เรากำลังอยู่ในยุคที่ถูกหนังหลอก !!!
มันน่าสะเทือนใจมากเลยสินะที่ฉากจบจะเรียกน้ำตาให้กับคนดูได้ แต่จะบอกว่าบทละครที่ดีก็ควรมี
ความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เเค่การให้ข้อมูลซ้ำซาก เอามาหลอกหลอนประชากรโลกแต่เพียงถ่ายเดียว
ละครก็แค่ฉายให้จบไป เเต่บ้านที่มีผู้ป่วยเอดส์หรือกำลังอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งคนข้างบ้านพวกเขาเหล่านั้น
จะมีทัศนคติด้านลบขนาดไหน ต่อผู้ป่วย??
ละครกำลังหลอกให้สังคมถีบผู้ป่วยเอดส์ ที่มีมากกว่า ๓๐๐,๐๐๐ คน ในปัจจุบันจมลงไปในหลุมของความน่าเกลียดน่ากลัว
น่าขยะเเขยง ด้วยภาพว่าถ้าเป็นโรคนี้เเล้วต้องมีเเผลเน่า ผุ พอง ต้องพันตัวน่าสยดสยอง ...ลองตรองด้วยสติปัญญาดู
ว่าต่อไปคนกลุ่มนี้จะมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ยังไงถ้ามีละครหลอกหลอนเรื่องนี้โดยไม่แยแสข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
คนเขียนบทควรรู้จหรือไม่ก็ควรมีต่อมวิจารณญาณที่ดี ศึกษาหรือตรวจสอบข้อมูลก่อนจะเผยเเพร่ทัศนคติแย่ ๆ แบบนี้ออกมา
ตอนนี้ทุกโรงพยาบาลของรัฐ เปิดให้ประชาชนไทยทุกคนได้ตรวจเอชไอวีฟรี (ปีละ ๒ ครั้ง) ถ้าติดเชื้อก็จะต้องเข้าสู่การดูแล
รักษาทันที ตั้งแต่การตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกัน การป้องกันและการรักษาโรคฉวยโอกาส การตรวจรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี
ทั้งหมดนี้สามารถใช้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้สิทธิบัตรทองบัตรประกันสังคมและบัตรข้าราชการ ไม่จำเป็นต้อง
พาไปหลายที่เหมือนที่ละครกล่าวอ้างหรอก
แล้วคุณก็เหยียบย่ำการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขที่เขา ร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้
ความเข้าใจเรื่องเอชไอวีและเอดส์ตามสโลแกน ว่า "เอชไอวีป้องกันได้...เอดส์รู้เร็วรักษาได้" หรือ
"ติดเชื้อเอชไอวีก็เรียนได้ ทำงานได้"
สุดท้ายมันน่าขำที่ในละครอีตอนดีดี ก็ยังเห็นอยู่ใกล้กัน กินข้าวด้วยกัน ตบกัน ใช้ชีวิตร่วมกันได้ (อันนี้เดาเพราะไม่เคยดู)
แต่พอเรื่องมาถึงตอนจบที่ให้ภาพผิด ๆ ว่าผู้ป่วยต้องมีแผล ต้องพันผ้าเหมือนมัมมี่ แค่ปลายนิ้วมือตัวละครสวย ๆ หล่อ ๆ
สี่คนนั้นกลับไม่กล้าแตะต้องผู้ป่วยแม้แต่ปลายเล็บ เเต่ เ ส ือ ก ยืนท่องบทสวดมนต์บ้าบอคอเเตก
ตลกร้ายดีนะที่ก่อนตายต้องให้อ้ายอีที่ไหนมาสวดมนต์อยู่ข้างเตียง
กลับมาที่โลกความจริง คงปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ว่า เดี๋ยวจะมีมนุษย์บางเจ้าแย้งว่า ถ้าไม่ชอบละครเรื่องนี้ก็ไม่ต้องดู
...จะบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีมาเกินห้าปีแล้ว และถึงเราคนหนึ่งล่ะไม่ดู ก็ยังมีอีกหลายคนที่ดู เเละถูกผู้เขียนบท ผู้จัดละคร
รวมทั้งช่อง ๓ หลอก ด้วยเพียงทัศนะเเคบ ๆ ของคนใจเเคบกลุ่มหนึ่ง
หรือว่างานสื่อสารมวลชน สื่อสารสาธารณะในรูปแบบนี้ไม่ต้องคิดว่าสังคมจะดีขึ้นได้ยังไงเเล้ว
เพียงคิดเอาแต่ได้ มักง่ายขอให้คนดูมากมายขึ้นก็เพียงพอ
บ้า บอ คอ แตก สิ้น ดี
ฉากจบของ ละคร "เพื่อนรัก เพื่อนริษยา" ทำไมต้องทำให้ดูว่าผู้ป่วยนั้นน่าเวทนา แล้วก็หลอกให้ข้อมูลผิด ๆ ต่อสังคม
มันน่าสะเทือนใจมากเลยสินะที่ฉากจบจะเรียกน้ำตาให้กับคนดูได้ แต่จะบอกว่าบทละครที่ดีก็ควรมี
ความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เเค่การให้ข้อมูลซ้ำซาก เอามาหลอกหลอนประชากรโลกแต่เพียงถ่ายเดียว
ละครก็แค่ฉายให้จบไป เเต่บ้านที่มีผู้ป่วยเอดส์หรือกำลังอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งคนข้างบ้านพวกเขาเหล่านั้น
จะมีทัศนคติด้านลบขนาดไหน ต่อผู้ป่วย??
ละครกำลังหลอกให้สังคมถีบผู้ป่วยเอดส์ ที่มีมากกว่า ๓๐๐,๐๐๐ คน ในปัจจุบันจมลงไปในหลุมของความน่าเกลียดน่ากลัว
น่าขยะเเขยง ด้วยภาพว่าถ้าเป็นโรคนี้เเล้วต้องมีเเผลเน่า ผุ พอง ต้องพันตัวน่าสยดสยอง ...ลองตรองด้วยสติปัญญาดู
ว่าต่อไปคนกลุ่มนี้จะมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ยังไงถ้ามีละครหลอกหลอนเรื่องนี้โดยไม่แยแสข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
คนเขียนบทควรรู้จหรือไม่ก็ควรมีต่อมวิจารณญาณที่ดี ศึกษาหรือตรวจสอบข้อมูลก่อนจะเผยเเพร่ทัศนคติแย่ ๆ แบบนี้ออกมา
ตอนนี้ทุกโรงพยาบาลของรัฐ เปิดให้ประชาชนไทยทุกคนได้ตรวจเอชไอวีฟรี (ปีละ ๒ ครั้ง) ถ้าติดเชื้อก็จะต้องเข้าสู่การดูแล
รักษาทันที ตั้งแต่การตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกัน การป้องกันและการรักษาโรคฉวยโอกาส การตรวจรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี
ทั้งหมดนี้สามารถใช้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้สิทธิบัตรทองบัตรประกันสังคมและบัตรข้าราชการ ไม่จำเป็นต้อง
พาไปหลายที่เหมือนที่ละครกล่าวอ้างหรอก
แล้วคุณก็เหยียบย่ำการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขที่เขา ร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้
ความเข้าใจเรื่องเอชไอวีและเอดส์ตามสโลแกน ว่า "เอชไอวีป้องกันได้...เอดส์รู้เร็วรักษาได้" หรือ
"ติดเชื้อเอชไอวีก็เรียนได้ ทำงานได้"
สุดท้ายมันน่าขำที่ในละครอีตอนดีดี ก็ยังเห็นอยู่ใกล้กัน กินข้าวด้วยกัน ตบกัน ใช้ชีวิตร่วมกันได้ (อันนี้เดาเพราะไม่เคยดู)
แต่พอเรื่องมาถึงตอนจบที่ให้ภาพผิด ๆ ว่าผู้ป่วยต้องมีแผล ต้องพันผ้าเหมือนมัมมี่ แค่ปลายนิ้วมือตัวละครสวย ๆ หล่อ ๆ
สี่คนนั้นกลับไม่กล้าแตะต้องผู้ป่วยแม้แต่ปลายเล็บ เเต่ เ ส ือ ก ยืนท่องบทสวดมนต์บ้าบอคอเเตก
ตลกร้ายดีนะที่ก่อนตายต้องให้อ้ายอีที่ไหนมาสวดมนต์อยู่ข้างเตียง
กลับมาที่โลกความจริง คงปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ว่า เดี๋ยวจะมีมนุษย์บางเจ้าแย้งว่า ถ้าไม่ชอบละครเรื่องนี้ก็ไม่ต้องดู
...จะบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีมาเกินห้าปีแล้ว และถึงเราคนหนึ่งล่ะไม่ดู ก็ยังมีอีกหลายคนที่ดู เเละถูกผู้เขียนบท ผู้จัดละคร
รวมทั้งช่อง ๓ หลอก ด้วยเพียงทัศนะเเคบ ๆ ของคนใจเเคบกลุ่มหนึ่ง
หรือว่างานสื่อสารมวลชน สื่อสารสาธารณะในรูปแบบนี้ไม่ต้องคิดว่าสังคมจะดีขึ้นได้ยังไงเเล้ว
เพียงคิดเอาแต่ได้ มักง่ายขอให้คนดูมากมายขึ้นก็เพียงพอ
บ้า บอ คอ แตก สิ้น ดี