักแค่ไหน?) คือด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราเรียนหนักมากจนครูเงาะบอกว่าสิ่งที่ครูสอนคือครูให้ไปหมดแล้วนะ ครูคิดว่าไม่ต้องไปเรียนแล้วล่ะ ที่เหลือต้องเป็นตัวโบที่เอาสิ่งที่เรียนมามาใช้ เรื่องนี้โบเจอครูเงาะก่อนเล่นแค่ครั้งเดียวก่อนละครเปิดกล้อง ที่เหลือก็พยายามเอามาปรับใช้เอง สร้างเสริมประสบการณ์ตัวเองมากกว่า

แต่ละฉากของบท “พักตรา” ค่อนข้างแรงเหมือนกัน?
แรงค่ะ โบไปเวิร์คช็อปกับพี่ตั้ว (ศรัณยู วงศ์กระจ่าง) บ่อย คือโบอาจจะมีทฤษฎีแล้ว รู้ว่าควรจะเป็นยังไง เราเป็นน้ำครึ่งแก้วแล้วให้พี่ตั้วมาเติมส่วนที่เหลืออีกทีนึง พี่ตั้วบอกตั้งแต่ตอนเวิร์คช็อปแล้วว่าบทมันแรง ซีนที่พี่ตั้วให้ลองเล่นคือบทภรรยาที่สามีไม่รักถึงขั้นว่าไม่เคยนอนด้วย เราเป็นภรรยาจะรู้สึกยังไงถ้าเกิดจดทะเบียนแล้ว ตอนนั้นพอลองเล่นปุ๊บอารมณ์มันมา เล่นแรกๆ เหมือนทะเลาะกันไปเรื่อยๆ แต่พอทะเลาะไปเรื่อยๆ เหมือนอารมณ์มันมาแล้วร้องไห้ แล้วพี่ตั้วมีความรู้สึกว่าเห็นพักตราในตัวโบตั้งแต่ตอนเขียนบทแล้วค่ะ ก็เลยเป็นตัวละครเดียวในเรื่องนี้ที่พี่ตั้วขอช่อง 7 ว่าตัวพักตราขอเป็นโบมาเล่น ซึ่งทีแรกก็แปลกใจเหมือนกันว่าพี่ตั้วเห็นอะไรในตัวเราเพราะบทมันแรงมากเลยนะคะ แต่พี่ตั้วก็บอกว่าพี่เห็น พี่เชื่อมั่นว่าโบเล่นได้ โบก็เลยตัดสินใจว่าถ้าพี่ตั้วมั่นใจและเชื่อใจโบขนาดนี้ก็ลองดูค่ะ ถามว่าตอนอ่านบทกับตอนที่มาเล่นจริงๆ รู้สึกว่ามันต่างกับที่คิดเยอะไหม มันมีเพิ่มเติมเพราะมันมีในเรื่องของความแนบชิดของตัวละคร เหมือนเอะอะพักตราก็ลากพระเอกเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้ ยั่วยวนตลอดเวลา ตอนอ่านก็รู้สึกว่าอุ๊ย แรงจังเลย แต่พอเล่นจริงๆ คือมันมีการเซฟนักแสดงอย่างดี พี่ตั้วเป็นผู้กำกับที่ให้เกียรตินักแสดงและเคารพนักแสดงมากอยู่แล้ว ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เราเล่นมันแรงในด้านกายภาพ แต่ที่เหลือคือแอ๊กติ้งและภาพที่จะเล่าเรื่องไปค่ะ พี่ตั้วบอกมาตั้งแต่ต้นว่าพี่จะเขียนมาแบบแรง พี่จะไปให้สุดเท่าที่มันจะออกอากาศได้กับทุกตัวละคร พี่ไม่อยากให้ใครสร้างกรอบมากั้นไว้ พี่ไม่ทำอะไรที่มันดูไม่ดีหรือไม่โอเคอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้เชื่อใจกันค่ะ



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่